|
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#21
|
||||
|
||||
![]()
อีก ๕ นาทีพระภิกษุสามเณรจะขึ้นอาสน์สงฆ์ ปีนี้วัดท่าขนุนมีพระเก่า ๓๕ รูป พระใหม่ ๗ รูป สามเณรใหม่ ๑ รูป การบวชจำพรรษาปีนี้รอดมาได้แค่รูปเดียว อีก ๒ นาคหลุดหายไป ไม่ผ่าน QC เพราะว่าวัดท่าขนุนเราต้องมาเป็นนาคล่วงหน้ากันนาน คนไม่ตั้งใจจริงจะไม่มาบวชที่นี่
โดยเฉพาะญาติโยมรอบ ๆ วัด เคารพรักหลวงปู่สายอดีตเจ้าอาวาสเป็นอย่างมาก จะบวชลูกเมื่อไร ต้องแห่มากราบหลวงปู่สายก่อน แต่ไปบวชวัดอื่น โดยบอกว่า "ถ้าอยู่วัดท่าขนุนเดี๋ยวลูกจะลำบาก..!" พอตีสามครึ่งก็ต้องตื่นมาทำกรรมฐานกันแล้ว ทำวัตรเช้าทำวัตรค่ำอีกวันละสามรอบ แถมยังออกบิณฑบาตทุกวัน บางวันถึงฝนตกกระหน่ำเป็นฟ้ารั่วก็บิณฑบาต กลับมาแทนที่จะได้ข้าวสวย ก็กลายเป็นข้าวต้ม..! เพราะว่าเวลาเปิดบาตรรับโยม น้ำก็ลงไปด้วย..! เขากลัวลูกจะลำบากกัน ก็เลยไม่ค่อยอยากจะให้บวชวัดท่าขนุน ซึ่งเรื่องพวกนี้เป็นอะไรที่ย้อนแย้งมาก เขาบอกว่าวัดท่าขนุนเคร่งเกินไป อาตมภาพเองก็ "หัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก" ญาติโยมอยากได้พระเณรที่เคร่งครัดต่อพระวินัย แต่กูไม่ให้ลูกบวชวัดนี้ ฟังแล้ว "น้ำตาจิไหล..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 00:36 |
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
![]()
ตั้งแต่อาตมภาพเป็นเจ้าอาวาสมา พักเดียวจะ ๒๐ ปีแล้ว ยังไม่มีปีไหนที่มีพระน้อยกว่า ๓๐ รูป ถ้าใครต้องการเรียน..ส่งเรียนไปจนสุดกำลังของท่าน ไม่ใช่ของอาตมา ถ้าใครต้องการปฏิบัติธรรม..ติดขัดตรงไหนสอบถามได้ทุกขั้นตอน ดังนั้น..พระวัดนี้ก็เลยค่อนข้างจะแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ก็คือฝ่ายเรียนกับฝ่ายปฏิบัติธรรม แต่ก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
พระภิกษุสงฆ์และแม่ชีที่จบปริญญาเอกของจังหวัดกาญจนบุรีในช่วงแรกมีทั้งหมด ๑๓ รูป เป็นของวัดพระขนุนไป ๖ รูป เห็นแม่ชีหุงข้าวต้มแกงให้โยมอยู่ภายในวัด โยมก็ไม่รู้หรอกว่านั่นเป็นแม่ชีด็อกเตอร์ จบปริญญาเอกอยู่ ๒ รูป..! อาตมภาพไม่มีกติกา เรียนจบปุ๊บสึกปั๊บก็ไม่ว่า แต่ว่าตอนที่อยู่ ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมก็ต้องเรียน ห้ามอยู่เฉย ๆ มีอยู่สาขาวิชาหนึ่งก็คือปริญญาโทการพัฒนาสังคม ส่งไปเรียนจบมา ๖ รูป สึกไปพัฒนาสังคมเสีย ๖ รูป..! ก็เลยบอกกับผู้อำนวยการหลักสูตรว่า "ต่อไปหลักสูตรนี้อย่าเลี้ยวไปทางวัดท่าขนุนอีก เพราะว่าดีเกินไป..! ทำให้พระบวชแล้วเห็นช่องทาง ถึงเวลาเรียนจบ ก็สึกไปพัฒนาสังคมกัน" เป็นอะไรที่ขำ ๆ ดี ปัจจุบันนี้ถ้าเป็นพระภิกษุสามเณรอำเภอทองผาภูมิ ถ้าใครเรียนที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี มาเบิกค่ารถได้ที่วัดท่าขนุนเดือนละ ๓,๐๐๐ บาทต่อรูป พูดง่าย ๆ ว่าส่งเรียนทั้งอำเภอ ส่วนทุนการศึกษาระดับประถมและมัธยม ก็ให้ทั้ง ๓๔ โรงเรียนในอำเภอนี้ โรงเรียนประถมให้ ๒๐ ทุน โรงเรียนมัธยมให้ ๓๐ ทุน ปีหนึ่งก็หลายล้านบาท..! เพราะฉะนั้น.. "สีกากอล์ฟ" ไม่เลี้ยวมาวัดนี้หรอก เพราะว่ามีเงินเท่าไรก็ใช้หมด..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 00:38 |
