![]() |
ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา วันที่ ๑๐ - ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๘
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ กรกฏาคม ๒๕๖๘ เฮ้อ..หายใจไม่ทัน แก่แล้วยังป่วยอีก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าเราดันไปฝืนร่างกายทำงาน ร่างกายก็เลยไม่ค่อยจะปกติ สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที ต้องอยู่กับการปฏิบัติธรรม เวลางาน..สติสมาธิมุ่งอยู่กับงาน นอกเวลางาน..สติสมาธิอยู่กับกรรมฐาน หลักการมีง่าย ๆ แค่นี้เอง ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้ก็จะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะใช้วิธีภาวนาเช้า - เย็น ตีเสียว่าเช้าครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง ที่เหลือก็ปล่อยลอยตามน้ำไป แล้ววันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง เราว่ายน้ำ ๑ ชั่วโมง ปล่อยลอยตามน้ำไป ๒๓ ชั่วโมง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเอาดีไม่ได้ ดังนั้น..นักปฏิบัติที่ดีต้องอยู่กับการปฏิบัติธรรมตลอดเวลา พยายามทำให้หน้าที่การงานทุกอย่างของเราเป็นกรรมฐาน ก็คือเอาสติสมาธิจดจ่ออยู่กับงานนั้นจริง ๆ จัง ๆ แต่ไม่ค่อยดีอยู่อย่างว่า บางคนสมาธิลึกแต่ตัวเองไม่รู้ตัว คนอื่นปฏิสันถารด้วยก็ไม่รับรู้อะไร สถานเบาเขาก็แค่หาว่าเราหยิ่ง แต่ถ้าผู้บังคับบัญชาเรียกแล้วไม่รู้อะไร ก็เตรียมตัวหางานใหม่ได้ แล้วก็มีบางคนทำดีเกินไป ไปทรงสมาธิตอนขับรถ พอจิตเริ่มเป็นสมาธิ ประสาทบังคับร่างกายไม่ได้ จะเบรกรถก็เบรกไม่ได้ ก็เลยไปเบรกกับท้ายคันอื่น ถ้าอยู่ในลักษณะนั้นต้องซักซ้อมให้เกิดความคล่องตัว สามารถเข้าหรือออกสมาธิได้ทุกเวลาที่ต้องการ แล้วค่อยไปทำกิจกรรมอันตรายอย่างเรื่องการขับรถ ที่บ้านวังปริง อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งปฏิบัติธรรมแล้วเกิดปัญหา มาสอบถาม ก็คือว่าทุกครั้งที่จะขับรถมอเตอร์ไซค์ พอเริ่มสตาร์ทรถ ตัวก็จะแข็งทื่อทำอะไรไม่ได้ เขาใช้คำว่า "ต้องเขย่าให้หลุดแล้วค่อยขับรถ" พอขับไปได้หน่อยก็แข็งทื่ออีกแล้ว ต้องเขย่าให้หลุดอีก เขาถามว่า "จะแก้ไขอย่างไร ?" ก็บอกไปว่า "ไม่ต้องแก้ไขอะไรมาก ให้เขย่ามันบ่อย ๆ" |
