กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า เมื่อวานนี้, 18:19
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 522
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 25,808 ครั้ง ใน 1,010 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๘


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า วันนี้, 00:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,471 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เมื่อนำพระภิกษุสามเณรบิณฑบาตและฉันเช้าแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินทาง "ลง" เมืองกาญจนบุรี ซึ่งการเดินทางลงนั้นก็พูดตามลักษณะของพื้นที่ เนื่องเพราะว่าทองผาภูมินั้นเป็นที่สูงกว่า ถ้านับระหว่างทองผาภูมิกับกรุงเทพฯ ทองผาภูมิก็จะสูงกว่าถึง ๖๐๐ กว่าเมตร ดังนั้น..ถ้าหากว่าออกจากทองผาภูมิ ภาษาคนโบราณจึงเรียกว่า "ขาล่อง" ก็คือลงไปยังจังหวัดกาญจนบุรี หรือว่าออกไปจังหวัดอื่น ๆ แต่ถ้าหากว่ากลับทองผาภูมิก็จะเป็น "ขาขึ้น" ก็คือกลับขึ้นสู่ที่สูงนั่นเอง

มาพักฉันภัตตาหารเพลที่วัดราษฎร์ประชุมชนาราม (วัดท่ามะขาม) หมู่ที่ ๒ ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี แล้วจึงตรงไปยังวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) เพื่อร่วมการประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี ระดับเจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ และเลขานุการ ร่วมกับสำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี และประธานฝ่ายบริหารงานคณะสงฆ์ทั้ง ๖ ด้านของจังหวัดกาญจนบุรี

ความจริงวันนี้ ถ้านับตามตำแหน่งของกระผม/อาตมภาพ ก็คือที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีนั้น ไม่ต้องเข้าร่วมการประชุมก็ได้ แต่ในการประชุมครั้งที่แล้ว กระผม/อาตมภาพเพิ่งได้รับแต่งตั้ง เป็นประธานฝ่ายบริหารการศึกษาสงเคราะห์ ของคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี จึงต้องมาประชุมตามตำแหน่งใหม่นั่นเอง โดยมีพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ. ๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีเป็นประธานในการประชุมครั้งนี้

เพียงแต่ว่าการประชุมในวาระที่ ๑ ถึงวาระที่ ๔ นั้น มีกระผม/อาตมภาพเป็น "ตัวปัญหา" อยู่คนเดียว เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าท่านอื่นคงจะมีความฉลาด อยู่ในลักษณะที่ว่า "พูดมากผิดมาก พูดน้อยผิดน้อย ไม่พูดไม่ผิดเลย" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไม่มีใครแสดงความเห็นในที่ประชุม ทั้งที่หลายต่อหลายเรื่องนั้น เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีตั้งวาระการประชุมมาแล้ว ก็ยังมีสิ่งที่ต้องบอกกล่าวเพิ่มเติมกันอีกมาก

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพจึงต้องเป็น "ตัวปัญหา" ต่อไป เนื่องเพราะว่า
เป็นบุคคลที่ไม่ห่วงความก้าวหน้าทางสมณศักดิ์ของตนเอง ไม่ห่วงความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานของตนเอง หากแต่เอาความดี ความงาม ความถูกต้อง ในการบริหารคณะสงฆ์เป็นหลัก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กมลโกศลจิต​ (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), เผือกน้อย (วันนี้), ภูพิงค์ (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
  #3  
เก่า วันนี้, 00:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,471 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะการแต่งตั้งคณะกรรมการในการปกครองคณะสงฆ์ทั้ง ๖ ด้านของแต่ละฝ่ายนั้น ไม่มีผู้ใดแสดงความเห็น กระผม/อาตมภาพจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแสดงความเห็นว่า เนื่องจากเป็นการปกครองคณะสงฆ์แต่ละฝ่ายในระดับจังหวัด ดังนั้น..คณะกรรมการจึงควรที่จะมาจากทุกอำเภอ ใน ๑๓ อำเภอของจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อที่จะได้มีผู้รับผิดชอบในแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจน ไม่ใช่ให้ประธานบริหารของแต่ละฝ่ายตั้งใครมาก็ได้ ซึ่งถ้าตั้งลักษณะแบบนั้น เราจะเข้าไม่ถึงพื้นที่ ในเมื่อไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง เราก็ไม่สามารถพัฒนาได้ ตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่กล่าวถึงการทำงานว่า "ในงานแต่ละอย่างนั้น เราต้องเข้าใจ เข้าถึง จึงสามารถที่จะพัฒนาได้"

