|
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
![]() ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ กรกฏาคม ๒๕๖๘ เฮ้อ..หายใจไม่ทัน แก่แล้วยังป่วยอีก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าเราดันไปฝืนร่างกายทำงาน ร่างกายก็เลยไม่ค่อยจะปกติ สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที ต้องอยู่กับการปฏิบัติธรรม เวลางาน..สติ สมาธิ มุ่งอยู่กับงาน นอกเวลางาน..สติสมาธิอยู่กับกรรมฐาน หลักการมีง่าย ๆ แค่นี้เอง ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้ ก็จะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะใช้วิธีภาวนาเช้า - เย็น ตีเสียว่าเช้าครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง ที่เหลือก็ปล่อยลอยตามน้ำไป แล้ววันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง เราว่ายน้ำ ๑ ชั่วโมง ปล่อยลอยตามน้ำไป ๒๓ ชั่วโมง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเอาดีไม่ได้..! ดังนั้น..นักปฏิบัติที่ดีต้องอยู่กับการปฏิบัติธรรมตลอดเวลา พยายามทำให้หน้าที่การงานทุกอย่างของเราเป็นกรรมฐาน ก็คือเอาสติสมาธิจดจ่ออยู่กับงานนั้นจริง ๆ จัง ๆ แต่ไม่ค่อยดีอยู่อย่างว่า บางคนสมาธิลึกแต่ตัวเองไม่รู้ตัว คนอื่นปฏิสันถารด้วยก็ไม่รับรู้อะไร สถานเบาเขาก็แค่หาว่าเราหยิ่ง แต่ถ้าผู้บังคับบัญชาเรียกแล้วไม่รู้อะไร ก็เตรียมตัวหางานใหม่ได้..! แล้วก็มีบางคนทำดีเกินไป ไปทรงสมาธิตอนขับรถ พอจิตเริ่มเป็นสมาธิ ประสาทบังคับร่างกายไม่ได้ จะเบรกรถก็เบรกไม่ได้ ก็เลยไปเบรกกับท้ายคันอื่น..! ถ้าอยู่ในลักษณะนั้นต้องซักซ้อมให้เกิดความคล่องตัว สามารถเข้าหรือออกสมาธิได้ทุกเวลาที่ต้องการ แล้วค่อยไปทำกิจกรรมอันตรายอย่างเรื่องการขับรถ ที่บ้านวังปริง อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งปฏิบัติธรรมแล้วเกิดปัญหา มาสอบถาม ก็คือว่าทุกครั้งที่จะขับรถมอเตอร์ไซค์ พอเริ่มสตาร์ทรถ ตัวก็จะแข็งทื่อทำอะไรไม่ได้ เขาใช้คำว่า "ต้องเขย่าให้หลุดแล้วค่อยขับรถ" พอขับไปได้หน่อยก็แข็งทื่ออีกแล้ว ต้องเขย่าให้หลุดอีก เขาถามว่า "จะแก้ไขอย่างไร ?" ได้บอกไปว่า "ไม่ต้องแก้ไขอะไรมาก ให้เขย่าบ่อย ๆ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-07-2025 เมื่อ 02:05 |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
ลักษณะนั้นแสดงว่าสมาธิทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือทรงฌานได้ คราวนี้การทรงฌานนั้น จิตกับประสาทจะแยกเป็นคนละส่วนกัน ถ้าขาดความชำนาญจะบังคับร่างกายไม่ได้ เหมือนกับคนนั่งหลับหรือว่านั่งแข็งทื่อไปเฉย ๆ คราวนี้เขาไม่รู้ว่าการที่ตัวเองตั้งใจขับรถนั่นคือสมาธิ ด้วยความเคยชินพอจิตเข้าสมาธิ ก็วิ่งไปในระดับที่ตัวเองทำได้สูงสุด ก็เลยนั่งแข็งทื่อ..!