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
![]() ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันศุกร์ที่ ๑๑ กรกฏาคม ๒๕๖๘ ผู้ปฏิบัติธรรมไปไหนหมด ? ขอตรวจสอบรายชื่ออีกหนึ่งรอบเพื่อความแน่นอนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายออกวุฒิบัตร บางท่านปฏิบัติธรรมกลางคันก็โดนฝนละลายหายไปจากวัดนี้..! ถ้าได้ยินแล้วมาด่วน ๆ เลยนะจ๊ะ ตรงเวลาของวัดนี้ไม่ใช่ตรงตามนาฬิกา แต่ก่อนนาฬิกาประมาณ ๒๐ นาทีเป็นอย่างน้อย เพราะฉะนั้น..ถ้าใครมีนิสัยตรงเวลา มาวัดนี้จะเป็นคนทำอะไรช้าและสายกว่าคนอื่น..! การปฏิบัติธรรมจะช่วยให้สภาพจิตของเราละเอียดขึ้น แหลมคมขึ้น ว่องไวขึ้น ดังนั้น..การตัดสินใจและการกระทำจึงเร็วกว่าผู้อื่น แต่ว่าเป็นความเร็วที่มีโอกาสพลาดน้อยมาก เนื่องเพราะว่าตรึกตรองดีแล้วถึงได้ทำ สมัยที่อยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ถ้าท่านบอกว่าเวลาไหน ให้รีบไปก่อนเวลาเสมอ มีรุ่นพี่คือท่านฐิติ กระผม/อาตมภาพเตือนท่านเพราะท่านนั่งฉันอยู่ในวงแบบทองไม่รู้ร้อนว่า "หลวงพี่ต้องไปจันทบุรีกับหลวงพ่อไม่ใช่หรือ ทำไมไม่รีบไปขึ้นรถ ?" ท่านบอกว่า "หลวงพ่อนัด ๗ โมงเช้า" คือตอนนั้นประมาณ ๖.๔๐ น. ท่านฉันเสร็จแล้วก็ขับรถไปที่หน้าวิหารแก้วร้อยเมตร เพราะว่านัดขึ้นรถกันที่นั่น ปรากฏว่ารถทุกคันหายไปนานแล้ว..! สรุปก็คือหลวงพี่ฐิติเป็นพระรูปเดียวที่ไปจันทบุรีด้วยกระเป๋า เพราะเอากระเป๋าขึ้นรถไปก่อน ส่วนตัวก็อยู่ที่วัด อีก ๕ วันเพื่อนค่อยเอากระเป๋ามาคืนให้..! บุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน อะไรที่ล่าช้าหรือว่ารกรุงรังจะไม่เอา ดังนั้น..ก็เลยทำอะไรเร็วกว่าคนอื่นเขา เป็นเรื่องที่สามารถสังเกตได้ ถ้าในระยะเวลาเท่ากัน เราอาจจะทำงานได้แค่ ๑ แค่ ๒ อย่าง แต่คนจะไปพระนิพพานอาจจะทำได้ถึง ๗ - ๘ อย่างไปแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:05 |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (วันนี้), กิติศักดิ์ (วันนี้), ชุณหพงศ์ (วันนี้), ปริญญา (วันนี้), พี่เสือ (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), สัญญะจิตโต (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
#24
|
||||
|
||||
![]()
อยากจะบอกว่าสิ่งที่เราทำ คำที่เราพูด ใจที่เราคิด มีผลต่อการปฏิบัติธรรมของเราทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าแต่ละบุคคลนั้น สร้างบารมีหรือว่ากำลังใจมาไม่เท่ากัน ทำให้มีปัญญามากน้อยต่างกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บางท่านแม้ว่าเพิ่งจะปฏิบัติธรรม แต่ว่าก้าวหน้าเร็วมาก เพราะว่าคิดดี พูดดี ทำดี ความดีทั้งหมดจึงหนุนเสริมกัน ให้มีความก้าวหน้ากว่าคนอื่นเขา