ลักษณะนั้นแสดงว่าสมาธิทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือทรงฌานได้ คราวนี้การทรงฌานนั้นจิตกับประสาทจะแยกเป็นคนละส่วนกัน ถ้าขาดความชำนาญจะบังคับร่างกายไม่ได้ เหมือนกับคนนั่งหลับหรือว่านั่งแข็งทื่อไปเฉย ๆ คราวนี้เขาไม่รู้ว่าการที่ตัวเองตั้งใจขับรถนั่นคือสมาธิ ด้วยความเคยชินพอจิตเข้าสมาธิก็วิ่งไปในระดับที่ตัวเองทำได้สูงสุด ก็เลยนั่งแข็งทื่อ
ถ้าเขาซักซ้อมการเข้าออกสมาธิเอาไว้ ก็จะสามารถคลายออกมาเพื่อทำหน้าที่ปกติได้ แต่คราวนี้เขาไม่เข้าใจตรงนั้น ก็เลยใช้คำว่าต้องเขย่าให้หลุด ก็คือเขย่าตัวเองให้สมาธิคลายแล้วค่อยขับรถต่อ ขับไปอีกหน่อยก็แข็งทื่ออีก ต้องเขย่าใหม่ ต่อไปบุคคลนี้จะมีความคล่องตัวในการเข้าออกสมาธิมาก ก็คือทรงวสี ๕ ได้อย่างน้อย ๒ ตัว คือสมาปัชชนวสี..ชำนาญในการเข้าสมาธิ และวุฏฐานวสี..ชำนาญในการออกจากสมาธิ ซึ่งวสียังมีอีก ๓ ตัว ก็คือ ชำนาญในการเข้าสมาธิตามลำดับ ชำนาญในการเข้าสมาธิตามเวลาที่กำหนดไว้ และชำนาญในการเข้าสมาธิสลับระหว่างระดับฌานได้ ถ้าใครซักซ้อมคล่องตัวขนาดนั้น อยู่ในอิริยาบถไหนก็ทรงฌานได้ สามารถทรงฌานได้ก็จะปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง ชั่วคราว ขอย้ำคำว่า "ชั่วคราว" เพราะว่าอำนาจฌานสมาบัติสามารถระงับรัก โลภ โกรธ หลง ลงได้ แต่ถ้าสมาธิหลุดเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง จะมาเป็นฟ้าถล่มดินทลาย เพราะว่าก่อนหน้านี้เราไปเก็บกดเอาไว้ จึงมีหลายต่อหลายท่านที่กลัวหรือว่าเข็ดการเข้าสมาธิไปเลย เนื่องเพราะกลัวว่ากิเลสจะตีกลับ ซึ่งความจริงกิเลสมีเท่าเดิม พอโดนอำนาจสมาธิกดไปนาน ๆ กิเลสกลัวว่าตัวเองจะตายก็ต้องสู้สุดชีวิต อาการที่แสดงออกจึงรุนแรงกว่าปกติ อย่างเช่นว่าบางคน เพื่อนพูดอะไรไม่เข้าหูหน่อยเดียว ก็ด่าเขาสาดเสียเทเสียไปเลย แล้วคนอื่นก็จะงงว่า "นี่หรือผู้ปฏิบัติธรรม..!? สะกิดหน่อยเดียวทำไมถึงอารมณ์แรงขนาดนี้ ?" โดยที่ไม่รู้ว่าไปสะกิดผิดจังหวะ |
เรื่องของการปฏิบัติธรรม ถ้าเราคลายอารมณ์มาพิจารณาไม่เป็น จะเหมือนกับเราเป่าลูกโป่ง มีแต่จะตึงมากขึ้น ๆ จนท้ายที่สุดใครซวยมาสะกิดในจังหวะสุดท้าย ก็ระเบิดตูมใส่เขา เป็นเรื่องที่นักปฏิบัติในระยะต้น ๆ ต้องระมัดระวังให้ดี ไม่อย่างนั้นแล้วคนเขาจะดูถูกดูแคลนว่า "เป็นนักปฏิบัติภาษาอะไร ทำไมระงับอารมณ์ไม่เป็น ?"