ถ้าเขาซักซ้อมการเข้าออกสมาธิเอาไว้ ก็จะสามารถคลายออกมาเพื่อทำหน้าที่ปกติได้ แต่คราวนี้เขาไม่เข้าใจตรงนั้น ก็เลยใช้คำว่า "ต้องเขย่าให้หลุด" ก็คือเขย่าตัวเองให้สมาธิคลายออกมา แล้วค่อยขับรถต่อ ขับไปอีกหน่อยก็แข็งทื่ออีก ต้องเขย่ากันใหม่..! ต่อไปบุคคลนี้จะมีความคล่องตัวในการเข้าออกสมาธิมาก ก็คือทรงวสี ๕ ได้อย่างน้อย ๒ ตัว คือสมาปัชชนวสี..ชำนาญในการเข้าสมาธิ และวุฏฐานวสี..ชำนาญในการออกจากสมาธิ ซึ่งวสียังมีอีก ๓ ตัว ก็คือ ชำนาญในการเข้าสมาธิตามลำดับ ชำนาญในการเข้าสมาธิตามเวลาที่กำหนดไว้ และชำนาญในการเข้าสมาธิสลับระหว่างระดับฌานได้ ถ้าใครซักซ้อมคล่องตัวขนาดนั้น อยู่ในอิริยาบถไหนก็ทรงฌานได้ สามารถทรงฌานได้ก็จะปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง ชั่วคราว ขอย้ำคำว่า "ชั่วคราว" เพราะว่าอำนาจฌานสมาบัติ สามารถระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ลงได้ แต่ถ้าสมาธิหลุดเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง จะมาเป็นฟ้าถล่มดินทลายเลย..! เพราะว่าก่อนหน้านี้เราไปเก็บกดเอาไว้ จึงมีหลายต่อหลายท่านที่กลัวหรือว่าเข็ดการเข้าสมาธิไปเลย เนื่องเพราะกลัวว่ากิเลสจะตีกลับ ซึ่งความจริงกิเลสมีเท่าเดิม พอโดนอำนาจสมาธิกดไปนาน ๆ กิเลสกลัวว่าตัวเองจะตายก็ต้องสู้สุดชีวิต อาการที่แสดงออกจึงรุนแรงกว่าปกติ อย่างเช่นว่าบางคน เพื่อนพูดอะไรไม่เข้าหูหน่อยเดียว ก็ด่าเขาสาดเสียเทเสียไปเลย แล้วคนอื่นก็จะงงว่า "นี่หรือผู้ปฏิบัติธรรม..!? สะกิดหน่อยเดียวทำไมถึงอารมณ์แรงขนาดนี้ ?" โดยที่ไม่รู้ว่าไปสะกิดผิดจังหวะเข้า..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-07-2025 เมื่อ 02:07 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
เรื่องของการปฏิบัติธรรม ถ้าเราคลายอารมณ์มาพิจารณาไม่เป็น จะเหมือนกับเราเป่าลูกโป่ง มีแต่จะตึงมากขึ้น ๆ จนท้ายที่สุดใครซวยมาสะกิดในจังหวะสุดท้าย ก็ระเบิดตูมใส่เขา..! เป็นเรื่องที่นักปฏิบัติในระยะต้น ๆ ต้องระมัดระวังให้ดี ไม่อย่างนั้นแล้วคนเขาจะดูถูกดูแคลนว่า "เป็นนักปฏิบัติภาษาอะไร ทำไมระงับอารมณ์ไม่เป็น ?"
เนื่องเพราะว่าสมาธิภาวนานั้น เมื่อทำไปจนสุดแล้ว จะเหมือนชาร์จแบตเตอรี่เต็ม สภาพจิตจะถอยออกมาเองโดยอัตโนมัติ เราต้องหาวิปัสสนาญาณมาให้พินิจพิจารณา เป็นการใช้กำลังสมาธิที่เราสั่งสมไว้ให้เป็นประโยชน์ เมื่อพิจารณาไปจนกำลังหมด จิตเราก็จะวิ่งไปหาการภาวนา เราก็ภาวนาไปจนเต็มที่ แล้วคลายมาพิจารณาใหม่ ทำสลับไปสลับมาอย่างนี้จึงจะมีความก้าวหน้า ถ้าเราภาวนาอย่างเดียวแล้วพิจารณาไม่เป็น ถึงเวลาสภาพจิตคลายออกมาเมื่อไร เราจะโดนกิเลสขโมยกำลังไปใช้ ก็คือจะไปฟุ้งซ่านกับ รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งจะฟุ้งได้แรงมากเพราะว่ามีกำลังดี