พวกเราส่วนหนึ่งสิ่งที่พูดกับสิ่งที่ทำขัดกันเอง อย่างเช่นเราปฏิญาณตนว่า "ขอมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" แต่พอลำบากนิดเราก็ถอย ลำบากหน่อยเราก็ท้อ ดังนั้น..ถ้าใครก็ตามที่ความคิด คำพูด และการกระทำขัดกันเอง สิ่งที่เราจะพึงได้ก็จะยากกว่าคนอื่น เหมือนกับไม่มีอะไรจะทำก็เตะสกัดตัวเอง..! เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่ใช่คนช่างคิดช่างพิจารณาจะมองไม่เห็น มักจะคิดว่าเราคิดถูก พูดถูก ทำถูกอยู่เสมอ ลักษณะอย่างนั้นภาษาบาลีเรียกว่าวิปลาส ก็คือผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง อย่างเช่นว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง..เราเห็นว่าเที่ยง ร่างกายนี้เป็นทุกข์..เราเห็นว่าไม่ทุกข์ ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน..เราก็ไปยึดมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา วิปลาสเหล่านี้ยังมีอีกมาก อย่างเช่นว่าปกติของร่างกายมีความสกปรก ประกอบประกอบไปด้วยทวารทั้ง ๙ มีแต่สิ่งสกปรกหลั่งไหลออกมาตลอดเวลา ต้องคอยชำระล้างให้สะอาดอยู่เสมอ แต่เราก็ไปเห็นว่าเป็นของสะอาด สิ่งที่ไม่สวยไม่งาม เราเห็นว่าสวยงาม เนื่องเพราะว่าปัญญาไม่ถึง โดนกิเลสหลอกให้หลง ๒ ชั้น ๓ ชั้น บางทียังทำให้เราพลอยยินดีปลาบปลื้มใจอีก อย่างเช่นมีคนทักว่าสวยขึ้น ซึ่งความจริงต้องใช้คำว่าสวยลง..! เรื่องพวกนี้เป็นอะไรที่ต้องใช้ความละเอียดของจิตเข้าไปพินิจพิจารณาเป็นอย่างมาก การปฏิบัติธรรมจึงขาดวิปัสสนาญาณไม่ได้ เพราะว่าถ้าขาดเมื่อไร เราก็จะไม่เห็นความเป็นจริง ถ้าขาดสมาธิคือสมถะ ถึงเห็นความเป็นจริงสภาพจิตก็ไม่ยอมรับ จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำควบคู่กันไป ไม่ใช่ทำเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:07 |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (วันนี้), กิติศักดิ์ (วันนี้), ชุณหพงศ์ (วันนี้), ปริญญา (วันนี้), พี่เสือ (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), สัญญะจิตโต (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
#25
|
||||
|
||||
![]()
คราวนี้การที่เราจะทำควบคู่กัน ถ้าหากว่าต้องการใช้ได้ทุกเวลาในชีวิตประจำวัน ก็ต้องพยายามพิจารณาให้เห็นธรรมชาติรอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุธาตุ สิ่งของต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง และเสื่อมสลายตายพังไปในที่สุด มองไปทางไหนก็เห็นเป็นอย่างนี้ ก็คือจะเห็นว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปก็ได้ จะเห็นว่ามีแต่ดับมีแต่พังสลายไปก็ได้ จะเห็นว่าเป็นทุกข์ เป็นภัย เป็นของน่ากลัวก็ได้
แต่คราวนี้เห็นแล้วใจเรายอมรับอย่างแท้จริงหรือไม่ ? บางคนสลดใจแค่ ๑ - ๒ นาทีแล้วก็กลับไปยึดมั่นถือมั่นเหมือนเดิม บางคนสามารถดึงตัวห่างออกมาแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็หลงกลกิเลส ย้อนกลับไปหาใหม่ อยู่ในลักษณะเบื่อ ๆ อยาก ๆ ประมาณว่าดีชั่วรู้หมดแต่อดไม่ได้..! ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส เพียงแต่ว่าเราต้องไม่ประมาท ระลึกอยู่เสมอว่าลมหายใจนี้อาจจะเป็นลมหายใจสุดท้ายของเราก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราจึงเป็นผู้ไม่มีวันพรุ่งนี้ มีเฉพาะวันนี้ หรือว่ามีเฉพาะเดี๋ยวนี้ เราจึงต้องทำวันนี้หรือว่าทำเดี๋ยวนี้ของเราให้ดีที่สุด คำว่าดีที่สุดก็คือเต็มกำลังกาย เต็มกำลังใจ เต็มกำลังสติปัญญา หรือว่าถ้าต้องอาศัยภายนอกก็เต็มกำลังคน เต็มกำลังทรัพย์ด้วย คาดว่าทุกท่านคงไม่เคยทุ่มเทจนเต็มกำลังอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นแล้วก็คงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ เรื่องเพราะว่าฆราวาสถ้าบรรลุมรรคผลก็มักจะสิ้นชีวิตภายใน ๗ วัน อันนี้ตำราบอกไว้ แต่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านบอกว่า ที่ท่านเจอมา ฆราวาสบรรลุมรรคผลกลางวัน ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน ฆราวาสที่บรรลุมรรคผลกลางคืน ไม่มีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ขึ้น มักจะโดนตัดให้ตายไปเสียก่อน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:09 |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (วันนี้), กิติศักดิ์ (วันนี้), ชุณหพงศ์ (วันนี้), ปริญญา (วันนี้), พี่เสือ (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), สัญญะจิตโต (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
#26
|
||||
|
||||
![]()
พูดแค่นี้หลายคนเริ่มหวาดเสียว กลัวว่าตัวเองจะตาย ซึ่งจะว่าไปแล้วท่านทั้งหลายก็ยังมีความกลัวเป็นปกติ เราก็ต้องซักซ้อมการตายไว้เสมอ ๆ
ตื่นเช้าขึ้นมาทำกรรมฐานให้เต็มที่ แล้วลองถามตัวเองว่า คนที่เรารักมีหรือไม่ ? ของที่เรารักมีหรือไม่ ? ทรัพย์สมบัติที่เราห่วงใยมีหรือไม่ ? ถ้าให้ตายลงไปตอนนี้พร้อมหรือไม่ ? ให้กำลังใจตอบตัวเองอย่างแท้จริง ไม่ใช่ข้อนี้ต้องตอบว่าไม่ถึงจะถูก แล้วเราก็ตอบตามนั้น ถ้าลักษณะแบบนั้นจะไม่มีประโยชน์อะไร เพราะว่าไม่ใช่กำลังใจที่แท้จริงของตนเอง ขอฝากไว้เป็นข้อคิดสำหรับพวกเราว่า เรายังมีความรักความห่วงใยร่างกายนี้ ตลอดจนกระทั่งผู้คน สิ่งของรอบข้างหรือไม่ ? ถ้ามีก็พยายามสลัดตัดทิ้งไปให้เหลือน้อยที่สุด ถึงเวลาจะได้มีความคล่องตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ลำดับต่อไปให้ทุกคนตั้งใจสมาทานพระกรรมฐานแล้วเข้าสู่การปฏิบัติธรรมช่วงบ่ายกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:10 |
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (วันนี้), กิติศักดิ์ (วันนี้), ชุณหพงศ์ (วันนี้), ปริญญา (วันนี้), พี่เสือ (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), สัญญะจิตโต (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|