ในเมื่อกล่าวขึ้นมาเช่นนี้ ก็เป็นการสร้างงานให้กับบุคคลอื่นอีก..! ก็คือแต่ละอำเภอต้องคัดเลือกตัวบุคคล เพื่อส่งเข้ามาให้เลขานุการเจ้าคณะจังหวัด จัดทำเป็นรายชื่อคณะกรรมการ เสนอต่อหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดให้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ

กระผม/อาตมภาพเองได้ยินแบบนั้นแล้วก็ถอนใจ เนื่องเพราะว่าในการปกครองคณะสงฆ์ทุกระดับ ตั้งแต่เจ้าอาวาสขึ้นไป ก็ต้องทำหน้าที่ในการปกครองคณะสงฆ์ทั้ง ๖ ด้านอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นระดับอำเภอ ก็ต้องมีผู้รับผิดชอบในแต่ละด้านเป็นปกติ คุณก็แค่เสนอชื่อผู้รับผิดชอบด้านนั้นของอำเภอคุณขึ้นมา ก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการฝ่ายนั้น ๆ ไปแล้ว

พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าคุณเห็นว่าเป็นภาระที่จะต้องไปค้นหาตัวบุคคลมา แสดงว่าการบริหารงานที่ผ่านมาของคุณนั้นเฮงซวยมาก..! ก็คือไม่มีคณะกรรมการรับผิดชอบอย่างเป็นทางการเลย ต้องขออภัยที่กระผม/อาตมภาพเวลาประชุมก็มักจะไม่ค่อยเกรงใจใคร เนื่องเพราะถือว่าในที่ประชุมนั้น แต่ละท่านมีสิทธิ์มีเสียงเท่ากัน หลังการประชุมแล้วค่อยมาขอขมากันทีหลัง

ส่วนในเรื่องของการฝ่ายศาสนศึกษา ซึ่งท่านพระครูสิริกาญจนาภิรักษ์, ดร. เจ้าคณะอำเภอบ่อพลอย เจ้าอาวาสวัดทุ่งมะสัง ท่านปรารภว่าถ้าแต่งตั้งกรรมการมา เกรงว่าจะไม่ทั่วถึง เนื่องเพราะว่าการศึกษานั้น มีทั้งแผนกบาลี มีทั้งแผนกนักธรรม มีทั้งแผนกธรรมศึกษาซึ่งคู่กับแผนกนักธรรม มีทั้งแผนกปริยัติสามัญ และมีฝ่ายการอุดมศึกษา อย่างเช่นวิทยาลัยสงฆ์ เป็นต้น

กระผม/อาตมภาพจึงบอกว่านั่นไม่ใช่ปัญหา เนื่องเพราะว่าคณะกรรมการบริหารฝ่ายศาสนศึกษา ก็แต่งจากตั้งแต่ละฝ่ายให้มาครบถ้วนสมบูรณ์ ถือว่าเป็น "บอร์ดใหญ่" แล้วให้แต่ละฝ่ายออกไปตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา เพื่อให้การดำเนินงานของแต่ละฝ่ายมีความคล่องตัว ส่วนคณะอนุกรรมการและ "บอร์ดใหญ่" ก็ขึ้นตรงกับหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดอยู่แล้ว เหล่านี้เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กมลโกศลจิต​ (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), เผือกน้อย (วันนี้), ภูพิงค์ (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
  #4  
เก่า วันนี้, 00:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,471 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องของการแสดงความเห็นในที่ประชุม ซึ่งไม่ค่อยมีใครกล้าแสดงความเห็น เพราะเกรงว่าจะกระทบกระทั่งผู้อื่น หางานเพิ่มให้กับผู้อื่น แล้วเขาจะไม่ชอบขี้หน้าตน หรือว่าพูดผิดหู พูดผิดแนวทางการบริหาร กลายไปเพิ่มงานให้ผู้บังคับบัญชา ก็จะทำให้ท่านไม่ชอบขี้หน้า อาจจะทำให้ตำแหน่งหน้าที่การงานของตนสะดุดหยุดยั้งลงก็เป็นได้ ซึ่งเรื่องพวกนี้ กระผม/อาตมภาพไม่เคยคิดถึง เนื่องเพราะว่าจะได้เป็นหรือไม่ได้เป็น จะได้เลื่อนหรือไม่ได้เลื่อนนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่สุดก็คือให้งานปกครองคณะสงฆ์ของเราซึ่งกระพร่องกระแพร่งเต็มทีนั้น ออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่ความสามารถของเราจะทำได้

ในเรื่องของการศึกษาสงเคราะห์ที่กระผม/อาตมภาพเป็นประธานฝ่ายบริหารอยู่นั้น ก็ได้เสนอแนวคิดไปว่า พระสังฆาธิการทุกระดับตั้งแต่ผู้ช่วยเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และเจ้าอาวาสขึ้นมา ต้องมีการตั้งทุนการศึกษาสงเคราะห์อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทุนระดับประถมศึกษา ทุนระดับมัธยมศึกษา หรือว่าทุนระดับอุดมศึกษาก็ตาม ให้พิจารณาตั้งทุนการศึกษาพระภิกษุสามเณรแบบวัดท่าขนุนด้วย