ที่ได้จากที่เราทำสมาธิมา แล้วก็อยู่ในลักษณะ "เอาไม่อยู่" ก็คือฟุ้งซ่านจนกระทั่งบางคนหงุดหงิดรำคาญ เลิกปฏิบัติธรรมไปเลย จึงเป็นเรื่องที่นักปฏิบัติธรรมต้องสังวรระวังไว้ว่า ภาวนาแล้วต้องพิจารณา พิจารณาแล้วต้องภาวนา จะทำเพียงอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ เพราะว่าเราไม่เก่งพอ เมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่ผ่านมา มีโยมท่านหนึ่งบอกว่า "ตอนนี้สมาธิแย่มาก ไม่สามารถที่จะพิจารณาอะไรได้เลย ฟุ้งซ่านตลอด" จึงได้ถามไปว่า "คุณปฏิบัติแบบไหน ?" เขาบอกว่า "จับลมหายใจ ๒ - ๓ ครั้งแล้วก็พิจารณา" จึงตอบเขาไปว่า "คุณทำแบบนั้นก็ฟุ้งซ่านทั้งชาติ..! เพราะว่ากำลังสมาธิไม่พอ เหมือนคนหาเงินได้ ๒๐ บาท แล้วก็ใช้เสีย ๕๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ บาท มีแต่เจ๊งตลอด..!" เพราะลักษณะแบบนั้นก็คือการใช้วิปัสสนาญาณเป็นหลัก ถ้าปัญญาเราไม่มากพอจริง ๆ จนสภาพจิตยอมรับในสิ่งที่พิจารณาไปเลย ก็จะออกอาการฟุ้งซ่านแบบนั้น หรือถ้าหากว่าเราเอาแต่ภาวนาอย่างเดียว แล้วกำลังไม่สามารถจะยั่งยืนถึงขนาดกดกิเลสไว้เป็น ๑๐ เป็น ๑๐๐ ปี กิเลสก็ไม่ตาย กิเลสรอเวลา เราเผลอหลุดออกมาเมื่อไรก็โดนกิเลสตีกระหน่ำอีก..! ก็แปลว่าที่พวกเราทำมาทั้งหมด ถูกบ้างผิดบ้าง ตามแต่ความเชื่อถือของตน บางคนครูบาอาจารย์บอกก็ไม่เชื่อ..ขอทำเอง..ลักษณะแบบนี้ดีมาก คือให้โดนให้เข็ด..จะได้จำ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-07-2025 เมื่อ 02:10 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]() ก่อนทำวัตรเย็น วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ กรกฏาคม ๒๕๖๘ (ช่วงเย็นขณะจุดผางประทีปวันอาสาฬหบูชา มีฝนตกลงมา) ตอนฝนตกเป็นอย่างไรบ้าง ? กำลังใจหายวาบไปแล้วหรือเปล่า ? จะต้องมั่นคง ไม่ใช่เอะอะก็ใจคอไม่ดี ถ้ากำลังใจเป็นประเภทหายวูบไปเลย ลักษณะอย่างนั้นต่อให้เหนียวแสนเหนียวก็บรรลัยหมด..! ญาติโยมถ้าสังเกตจะเห็นว่า พวกเราทำอะไรค่อนข้างเร็วกว่าคนอื่นเขา เมื่อครู่เราตามประทีป พักเดียวเสร็จแล้วเข้ามานั่งอยู่ในนี้ บางคนอาบน้ำมาทันด้วย บางคนก็กะว่าเวียนเทียนแล้วค่อยไปอาบ บุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม เรื่องยุ่งอื่น ๆ ไม่ค่อยไปแตะต้องแล้ว บรรดาสิ่งฟุ้งซ่านต่าง ๆ จากภายนอกก็ไม่เอา กระผม/อาตมภาพเองตั้งแต่ก่อนบวชสองปี ก็ทิ้งหมดทุกอย่างเลย ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติภาวนา รักษาศีล ๘ เผื่อไว้ก่อน เผื่อตอนเป็นพระ ถ้ารักษาไม่ได้ก็จะไม่บวชแล้ว คราวนี้พอทำในลักษณะนั้นแล้วปรากฏว่า เรื่องความต้องการทางโลก ๆ ลดน้อยลงไปมาก ผ้าผ่อนใช้วิธีซื้อทีละ ๖ ชุด ก็คือจะซื้อกางเกง ง่ายที่สุดก็คือกางเกงกีฬาที่เรียกว่า "กางเกงวอร์ม" ๖ ตัวไปเลย บางคนไม่สังเกตนึกว่าใส่ตัวเดียว เพราะว่าจะมีตะเข็บขาวเล็ก ๆ ตะเข็บเหลือง ตะเข็บน้ำเงิน ตะเข็บแดง ส่วนเสื้อก็ซื้อพวกมียี่ห้อหน่อยอย่างพวกลาคอส โปโล แกรนด์สแลม เข้าร้านไปทีไร พวกพนักงานขายจำได้นี่แทบจะวิ่งเข้ามาอุ้มเลย เพราะรู้ว่าซื้อแน่นอน แล้วก็ใช้ไป อีก ๓ ปีค่อยเจอกันใหม่..! หกชุดใช้ไปสามปี อาทิตย์หนึ่งเกือบไม่ใส่ซ้ำ ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่นา ถ้าเรามั่นใจในตัวเอง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เสื้อผ้า อัน จินเผิง เป็นเด็กจีนยากจนมาก ไปสอบคณิตศาสตร์โอลิมปิกที่สหรัฐอเมริกา ปรากฏว่ามีเสื้อผ้าอยู่แค่ ๒ ชุด แล้วเด็กวัยรุ่นโตเร็ว ก็ให้แม่คลายตะเข็บแล้วก็เย็บใหม่ให้ยาวพอดี พอครูเห็นเข้าก็ถามว่า "นี่เธอไม่อายชาวต่างชาติเขาหรือ ?" อัน จินเผิงบอกว่า "ความรู้ในหัวผมมั่นใจว่าสู้เขาได้แน่นอน แล้วมีอะไรต้องอายด้วย ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-07-2025 เมื่อ 02:12 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
ดังนั้น..ในเรื่องของเวสารัชชกรณธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงว่า ธรรมที่ทำให้กล้าประกอบไปด้วย สัทธา ศีล พาหุสัจจะ สมาธิ ปัญญา
คนมีศีลไปไหนมั่นใจว่าเรามีความดีรักษา แรก ๆ ทุกคนต้องเพียรพยายามรักษาศีล ได้บ้างหลุดบ้าง เดี๋ยวก็ขาดอีกแล้ว แต่พอกำลังใจเริ่มมั่นคง การรักษาศีลเป็นเรื่องปกติ หลายคนก็ขยับขึ้นมารักษาศีล ๘ ได้โดยอัตโนมัติ ถ้าถึงตอนนั้นเราไม่ต้องรักษาศีลแล้ว ศีลจะเป็นคุณงามความดีที่รักษาเราเอง จะไปไหนก็มีความกล้าหาญมีความมั่นใจ ก็คืออยู่ในลักษณะที่ว่าเชื่อดี ต้องเชื่อให้ได้ระดับไกรทอง ไกรทองจะไปสู้กับชาละวัน เขาบอกว่าชาละวันใหญ่ยาวถึง ๙ วา ก็คือประมาณ ๑๘ เมตร..! ใหญ่กว่าเรืออีกนะ แล้วไกรทองทำอย่างไร ? ชาละวันเอาคางเกยตูมเดียวแพพังไปเลย..! แต่ไกรทองไม่หนี 'ไกรทองเข้าชิดติดชนัก จมน้ำสำลักไม่ยักหนี ทิ้งชนักควักมีดกรีดกุมภีร์ เชื่อดีต่อสู้ไม่รู้รา' ไกรทองมั่นใจในวิชาการที่ตัวเองเรียนมา ถ้าหากว่าเป็นธรรมก็คือมีพาหุสัจจะ เรียนมามาก ทำมามาก ศึกษามามาก และเรียนจนรู้จริง ไกรทองถือชนักก็คือลักษณะหอกยาว ๆ จะเอาไว้แทงไอ้เข้ พอประชิดตัวแล้วใช้ไม่ถนัดก็ต้องทิ้ง ควักมีดหมอมาแทง ไปอ่านกันใหม่นะ พวกเราอ่านแล้วลืมหมด หลวงพ่ออ่านเท่าไรก็จำได้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-07-2025 เมื่อ 02:14 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
![]()
เมื่อครู่นี้ตอนเขาตีกลองระฆังย่ำค่ำ ตัวหนังสือวิ่งมาเป็นแถวเลย วังเอ๋ยวังเวง หง่างเหง่งย่ำค่ำระฆังขาน ลืมกันหมดแล้วใช่ไหม..? รำพึงในป่าช้า ของพระยาอุปกิตศิลปสาร
