 
| 
			 
			#21  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   ก่อนทำวัตรเย็น วันอาทิตย์ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๘ เมื่อสักครู่ดูคลิปที่เขาส่งมาให้ สี่ยอดหญิงงามของประเทศจีน มีไซซี คนจีนไม่รู้จักไซซี คนจีนรู้จักแต่ซีซือ หวังเจาจวิน เตียวเสี้ยน เตียวเสี้ยนคนจีนก็ไม่รู้จัก รู้จักแต่จาวฉาน แล้วก็หยางกุ้ยเฟย แต่คราวนี้ถ้าเรามาดูคนสวยจริง ๆ ในพระไตรปิฎกก็ต้องพระนางสิริมหามายา เพราะว่าคนอื่นเขามีแค่เบญจกัลยาณี แต่ของพระนางยังมีอิตถีลักษณะอันเป็นคุณอีก ๖๔ ประการ พระพุทธเจ้ามีมหาปุริสลักษณะ ๓๒ มีอนุพยัญชนะ ๘๐ พระพุทธมารดานอกจากเป็นเบญจกัลยาณีแล้ว ยังมีอิตถีลักษณะอันเป็นมงคลอีก ๖๔ ประการ ไม่สูงเกิน ไม่ต่ำเกิน ไม่อ้วนเกิน ไม่ผอมเกิน ฯลฯ คราวนี้ที่ว่าเกินนี่เกินแค่ไหน..? ถ้าเกินถือ ๑๐๐ กิโลกรัมเป็นประมาณ แล้วที่เหลือเป็นส่วนเกิน ที่ไม่ถึงก็แย่สิ..! แต่ถ้าหากว่านับบรรดาหญิงนครโสเภณี ซึ่งตอนนั้นก็จัดอยู่ในประเภทสุดยอดหญิงงาม เป็นหน้าเป็นตาของประเทศชาติเลยนะ เขาถึงต้องตั้งให้ดำรงตำแหน่งนครโสเภณี คือผู้ทำเมืองนี้ให้งาม ถือเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจเลยในยุคนั้น ที่มีชื่อเสียงปรากฏชัด ๆ ก็อย่างเช่นนางสิริมา นางอัมพปาลี นางอัฑฒกาสี ในจำนวนนี้ต้องบอกว่า ที่สวยที่สุดน่าจะเป็นนางอัฑฒกาสี เพราะว่าแคว้นกาสีตอนนั้นถือว่าเป็นแคว้นที่ร่ำรวยมาก ผ้าทอเมืองกาสีทั้งบาง ทั้งเบา ทั้งนุ่ม บรรดาชนชั้นสูงแย่งกันซื้อเพื่อเอาไว้สวมใส่ คำว่า อัฑฒกาสี แปลว่าครึ่งเมืองกาสี..! เขาบอกว่าแคว้นกาสีเก็บภาษีประจำปีได้เท่าไร ครึ่งหนึ่งของภาษีนั้นคือค่าตัวของนาง ถ้าสมมติบ้านเราเก็บได้สองแสนล้าน ค่าตัวแม่เจ้าประคุณก็หนึ่งแสนล้าน..! ถึงขนาดที่นางอัฑฒกาสีเบื่อหน่ายแล้ว อยากจะไปบวช ปรากฏว่าบรรดากษัตริย์ เจ้าชาย พราหมณ์ มหาเศรษฐี ส่งทหารและบริวารมาล้อมเมือง ไม่ให้ออก..ห้ามไปบวช..! 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2025 เมื่อ 03:25 | 
| สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#22  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			นางอัฑฒกาสีก็เลยกลายเป็นต้นตำรับการบวชประหลาดพิลึกพิลั่นอยู่อย่างหนึ่ง เรียกว่าทูเตนอุปสัมปทา การอุปสมบทโดยมีทูต ก็คือส่งหญิงรับใช้เป็นทูตคือไปเป็นตัวแทน ไปแจ้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าขอบวช พระพุทธเจ้าก็แจ้งว่า ต้องโกนหัวโกนคิ้วอย่างไร ? ต้องนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์อย่างไร ? ต้องตั้งกำลังใจในการอุปสมบทอย่างไร ? ต้องรักษาสิกขาบทอย่างไร ? พอหญิงรับใช้ที่เป็นทูตกลับไปบอกเล่า นางอัฑฒกาสีมั่นใจว่าทำได้ ก็จัดการโกนหัว นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์แบบนั้น คราวนี้ออกจากเมืองได้ เนื่องเพราะว่าอยู่ในลักษณะนักบวช พวกที่ล้อมเมืองอยู่ไม่คิดว่าจะใช่..! การอุปสมบทภิกษุณีลำบาก เขาเรียกอย่างหนึ่งว่าอุภโตสังฆอุปสัมปทา ก็คือต้องบวชในสงฆ์ทั้งสองฝ่าย ส่วนใหญ่ก็บวชในทางด้านภิกษุณีก่อน เพราะว่าการถามอันตรายิกธรรมบางอย่างนั้น ถ้าหากว่าพระที่เป็นผู้ชายไปถาม เธออาจจะเขินเอาได้ แล้วก็จะทำให้การบวชไม่สำเร็จ ก็เลยต้องบวชทางฝั่งภิกษุณีก่อน