|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๔ |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๔
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เมื่อตอนฉันเช้าปลัดตั้ม (พระปลัดอาทิตย์ ชุตินฺธโร) มีคำถามว่า คนฮินดูกินมังสวิรัติเป็นปกติ ไม่ฆ่าสัตว์ ด้วยความที่เขาไม่มีศีล ๕ ตรงนี้ทำให้เขาได้อานิสงส์หรือไม่ ?
เรื่องนี้เราต้องทำความเข้าใจเป็น ๒ ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกก็คือ ศีลจะมีอานิสงส์ต่อเมื่อเรางดเว้นได้ หมายความว่า ถ้าไม่มีสิ่งที่มาล่อใจให้เราละเมิดศีล แล้วศีลของเราไม่ขาด ตรงนี้ไม่ถือว่าได้อานิสงส์ แต่ถ้ามีสิ่งมาล่อใจ แล้วเราสามารถหักห้ามใจได้ ไม่ทำให้ศีลขาด อานิสงส์ของศีลจึงจะเกิดขึ้น ตรงจุดนี้ฟังแล้วอาจจะงง ๆ อย่างเช่นว่า ถ้าเรานอนหลับอยู่ ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้ประพฤติผิดในกาม ไม่ได้พูดปดมดเท็จ ไม่ได้ดื่มสุราเมรัย ไม่ถือว่าได้อานิสงส์ของศีล เพราะโอกาสที่จะล่วงละเมิดไม่มี เนื่องจากนอนหลับอยู่ ประการที่ ๒ ก็คือ ศาสนาพราหมณ์ฮินดูมีศีล ๕ นะครับ มีมาก่อนศาสนาพุทธด้วย เกิดจากการบัญญัติของศาสดามหาวีระ หรือที่ในพระไตรปิฎกเรียกว่า นิครนถนาฏบุตร บุคคลนี้ต้องบอกว่าเป็นอัจฉริยบุคคลท่านหนึ่ง ประวัติคล้ายคลึงกับพระพุทธเจ้ามาก เพราะว่าเกิดในวรรณะกษัตริย์ เห็นทุกข์แล้วก็ออกบวช เป็นนักบวชเหมือนกัน และที่แน่ ๆ มีมหาปุริสลักษณะด้วย..! ดังนั้น...ในปัจจุบันนี้ถ้าเราไปประเทศอินเดียเห็นรูปเคารพเหมือนพระพุทธรูป ถ้าไม่สังเกตให้ดี ไปกราบไปไหว้ อาจจะได้ไหว้ศาสดามหาวีระแทน..! แล้วถ้าถามว่าต่างกันตรงไหนกับพระพุทธรูป ? รูปปั้นของศาสดามหาวีระจะมีอวัยวะเพศให้เห็นครับ เพราะว่าเป็นเจ้าของศาสนาเชน ที่เราเรียกกันง่าย ๆ ว่า นักบวชแก้ผ้า ซึ่งปัจจุบันศาสนาเชนก็แตกแยกออกเป็นสองฝ่าย ก็คือฝ่ายที่ยังแก้ผ้าอยู่เหมือนเดิม เรียกว่า ทิฆัมพร ก็คือนุ่งลมห่มฟ้า ฝ่ายที่มีผ้านุ่งเรียกว่า เศวตัมพร คือ ผู้นุ่งผ้าขาว เรื่องนี้จะกล่าวไปแล้วเหมือนกับการ "ลดเครดิต" ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านที่ไม่กระจ่างตรงนี้อาจจะไม่พอใจ คิดว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ก็คือหลายสิ่งหลายอย่างในศาสนาพุทธของเรานั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำจากศาสนาอื่นมาปรับให้เข้ากับพุทธศาสนา อย่างเช่นว่าศีล ๕ ของศาสนาเชนนั้นเข้มงวดเคร่งครัดมาก นักบวชจะเดินทางต้องมีคนกวาดทางนำหน้าไป เพราะเกรงว่าจะมีสัตว์เล็กสัตว์น้อยโดนเหยียบตาย แล้วล่วงละเมิดศีล ต้องมีผ้าปิดจมูก เหมือนอย่างกับเราใส่หน้ากากกันในปัจจุบันนี้ เพื่อป้องกันการหายใจเอาจุลชีวะเข้าไป แล้วทำให้จุลชีวะหลายประเภทต้องตายลง ก็คือคิดถึงแม้กระทั่งเชื้อโรค เป็นห่วงแม้กระทั่งเชื้อโรค..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2021 เมื่อ 02:10 |
