#1
|
||||
|
||||
![]()
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ ระยะนี้ไม่ว่าจะเรื่องของการเมือง เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ ตลอดจนกระทั่งภัยธรรมชาติก็ปรากฏขึ้น สร้างความเดือดร้อนอยู่ทั่วใป
ในภาวะเช่นนี้ ถ้าเราไม่สามารถทำจิตของเราให้สงบได้ ก็จะส่งส่ายวุ่นวายไปกับเหตุการณ์บ้านเมือง ตลอดจนกระทั่งความน่ากลัวของโรคภัยไข้เจ็บ และภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น การที่จิตของเราส่งส่ายออกไปนั้น ก็บอกชัดอยู่แล้วว่าสภาพจิตไม่ได้อยู่กับตัวเรา การส่งออกของจิตนั้นเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งปวง สิ่งที่ทำให้เราเครียด ทำให้เรากังวล ทำให้เรากลัว ก็เพราะจิตของเราส่งออก แล้วยังไปปรุงแต่งเพิ่มเติมอีก วิธีที่จะขจัดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออกไปก็คือ การกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก หรือเรียกว่ากลับมาอยู่กับปัจจุบัน การที่สภาพจิตของเราแน่วแน่อยู่กับลมหายใจเข้า...อยู่กับลมหายใจออก...อยู่กับคำภาวนา ไม่ส่งไปไหน ความฟุ้งซ่านต่าง ๆ ย่อมเข้ามาไม่ได้ ความเครียด ความกลัว ความกังวลต่าง ๆ ก็ย่อมลดน้อยถอยลง และหายไปโดยอัตโนมัติ ตามระดับกำลังใจของเราที่เข้าถึง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2020 เมื่อ 22:42 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
ก็แปลว่าในสถานการณ์บ้านเมืองของเราที่เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ไม่ว่าจะด้วยภาวะการเมือง โรคภัยไข้เจ็บ หรือภัยธรรมชาติ เราจะเอาตัวรอดได้ ต้องกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ถ้าเราอยู่กับลมหายใจเข้าออก...อยู่กับปัจจุบัน หายใจเข้ากำหนดรู้ตามเข้าไปจนสุด...หายใจออกกำหนดรู้ตามออกมาจนสุด...พร้อมกับคำภาวนา สภาพจิตของเราก็จะหยุดอยู่กับปัจจุบันเฉพาะหน้า
แต่ด้วยความที่พวกเราอ่อนซ้อม ขาดการฝึกฝน จึงอยู่ได้แค่พักเดียว สภาพจิตก็จะเคลื่อนคลายออกไปหาอารมณ์ภายนอกอีก เมื่อได้สติรู้ตัวก็ต้องรีบดึงกลับคืนมา ให้อยู่กับลมหายใจและคำภาวนาต่อไป ถ้าสมาธิเริ่มทรงตัวมั่นคง สภาพจิตก็จะหยุดฟุ้งซ่าน รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ เกิดขึ้นไม่ได้ ด้วยอำนาจสมาธิที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ เมื่อสามารถทรงตัวจนถึงที่สุดแล้ว ถ้าหากว่าไปต่อไม่ได้ สภาพจิตก็จะคลายออกมาเองโดยอัตโนมัติ เราก็ต้องรีบหาวิปัสสนาญาณให้สภาพจิตของเราได้ขบคิด ได้ใช้กำลังที่สะสมไว้ ไปในการลด ละ ตัดกิเลสต่าง ๆ ถ้าเราไม่ใช้ กิเลสก็จะเอากำลังส่วนนี้ไปฟุ้งซ่านแทน ก็เท่ากับว่าเราเลี้ยงโจรไว้ปล้นตัวเราเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2020 เมื่อ 22:44 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ถ้าหากว่าเราขบคิดในวิปัสสนาญาณต่าง ๆ อย่างเช่นว่า ดูความไม่เที่ยง ดูความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราในร่างกายนี้ ถ้าเห็นชัดเจน สภาพจิตยอมรับ ก็จะเริ่มปล่อยวาง เพราะเห็นคำว่าธรรมดา
ธรรมดาของการเกิดมาต้องเป็นแบบนี้ ธรรมดาของการเกิดมาต้องพบเจอกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ธรรมดาของการที่ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารก็ต้องพบพานสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อเห็นคำว่าธรรมดา..สภาพจิตก็จะเริ่มปลด เริ่มละจากความยึดมั่นถือมั่น เพราะเห็นชัดเจนแล้วว่า แม้กระทั่งความผิดชอบชั่วดีต่าง ๆ ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเช่นกัน สิ่งที่ดีแท้คือหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ก็จะกลับมาทบทวนศีลของตนเองทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นล่วงศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นล่วงละเมิดในศีล เมื่อเห็นคุณความดีของพระรัตนตรัย ก็จะมีความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้น ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ก็เหลืออยู่แค่การใช้ปัญญาพิจารณาต่อนิดเดียวว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา แต่ถ้าหากว่าตายแล้วเกิดใหม่ ต้องพบกับความทุกข์เช่นนี้อีก ก็ถือว่าขาดทุน สถานที่เดียวที่จะพ้นตาย พ้นเกิด ไม่ต้องมาทุกข์เช่นนี้อีก ก็คือพระนิพพาน แล้วให้เราเอากำลังใจสุดท้ายเกาะพระนิพพานเอาไว้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2020 เมื่อ 13:46 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ถ้าขาดความคล่องตัว ไม่รู้ว่าพระนิพพานมีสภาพอย่างไร ก็ให้เกาะภาพพระพุทธรูปที่เรารักเราชอบองค์ใดองค์หนึ่งเอาไว้ ให้คิดว่านั่นคือพระพุทธนิมิตแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่บนพระนิพพาน ตราบใดที่เรายังเห็นพระองค์ท่าน..ก็คือเราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่าน ตราบใดที่เราอยู่ใกล้พระองค์ท่าน..ก็คือเราอยู่บนพระนิพพาน
แล้วรักษากำลังใจเช่นนี้เอาไว้ ให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้ายังมีลมหายใจเข้าออก...ดูลมพร้อมกับคำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลง...ก็กำหนดรู้ว่าลมหายใจเบาลง ถ้าลมหายใจหายไป...คำภาวนาหายไป...ก็กำหนดรู้ว่าตอนนี้ลมหายใจหายไป... คำภาวนาหายไป อย่าพยายามเข้าไปสู่ภาวะอย่างนั้น และอย่าดิ้นรนให้หลุดพ้นจากภาวะเช่นนั้น เรามีหน้าที่ตามดู ตามรู้ รักษาอารมณ์ให้อยู่เฉพาะหน้าไปเรื่อย ๆ สมาธิจิตของเราจะค่อย ๆ ก้าวหน้าขึ้นไปเอง ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ วันศุกร์ที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย นาทาม)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2020 เมื่อ 13:48 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|