แล้วมาญัตติซ้ำในฝั่งภิกษุ เหตุหนึ่งที่ภิกษุณีสูญไปจากประเทศไทยก็เพราะอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงกำหนดไว้เข้มงวดมาก อย่างเช่นว่าต้องเป็นสิกขมานาก่อนสองปี พระอุปัชฌาย์ที่บวชภิกษุณี เขาเรียกปวัตตินี ถ้าบวชภิกษุณีแล้วหนึ่งรูป ต้องเว้นไปหนึ่งปี ถึงจะบวชรูปใหม่ได้ อุปัชฌาย์รูปหนึ่งบวชภิกษุณีได้หนึ่งเดียว เท่ากับว่าสองปีบวชได้แค่หนึ่งรูป เพราะว่าเว้นหนึ่งปีถึงจะบวชได้อีก เพราะพระพุทธเจ้าท่านตั้งใจเอาไว้แล้วว่า ภิกษุณีถ้าหากว่ามีมาก จะทำให้ศาสนาเสื่อมเร็ว ซึ่งบรรดาเรียกร้องสิทธิสตรีโวยวาย พอมาปัจจุบันเกิด "คดีสีกากอล์ฟ" นี่ชัดเลย ขนาดอยู่นอกวัดยังสร้างความเสียหายให้ได้ขนาดนั้น ถ้าอยู่ในวัดจะบรรลัยขนาดไหน..! 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2025 เมื่อ 03:27 | 
| สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#23  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			พระพุทธเจ้ากำหนดเอาไว้หลังจากมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่นห้ามภิกษุณีจำพรรษาร่วมกับภิกษุ แต่ห้ามจำพรรษานอกอาวาสที่มีภิกษุ ยุ่งไหม ? ก็คือแต่ละวัดต้องมีเขตภิกษุณีสงฆ์เอาไว้ เนื่องจากว่าสมัยโน้นพอรู้ว่ามีสำนักภิกษุณีอยู่ พวกโจรพวกอะไรก็ไปปล้นบ้าง พวกนักเลงไปข่มขืนภิกษุณีบ้าง ไม่มีภิกษุคือไม่มีผู้ชายอยู่ให้เขาเกรงใจ พระพุทธเจ้าก็ต้องกำหนดเอาไว้ว่าห้ามจำพรรษาร่วมกับภิกษุ แต่ก็ห้ามจำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ อาตมภาพไปเมืองกังต็อก นครรัฐสิกขิม ประเทศอินเดีย เจอสำนักแม่ชีที่ชื่อว่ากรรมา โชเกล มีแต่แม่ชีล้วน ๆ ค่อนข้างจะน่ากลัวเพราะว่าสำนักเข้าถึงได้ง่าย และน่าอันตรายมาก เนื่องจากว่าตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นป่าเป็นเขา แล้วก็ไม่มีผู้ชายเลย แล้วประตูก็เปิด ใครจะไปใครจะมาก็เชิญ น่าจะปิดเฉพาะค่ำ ๆ เท่านั้น รั้วรอบขอบชิดก็ไม่ใช่ว่าจะกันได้ อาตมาดูความสามารถตัวเอง กูปีนได้แน่นอน..! แต่คนอื่นจะปีนได้หรือเปล่าไม่รู้ ? กำแพงก็สูงอยู่เหมือนกัน สำนักแม่ชีอยู่ใกล้กับวัดรุมเต็กธัมมจักรา (เก่า) ที่มีกุฏิเก่าที่อายุเกิน ๓๐๐ ปีแล้ว ยังรักษาสภาพเดิม ๆ ได้ เข้าไปดูกุฏิ เขาสานด้วยไม่ไผ่เหมือนกับเสื่อลำแพน ไม่รู้จักเสื่อลำแพนอีก..! เฮ้อ เหนื่อยใจ..! เคยเรียนพระอภัยมณีตอนเกาะผีเสื้อไหม..? เวลาพวกผีเสื้อยักษ์บินมา "เสียงคึกคึกครึกครื้นเป็นหมื่นแสน เท่าลำแพนแผ่ปีกหลีกถลา" ปีกใหญ่เท่าเสื่อลำแพน นึกไม่ออกก็นึกถึงเสื่อสมัยนี้ก็แล้วกัน ก็ใกล้เคียงกัน เขาใช้ไม้ไผ่เป็นโครงสร้าง ใช้เสื่อลำแพนเป็นข้างฝา แล้วก็เอาขี้โคลนยาทั้งสองฝั่ง เพราะว่าบ้านเขาหนาวมาก ป้องกันไม่ให้ลมหนาวเข้า ได้เวลาแล้ว ทำวัตรเย็นกันก่อน พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันนวมินทรมหาราช ๒๕๖๘ ณ วัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ - วันจันทร์ที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล และ นาทาม) 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2025 เมื่อ 03:29 | 
| สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|  | 
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
| 
 | 
 |