๑. วังเอ๋ยวังเวง หง่างเหง่งย่ำค่ำระฆังขาน ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับ ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั่วมณฑล และทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดียว เอย จำได้ไหมว่านี่เป็นการแต่งกลอนดอกสร้อย จะขึ้นด้วยเอ๋ยลงด้วยเอย แมวเอ๋ยแมวเหมียว รูปร่างปราดเปรียวอย่างกับหมา ร้องเรียกเหมียว ๆ เยี่ยวราดมา เลอะแข้งเลอะขาน่าเอ็นดู ใช่หรือเปล่า..!? ตอนอาตมาเป็นเด็กนี่ครูปวดหัวมาก อะไรได้ยินแล้วกูแปลงทั้งหมด..! ๒. ยามเอ๋ยยามนี้ ปฐพีมืดมัวทั่วสถาน อากาศเย็นเยือกหนาวคราววิกาล สงัดปานป่าใหญ่ไร้สำเนียง มีก็แต่จังหรีดกระกรีดกริ่ง เรไรหริ่งร้องขรมระงมเสียง คอกควายวัวรัวเกราะเปาะเปาะเพียง รู้ว่าเสียงเกราะแว่วแผ่วแผ่ว เอย บอกเขาว่าเรียนมาตั้งแต่ ป. ๑ ยันปริญญาเอกยังไม่เคยลืมอะไรเลย คนเขาก็งง ๆ พอถึงเวลาห้ามสะกิด ถ้าสะกิดถูกเหมือนใส่พาสเวิร์ด ข้อมูลจะออกมาเอง เพราะฉะนั้น..สมัยก่อนเวลาบรรยายให้เด็กฟัง ๒ - ๓ ชั่วโมงว่าไปเถิด ล่าสุดนี้ก็บรรยายให้พระวินยาธิการฟัง หลวงพ่อพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ. ๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี บอกว่า "นิมนต์หน่อยครับ ให้คนอื่นบรรยายช่วงบ่ายเดี๋ยวหลับกันหมด" ไม่มีอะไรหรอกก็แค่เอาของเก่ามาขายให้เขาฟัง เมื่อครู่สองบทแล้ว ใครต่อบทที่สามได้ ? ๓. นกเอ๋ยนกแสก จับจ้องร้องแจ๊กเพียงแถกขวัญ... พระอนุรุทธเถระเพื่อนฝูงบรรลุอรหัตผลกันหมดแล้ว ท่านติดอยู่ ๗ ปีเต็ม ๆ เพราะมัวแต่ไปตรึกในมหาปุริสวิตก ๗ ประการ จนพระพุทธเจ้าต้องมาบอกเพิ่มประการที่ ๘ ให้ ท่านบอกว่า "บุคคลที่มีใจตั้งมั่นย่อมระลึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วได้นาน" ไม่ได้ระลึกเฉย ๆ นะ แค่นานอย่างของพวกเรานี่บางทีก็เป็นเดือนเป็นปี อันนี้เขาระลึกกันข้ามชาติข้ามภพเลย..! เพราะฉะนั้น..แค่ที่เรียนมาชาตินี้เรื่องเล็ก ให้ฟังไปเรื่อย ๆ ก่อนเพราะเราทำวัตรตอนหนึ่งทุ่ม ตอนนี้ยังไม่ถึงทุ่มเลย นาฬิกาตายหรือไรทำไมเดินช้าแท้ ? เหลืออีกตั้งหลายนาที
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:31 |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
![]()
ในเรื่องของการศึกษาสำคัญที่สุดก็คือไตรสิกขา การศึกษาสามอย่าง ก็คือ
สีลสิกขา ศึกษาในศีล ไม่ได้เรียนให้รู้ว่าศีลมีอะไร แต่เรียนแล้วต้องทำให้ได้ คือรักษาศีลได้ด้วย การรักษาศึลก็ต้องอยู่ในลักษณะที่ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมผู้อื่นให้ละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นละเมิดศีล ใครมั่นใจว่าทำได้บ้าง ? ถึงเวลาเห็นมดชักแถวเข้าครัว คว้ายาได้ ฉีดควั่บ..ตายเป็นเบือ..! อันนี้ละเมิดศีลด้วยตัวเอง คราวนี้เป็นคนดีขึ้นมาหน่อยเห็นมดเดินมา หยิบยาขึ้นมาแล้ว แต่เรารักษาศีลนี่หว่า ? ยัดใส่มือลูก บอก "อีหนู..ฉีดทีซิ..!" อันนี้ยุให้คนอื่นละเมิดศีล มดเดินมา ช่างมัน เรารักษาศีล ลูกเดินมา หุบปากไว้ เราไม่บอกให้เขาละเมิดศีล ลูกเห็นมดเดินเยอะแยะไปหมด คว้ายามาฉีดควั่บเข้าให้ เราก็ "เออ ..มึงน่าจะทำนานแล้ว" อันนี้ยินดีเมื่อคนอื่นละเมิดศีล บรรลัยพอกัน..! เพราะฉะนั้น..การรักษาศีลเบื้องต้น ถ้าจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าต้องได้ทั้ง ๓ ส่วน ก็คือต้องไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล แต่..แต่อย่าเผลอว่าตนเองมีศีลแล้วเป็นคนดี สมัยนี้ติดดีกันเยอะมาก เรารักษาศีลเพื่อปลดตนเองออกจากเครื่องร้อยรัด โดยเฉพาะ รัก โลภ โกรธ หลง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:33 |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
![]()
ศีลข้อที่ ๑ ต้องระงับความโกรธ ก็คือไม่ตีราฆ่าฟันใคร
ศีลข้อที่ ๒ ต้องระงับความโลภ ไม่หยิบฉวย ช่วงชิง ฉ้อโกงสิ่งของผู้อื่น ศีลข้อที่ ๓ ต้องระงับความรัก รักตัวนี้ไม่ใช่เมตตาแต่เป็นราคะ..! ก็คือไม่ละเมิดทุกคนที่มีเจ้าของ โอ้โห..พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ๒๒ ประเภท ไม่รอดสักราย หญิงผู้มีบิดา หญิงผู้มีมารดา ผู้มีพี่ชาย ผู้มีพี่สาว ผู้มีน้องชาย ผู้มีน้องสาว ผู้มีกฎหมายคุ้มครอง ผู้มีบุคคลจองตัวไว้แล้ว ก็คือคู่หมั้นเขา จนกระทั่งท้ายที่สุดก็มีสามีแล้ว มีภรรยาแล้ว และหนักที่สุดคือผู้มีธรรมคุ้มครอง ตาย..ขยับไม่ได้เลย..ผิดหมดทุกประตู..! ศีลข้อที่ ๔ แทบจะห้าม รัก โลภ โกรธ หลง หมดทุกอย่างเลย เพราะว่าอยากได้ก็โกหก โกรธก็หลอกเขาไปตายก็มี..! รักก็หลอกลวงเขาว่ายังไม่มีผัวไม่มีเมีย อาตมภาพไม่น่ารอดมาได้หรอก แต่มีความคิดอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าเป็นเพศตรงข้ามเห็นหน้าเมื่อไรก็นึกไว้ก่อนว่า "เมียเขา" อันนี้ปฏิบัติมาตั้งแต่วัยรุ่นเลย จะได้ไม่เสียเวลาไปจีบเมียเขา..! ในจูฬราหุโลวาทสูตร พระพุทธเจ้าตักน้ำล้างพระบาท เสร็จแล้วก็คว่ำขันให้สามเณรราหุลดูว่า "ดูก่อน..ราหุล ภายในภาชนะนี้มีน้ำเหลืออยู่หรือไม่ ?" พระราหุลตอบว่า "ไม่มีเหลืออยู่เลยพระพุทธเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อน..ราหุล บุคคลผู้โกหกหลอกลวงผู้อื่น เป็นผู้ว่างเปล่าจากความดี เหมือนภาชนะที่คว่ำอยู่นี้" แค่นี้ยังไม่พอนะ หาความดีไม่ได้แล้วยังไม่พอ พระองค์ท่านยังบอกว่า "ผู้โกหกหลอกลวงผู้อื่น จะไม่ทำความชั่วอื่นนั้นไม่มี" โห..บรรลัยเลย ตาย ๆ ๆ เพราะฉะนั้น..