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศีล ๕ ของศาสนาเชนจึงเข้มงวดเกินไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำมาปรับปรุงกลายเป็นศีล ๕ ในพระพุทธศาสนา ก็คือของเราแค่ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายสัตว์โดยเจตนาก็เพียงพอแล้ว แม้กระทั่งวันพระและการจำพรรษาของพระภิกษุ พระพุทธเจ้าก็นำมาจากศาสนาเชน เพราะว่าศาสดามหาวีระมีการแสดงธรรมทุกวันขึ้น - แรม ๘ ค่ำ หรือว่าวันขึ้น - แรม ๑๕ ค่ำ และแรม ๑๔ ค่ำ..ถ้าเดือนขาด
ส่วนการจำพรรษานั้น เรามักจะได้รับคำสอนมาว่า เกิดจากพระสงฆ์เดินทางไปเหยียบย่ำข้าวกล้าในฤดูฝน ทำให้โดนชาวบ้านตำหนิติเตียน พระพุทธเจ้าจึงต้องให้พระจำพรรษา ซึ่งอาตมาเคยพูดไปหลายครั้งแล้วว่า พระภิกษุสงฆ์ไม่ใช่ควาย..! จะได้ไปลุยทุ่งนาเหยียบข้าวกล้าของชาวบ้านเขา คนพูดไม่ได้ใช้หัวแม่ตีนคิด..! เหตุที่พระพุทธเจ้าไม่ให้พระเดินทางในเวลาหน้าฝน นอกจากความยากลำบากในการเดินทางแล้ว ยังทำให้การทำมาหากินของชาวบ้านต้องลำบาก เนื่องจากว่าต้องทำไร่ไถนา แต่พอพระภิกษุสงฆ์ไปเยือนถึงเรือนชานบ้านช่อง ก็ต้องเสียเวลามาต้อนรับ ปูอาสนะ หาน้ำใช้น้ำฉันมาให้ หาภัตตาหารมาถวาย ถ้าหากว่าพูดในภาพรวมใหญ่จนเกินไป ก็คือทำให้เศรษฐกิจชะงักลง..! พระพุทธเจ้าจึงได้เลียนแบบศาสนาเชน ที่มีคำสั่งห้ามไม่ให้สาวกเดินทางในช่วง ๓ เดือนในฤดูฝน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-11-2022 เมื่อ 01:00 |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ตรงจุดนี้หลายท่านที่ "บ้าคลั่ง" ในเรื่องพระพุทธศาสนาบริสุทธิ์ ก็จะไปเข้าใจว่าสิ่งที่กระผมหรืออาตมภาพได้พูดนี้ เป็นการ "ลดเครดิต" พระพุทธศาสนา เป็นการปรามาสพระพุทธเจ้า อาตมาอยากจะถามว่ามีใครเกิดมาแล้วไม่มีครูบ้าง ? แม้แต่พระพุทธเจ้า เมื่อตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ยังรำลึกถึงครูทั้งสอง ก็คืออาฬารดาบส กาลามโคตรและอุทกดาบส รามบุตร ว่าเป็นผู้สมควรแก่ธรรมที่จะต้องไปโปรด แต่เผอิญว่าทั้งสองท่านมรณะเสียแล้ว สองท่านนั้นคือบุคคลที่สอนพระพุทธเจ้าจนสำเร็จสมาบัติที่ ๗ และสมาบัติที่ ๘
เราจะเห็นว่าศาสนาพราหมณ์ฮินดูนั้นไปไกลถึงขนาดนั้น เพราะว่ามีมาก่อนศาสนาพุทธเป็นพันปี ในเมื่อสั่งสมองค์ความรู้มาขนาดนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อศึกษาวิชาการ ไม่ว่าอย่างไรก็หลุดจากเงาของศาสนาพราหมณ์ฮินดูไม่ได้ เพียงแต่ว่า พระองค์ท่านค้นพบเพชรยอดมงกุฎ คืออริยสัจ ๔ ที่ไม่มีใครสามารถรู้เห็นได้ จึงสามารถที่จะดึงเอาความศรัทธาของบรรดานักบวชศาสนาต่าง ๆ ให้เข้ามาหาศาสนาพุทธ จนสามารถตั้งศาสนาพุทธได้สำเร็จ แต่หลายสิ่งหลายอย่างที่เมื่อมาปรับใช้แล้วมีประโยชน์ พระองค์ท่านก็ไม่ได้ทิ้งของเขา แต่มาปรับให้เข้ากับพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ เป็นการแสดงธรรมในวันพระ เป็นการจำพรรษาของพระภิกษุ เป็นต้น เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าทรงสัพพัญญุตญาณ รู้ทั่ว รู้รอบ รู้จริงทุกอย่าง รู้ว่าบรรดานักวิชาการคลั่งศาสนาต่อไปจะต้องมีอย่างแน่นอน จึงได้กล่าวถึงเรื่องทั้งหลายเหล่านี้อย่างชัดเจนว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร โดยที่พระองค์ท่านไม่ได้ค้านว่าของใครดีหรือไม่ดี หลักธรรมของศาสนาใดดีหรือไม่ดี แต่พระองค์ท่านนำเสนอในสิ่งที่ดีกว่าให้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2021 เมื่อ 02:14 |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
บรรดานักบวชศาสนาอื่นในยุคนั้น เป็นผู้ที่มากด้วยสมาธิและปัญญาอยู่แล้ว เมื่อฟังดูก็รู้ว่าสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสนั้น ประกอบไปด้วยประโยชน์และแก่นสารขนาดไหน จึงได้น้อมใจปฏิบัติตาม และสำเร็จมรรคผลเป็นจำนวนมากมายมหาศาล ทำให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถก่อตั้งพระพุทธศาสนาได้สำเร็จ ท่ามกลางศาสดาต่าง ๆ ถึง ๖๒ ลัทธิด้วยกัน แม้ในปัจจุบัน..พระพุทธศาสนาก็เป็นศาสนาหลักศาสนาหนึ่งของโลก
ในส่วนนี้ชาวฮินดูทั้งหลายที่ตั้งใจเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการกินเนื้อสัตว์ ตั้งใจรักษาศีลด้วยการกินมังสวิรัติ จึงได้รับอานิสงส์ของศีล ๕ โดยสมบูรณ์ เพราะมีเจตนางดเว้นอย่างแท้จริง และเป็นที่น่าสรรเสริญ เพราะว่างดเว้นอย่างเด็ดขาดมาก ผิดกับชาวพุทธของเราที่มีศีลอยู่ ก็ยังไม่ได้งดเว้นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้อย่างเด็ดขาดแบบนั้น เพราะองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสถึง "ทางสายกลาง" ที่ไม่ตึงจนเกินไป และไม่หย่อนจนเกินไป ทำให้สามารถปฏิบัติได้ง่ายกว่า เข้าถึงมรรคผลได้สะดวกกว่า แล้วนำมาสั่งสอนพวกเรา จนกระทั่งเป็นหลักธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างในปัจจุบันนี้ ดังนั้น...เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงได้เรียนถวายพระภิกษุสามเณร และบอกกล่าวให้ญาติโยม ทั้งที่อยู่ในสถานที่นี้และที่บ้านได้เข้าใจว่า ศาสนาพุทธบริสุทธิ์ไม่มี แต่เรามีสุดยอดหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นเพชรยอดมงกุฎอยู่ ทำให้พระพุทธศาสนาของเราต่างจากของศาสนาอื่นทั่วไปตรงที่เรียนแล้วจบ ศาสนาอื่นเรียนแล้วยังเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ ก็ขอบอกกล่าวเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2021 เมื่อ 02:16 |
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|