เนื่องเพราะว่าสมาธิภาวนาเมื่อทำไปจนสุดแล้ว จะเหมือนชาร์จแบตเตอรี่เต็ม สภาพจิตจะถอยออกมาเองโดยอัตโนมัติ เราต้องหาวิปัสสนาญาณมาให้พินิจพิจารณา เป็นการใช้กำลังสมาธิที่เราสั่งสมไว้ให้เป็นประโยชน์ เมื่อพิจารณาไปจนกำลังหมด จิตเราก็จะวิ่งไปหาการภาวนา เราก็ภาวนาไปจนเต็มที่ แล้วคลายมาพิจารณาใหม่ ทำสลับไปสลับมาอย่างนี้จึงจะมีความก้าวหน้า ถ้าเราภาวนาอย่างเดียวแล้วพิจารณาไม่เป็น ถึงเวลาสภาพจิตคลายออกมาเมื่อไร เราจะโดนกิเลสขโมยกำลังไปใช้ ก็คือจะไปฟุ้งซ่านกับรัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งจะฟุ้งได้แรงมากเพราะว่ามีกำลังดี ที่ได้จากที่เราทำสมาธิมา แล้วก็อยู่ในลักษณะเอาไม่อยู่ ก็คือฟุ้งซ่านจนกระทั่งบางคนหงุดหงิดรำคาญเลิกปฏิบัติธรรมไปเลย จึงเป็นเรื่องที่นักปฏิบัติธรรมต้องสังวรระวังไว้ว่า ภาวนาแล้วต้องพิจารณา พิจารณาแล้วต้องภาวนา จะทำเพียงอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ เพราะว่าเราไม่เก่งพอ เมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่ผ่านมา มีโยมท่านหนึ่งบอกว่า "ตอนนี้สมาธิแย่มาก ไม่สามารถที่จะพิจารณาอะไรได้เลย ฟุ้งซ่านตลอด" จึงได้ถามไปว่า "คุณปฏิบัติแบบไหน ?" เขาบอกว่า "จับลมหายใจ ๒ - ๓ ครั้งแล้วก็พิจารณา" จึงตอบเขาไปว่า "คุณทำแบบนั้นก็ฟุ้งซ่านทั้งชาติ เพราะว่ากำลังสมาธิไม่พอ เหมือนคนหาเงินได้ ๒๐ บาท แล้วกูก็ใช้เสีย ๕๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ บาท มีแต่เจ๊งตลอด..!" เพราะลักษณะแบบนั้นก็คือการใช้วิปัสสนาญาณเป็นหลัก ถ้าปัญญาเราไม่มากพอจริง ๆ จนสภาพจิตยอมรับในสิ่งที่พิจารณาไปเลย ก็จะออกอาการฟุ้งซ่านแบบนั้น หรือถ้าหากว่าเราเอาแต่ภาวนาอย่างเดียว แล้วกำลังไม่สามารถจะยั่งยืนถึงขนาดกดกิเลสไว้เป็น ๑๐ เป็น ๑๐๐ ปี กิเลสก็ไม่ตาย กิเลสรอเวลา เราเผลอหลุดออกมาเมื่อไรก็โดนกิเลสตีอีก ก็แปลว่าที่พวกเราทำมาทั้งหมด ถูกบ้างผิดบ้าง ตามแต่ความเชื่อถือของตน บางคนครูบาอาจารย์บอกก็ไม่เชื่อ..ขอทำเอง..ลักษณะแบบนี้ดีมาก คือให้โดนให้เข็ดจะได้จำ..! ลำดับต่อไปพวกเราก็ตั้งใจสมาทานพระกรรมฐานจะได้เข้าสู่การปฏิบัติธรรมต่อไป |
ก่อนทำวัตรเย็น วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ กรกฏาคม ๒๕๖๘ (ช่วงเย็นขณะจุดผางประทีปวันอาสาฬหบูชา มีฝนตกลงมา) ตอนฝนตกเป็นอย่างไรบ้าง ? กำลังใจหายวาบไปแล้วหรือเปล่า ? จะต้องมั่นคงนะจ๊ะ ไม่ใช่เอะอะก็ใจคอไม่ดี ถ้ากำลังใจเป็นประเภทหายวูบไปเลย ลักษณะอย่างนั้นต่อให้เหนียวแสนเหนียวก็บรรลัยหมด..! ญาติโยมถ้าสังเกตจะเห็นว่าพวกเราทำอะไรค่อนข้างเร็วกว่าคนอื่นเขา เมื่อครู่เราตามประทีป พักเดียวเสร็จแล้วเข้ามานั่งอยู่ในนี้ บางคนอาบน้ำมาทันด้วย บางคนก็กะว่าเวียนเทียนแล้วค่อยไปอาบ บุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม เรื่องยุ่งอื่น ๆ ไม่ค่อยไปแตะต้องแล้ว บรรดาสิ่งฟุ้งซ่านต่าง ๆ จากภายนอกก็ไม่เอา กระผม/อาตมภาพเองตั้งแต่ก่อนบวชสองปี ก็ทิ้งหมดทุกอย่างเลย ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติภาวนา รักษาศีล ๘ เผื่อไว้ก่อน เผื่อตอนเป็นพระ ถ้ารักษาไม่ได้ก็จะไม่บวชแล้วว่างั้น คราวนี้พอทำในลักษณะนั้นแล้วปรากฏว่าเรื่องความต้องการทางโลก ๆ ลดน้อยลงไปมาก ผ้าผ่อนใช้วิธีซื้อทีละ ๖ ชุด ก็คือจะซื้อกางเกงง่ายที่สุดก็คือกางเกงกีฬาที่เรียกว่ากางเกงวอร์ม ๖ ตัวไปเลย บางคนไม่สังเกตนึกว่าใส่ตัวเดียว เพราะว่าจะมีตะเข็บขาวเล็ก ๆ ตะเข็บเหลือง ตะเข็บน้ำเงิน ตะเข็บแดง ส่วนเสื้อก็ซื้อพวกมียี่ห้อหน่อยอย่างพวกลาคอส โปโล แกรนด์สแลม เข้าร้านไปทีไร พวกพนักงานขายจำได้นี่แทบจะวิ่งเข้ามาอุ้มเลย เพราะรู้ว่าซื้อแน่นอน แล้วก็ใช้ไป อีก ๓ ปีค่อยเจอกันใหม่ หกชุดใช้ไปสามปี อาทิตย์หนึ่งเกือบไม่ใส่ซ้ำ ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่นา ถ้าเรามั่นใจในตัวเอง ไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้า อัน จินเผิง เป็นเด็กจีนยากจนมาก ไปสอบคณิตศาสตร์โอลิมปิกที่สหรัฐอเมริกา ปรากฏว่ามีเสื้อผ้าอยู่แค่ ๒ ชุด แล้วเด็กวัยรุ่นโตเร็ว ก็ให้แม่คลายตะเข็บแล้วก็เย็บใหม่ให้ยาวพอดี พอครูเห็นเข้าก็ถามว่า "นี่เธอไม่อายชาวต่างชาติเขาหรือ ?" อัน จินเผิงบอกว่า "ความรู้ในหัวผมมั่นใจว่าสู้เขาได้แน่นอน แล้วมีอะไรต้องอายด้วย ?" |
ดังนั้น..ในเรื่องของเวสารัชชกรณธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงว่า ธรรมที่ทำให้กล้าประกอบไปด้วย สัทธา ศีล พาหุสัจจะ สมาธิ แล้วก็ปัญญา
คนมีศีลไปไหนมั่นใจว่าเรามีความดีรักษา แรก ๆ ทุกคนต้องเพียรพยายามรักษาศีล ได้บ้างหลุดบ้าง เดี๋ยวขาดอีกแล้ว แต่พอกำลังใจเริ่มมั่นคงการรักษาศีลเป็นเรื่องปกติ หลายคนก็ขยับขึ้นมารักษาศีล ๘ ได้โดยอัตโนมัติ ถ้าถึงตอนนั้นเราไม่ต้องรักษาศีลแล้ว ศีลจะเป็นคุณงามความดีที่รักษาเราเอง จะไปไหนก็มีความกล้าหาญมีความมั่นใจ ก็คืออยู่ในลักษณะที่ว่าเชื่อดี ต้องเชื่อให้ได้ระดับไกรทอง ไกรทองจะไปสู้กับชาละวัน เขาบอกว่าชาละวันใหญ่ยาวถึง ๙ วา ก็คือประมาณ ๑๘ เมตร ใหญ่กว่าเรืออีกนะ แล้วไกรทองทำอย่างไร ? ชาละวันเอาคางเกยตูมเดียวแพพังเลย แต่ไกรทองไม่หนี 'ไกรทองเข้าชิดติดชนัก จมน้ำสำลักไม่ยักหนี ทิ้งชนักควักมีดกรีดกุมภีร์ เชื่อดีต่อสู้ไม่รู้รา' ไกรทองมั่นใจในวิชาการที่ตัวเองเรียนมา ถ้าหากว่าเป็นธรรมก็คือมีพาหุสัจจะ เรียนมามาก ทำมามาก ศึกษามามาก และเรียนจนรู้จริง ไกรทองถือชนักก็คือลักษณะหอกยาว ๆ จะเอาไว้แทงไอ้เข้ พอประชิดตัวแล้วใช้ไม่ถนัดก็ต้องทิ้ง ควักมีดหมอมาแทง ไปอ่านกันใหม่นะพวกเราอ่านแล้วลืมหมด หลวงพ่ออ่านเท่าไรก็จำได้ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:07 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.