ถ้าใครยังโกหกอยู่ลด ๆ ลงบ้างนะ ความชั่วอื่นจะได้ลดตามไปด้วย..! ศีลข้อสุดท้าย การดื่มสุราเมรัย ข้อที่ ๕ นี้ป้องกัน รัก โลภ โกรธ หลง ทุกข้อเหมือนกัน เพราะว่าถ้าสติสัมปชัญญะสมบูรณ์บริบูรณ์ เราก็ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่โกหกหรอกลวงคนอื่นเขา คราวนี้ในส่วนของศีล เมื่อตั้งใจระวังรักษา สมัยก่อนเมื่อบอกอนุศาสน์ท่านจะกล่าวอานิสงส์ว่า "สีลปริภาวิโต สมาธิมหัปผโล โหติ มหานิสังโส การระมัดระวังศีลโดยรอบคือครบถ้วนสมบูรณ์บริบูรณ์ มีอานิสงส์ใหญ่คือสร้างสมาธิให้เกิดขึ้น" จิตใจคอยระมัดระวังอยู่ เมื่อจดจ้องระมัดระวังต้องมีสมาธิ ไม่อย่างนั้นก็เผลอหลุด ดังนั้น..คนที่รักษาศีลได้ ถ้าทำสมาธิจะง่ายมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:37 |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
![]()
คราวนี้อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วเมื่อตอนบ่ายว่า พวกเราพอถึงเวลาภาวนาแล้ว พิจารณาไม่เป็น ก็คือไม่ถนัดการใช้ปัญญา ก็เลยทำให้เราเลี้ยงโจรไว้ปล้นตัวเอง คือ ทำสมาธิแล้วส่งให้กิเลสไปใช้ เพราะว่า รัก โลภ โกรธ หลง ได้กำลังจากกิเลสไป ก็มีกำลังกล้าแข็ง ทำความชั่วได้ถนัดยิ่งขึ้นเนื่องจากมีกำลังดี
เราจึงต้องพยายามใช้ปัญญา ยกหัวข้อธรรมที่ขัดข้องขึ้นมาพินิจพิจารณา ไม่ต้องเอาอะไรมาก แค่พระท่านบอกว่า "ร่างกายนี้ไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด" เราเถียงไหม ? เราเห็นว่าสวยงาม แข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย เหลือเชื่อที่ว่าบางคนป่วยติดเตียงจะตายแหล่ไม่ตายแหล่ พออาการดีขึ้นมาหน่อยลืมไปอีกแล้ว ตอนแรกก็ "โอ๊ย..ตายตอนนี้จะไม่ว่าสักคำ" พอได้หมอได้ยาดีขึ้นมาหน่อยก็ "อยู่ต่ออีกนิดก็แล้วกัน" ทำไมสภาพใจถึงได้กลับกลอกจนขนาดนั้น..! ก็เพราะว่าสมาธิไม่พอ ปัญญาก็เลยไม่สามารถตัดขาด หรือว่ามองเห็นอย่างแท้จริงว่าสิ่งนี้ไม่เที่ยง ก็เลยเถียงว่า "ตอนนี้ยังไม่ป่วย ตอนนี้ยังไม่แก่ โดยเฉพาะตอนนี้ยังไม่ตาย" อาตมาได้ยินแล้วอยากสิ้นชีวิตแทน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 00:30 |
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (เมื่อวานนี้), ตัวเล็ก (เมื่อวานนี้), ทายก (เมื่อวานนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (เมื่อวานนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
#10
|
||||
|
||||
![]()
พอบอกว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์..เถียงไหม ? ทุกข์ตรงไหน ? โยมแม่อาตมานี่เถียงทุกเม็ด..! ทำงานเลี้ยงลูกงก ๆ มา ๑๓ คน เป็นคุณแม่สู้ชีวิตมาก ไปปฏิบัติมโนมยิทธิครั้งแรก คุณครูถามว่า "ยาย..เกิดมาทุกข์ไหม ?" แม่บอกว่า "ไม่ทุกข์" เล่นเอาคุณครูหัวเราะ เดินออกมาถามว่า "ท่านเล็ก..สอนแม่อย่างไร ? ถามแม่ว่าเกิดมาทุกข์ไหม ? แม่บอกว่าไม่ทุกข์ !" ก็เลยบอกว่า "คุณครูกลับไปถามใหม่ คุณครูใช้คำพูดผิด ให้ไปถามแม่ว่า..เกิดมาลำบากไหม ? แกบรรยายได้สามวันสามคืนเลย..!"
เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นว่า ถ้าครูบาอาจารย์ไม่เข้าใจกำลังใจลูกศิษย์ บางทีก็พาให้เสียประโยชน์เหมือนกัน อาตมาเองตอนฝึกมโนมยิทธิครั้งแรก ครูฝึกถามว่า "สว่างไหม ?" ตอบไปว่า "ไม่เลยครับ มืดตื๋อ" ครูฝึกถามต่อ "เห็นอะไรไหม ?" อาตมาก็ "ไม่ครับ" ถามเท่าไรก็ไม่อย่างเดียว จนแทบต้องเอาถังดับเพลิงมาวางไว้ข้าง ๆ เพราะถามอะไรไม่ (ไหม้) หมด จนครูท้อใจเลิกถามไปเลย..! อาตมาก็นั่งสมาธิไปเรื่อย จนปรากฏว่าคุณครูที่อยู่อีกวงหนึ่งถามลูกศิษย์ในวงว่า "นึกถึงภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหมคะ ?" อาตมาเผลอหลุดปากไปว่า "ได้ครับ" อาตมาจับภาพพระเป็นกสิณมาก่อนตั้งสามปีแล้ว นึกเมื่อไรก็ได้ ครูก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นน้อมใจกราบลงตรงนั้นนะ..ทำได้ไหม ?" ก็ตอบไปว่า "ทำได้ครับ" ครูฝึกก็ตะล่อมไปเรื่อย ท้ายสุด "ลองอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดูว่า ถ้าพระองค์ท่านมาโปรดเราจริง ขอให้ประทับยืนขึ้นได้ไหม ?" เหลือเชื่อมาก ภาพพระพุทธรูปจากนั่งสมาธิยืนขึ้นเฉยเลย..! ตอนนั้นรู้สึกว่าจะลอยทั้งตัว..!!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 00:34 |
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (เมื่อวานนี้), ตัวเล็ก (เมื่อวานนี้), ทายก (เมื่อวานนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (เมื่อวานนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
#11
|
||||
|
||||
![]()
คราวนี้เห็นหรือยังว่าครูบาอาจารย์สำคัญขนาดไหน ? สอนผิด ไม่ตรงกำลังใจ..ลูกศิษย์เสียประโยชน์ สอนถูก ตรงกำลังใจ..ลูกศิษย์ได้ประโยชน์
พระสารีบุตรเห็นลูกชายนายช่างทองเป็นคนหนุ่ม รูปร่างหน้าตาดีมาก ฐานะร่ำรวยมาก คาดว่าเป็นผู้มากด้วยกามราคะ ก็เลยให้อสุภกรรมฐานไปพิจารณา ปรากฏว่าทำเท่าไรก็ไม่ได้ผล ถึงได้นำตัวไปถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบทูลว่า สอนมานานแล้วก็ยังไม่ได้ผล พระพุทธเจ้าตรัสว่า "กุลบุตรผู้มีศรัทธามา ถึงตถาคตแล้วปฏิบัติธรรมจะไม่ได้ผลนั้นไม่มี" แล้วก็เนรมิตดอกบัวทองคำแต่เป็นสีแดงดอกหนึ่งให้ บอกว่าไปกอบทรายพูนขึ้นมา เอาดอกบัวปักไว้ แล้วก็ลืมตามอง หลับตานึกถึง ถ้าภาพหายไปก็ลืมตามองใหม่ หลับตานึกถึง พักเดียวเท่านั้นเอง ลูกชายนายช่างทองก็ทรงกสิณได้ พิจารณาต่อไปว่าภาพกสิณมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตัวเราก็เหมือนกัน เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด เมื่อตัดใจว่าถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ปรารถนาการเกิดอีกแล้ว ก็กลายเป็นพระอรหันต์ไป ลูกชายนายช่างทองไม่ใช่ราคะจริต แต่เป็นโทสะจริต อะไร ๆ ต้องได้อย่างใจ เอาใจตัวเองแบบลูกคนรวย พระสารีบุตรให้กรรมฐานผิด พระพุทธเจ้าให้กสิณไป โดยเฉพาะวรรณกสิณ จึงสามารถระงับโทสะจริตได้ ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครเจอครูบาอาจารย์พาเข้ารกเข้าพงก็เป็นเรื่องที่น่าสงสาร รู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมงวดนี้ อาตมาคงไม่ได้นำปฏิบัติธรรมช่วงเช้ามืด เพราะว่าเสียงไม่อำนวย ไม่ตะเบ็งแล้วไม่มีเสียง การนำกรรมฐานช่วงเช้ามืดต้องใช้เสียงเบา เพราะฉะนั้น..งวดนี้ลองหากินกันเองดูบ้างนะ เอ้า..เตรียมทำวัตรค่ำได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 00:36 |
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (เมื่อวานนี้), ตัวเล็ก (เมื่อวานนี้), ทายก (เมื่อวานนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (เมื่อวานนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|