เมื่อตั้งทุนแล้ว ก็ขอแค่การบริจาคทุน หรือว่าการแจกทุน ในลักษณะของ "สัจจะออมทรัพย์" ก็คือให้ทำเท่า ๆ กันทุกเดือน จะเป็น ๑๐๐ บาท ๒๐๐ บาท ๓๐๐ บาท ก็แล้วแต่มากน้อยที่ท่านจะศรัทธา แต่ให้โอนเข้าวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีทุกเดือน ฝ่ายเจ้าหน้าที่การเงินก็จะออกใบเสร็จรับเงินให้ ซึ่งท่านสามารถนำไปแสดง เป็นผลงานด้านการศึกษาสงเคราะห์ของตนเอง ในเวลาขอตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นพระครูสัญญาบัตร หรือว่าตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ เราก็จะมีงานที่ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง ๖ ด้าน

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้พูดไปแล้วก็เป็นการเพิ่มงานให้กับคนอื่นอีกเช่นกัน
แต่ถ้าหากว่าเราไม่ช่วยกันแสดงความเห็น ไม่ช่วยกันพูดออกมา คนที่เขาตีบตันมืดบอด มองไม่เห็นหนทางว่าจะไปอย่างไร ก็คิดไม่ออกเสียทีว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งกระผม/อาตมภาพเองก็ถือว่า เราชี้ทางออกบอกทางถูกให้แล้ว ส่วนท่านจะทำหรือไม่ทำ ถ้ากระผม/อาตมภาพยังมีแรงอยู่ ก็จะช่วยกระตุ้นไปเรื่อย ๆ หมดแรงวันไหน ก็เป็นภาระหน้าที่ของท่านทั้งหลายจะรับผิดชอบกันต่อไป ตัวกระผม/อาตมภาพก็คงไม่ต้องเสียเวลามารับผิดชอบอีกแล้ว..! เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กมลโกศลจิต​ (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), เผือกน้อย (วันนี้), ภูพิงค์ (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
  #5  
เก่า วันนี้, 00:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,471 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องพวกนี้เป็นที่น่าหนักใจมาก ไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนกระทั่งวงการคณะสงฆ์ของเรา อะไรที่เป็นผลประโยชน์สำหรับตน ก็โดดออกมาแย่งชิงกันอย่างเต็มที่ แต่ถ้าอะไรที่ทำแล้วเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม มักจะไม่ค่อยมีใครยอมแสดงความเห็น ไม่มีใครคอยจะออกความคิดให้ เหมือนอย่างกับกลัวว่าวงการนั้น ๆ หรือองค์กรนั้น ๆ จะเจริญจนเกินไป..!

ทำให้กระผม/อาตมภาพบางทีก็นึกว่า ในเรื่องของการกระทำความดีนั้น เราก็ต้องหน้าด้านหน้าทน ทำไปเรื่อยจนกว่าคนอื่นจะเห็นด้วย หรือว่าจนกว่าจะวาระสุดท้ายของชีวิตเรา ทำไปแล้วถือว่า "ได้ทำ" คนอื่นจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วย โครงการนั้นจะประสบความสำเร็จ หรือไม่ประสบความสำเร็จ ก็เป็นเรื่องของอนาคตข้างหน้า แต่ว่าเราได้ทำสิ่งที่สมควรแล้ว ถือว่าสามารถที่จะตอบต่อตัวเองได้ว่า เราได้ทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ คือการทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุดแล้ว

คำว่าดีที่สุดก็คือเต็มกำลังกาย เต็มกำลังใจ เต็มกำลังคน เต็มกำลังทรัพย์ เต็มกำลังสติปัญญา ส่วนทำเต็มที่ของเราทุกวิถีทางแล้ว จะเป็นไม้จิ้มฟันไปงัดไม้ซุงหรือเปล่านั้นไม่คิดถึง..! จะกระทบกระเทือนต่ออนาคตของตนหรือเปล่าก็ไม่คิดถึง เนื่องเพราะว่าเราสามารถตอบต่อตัวเองได้แล้วว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราทำอย่างเต็มที่ อยู่คนเขาก็เกรงใจ จากไปเขาจะคิดถึงหรือด่าส่งก็แล้วแต่ เพราะตอนนั้นเราก็คงไม่ได้ยินแล้ว..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายต่อพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กมลโกศลจิต​ (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), เผือกน้อย (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 13 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน )
ปรวิช, เผือกน้อย

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:37



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว