|
พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
รักจะเป็นนักปฏิบัติธรรม
รักจะเป็นนักปฏิบัติธรรม อันดับแรก ก็คือ ต้องรู้จักหน้าที่ของตัวเอง สมัครบวชเอาไว้ ถึงเวลาก็ต้องรู้จักมาลงทะเบียนเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเขาตัดชื่อออกแล้วก็มาโวยวายอีก ถ้าอยู่ที่อื่นการโวยอาจจะมีผล แต่ถ้าอยู่วัดท่าขนุนการโวยก็มีผลเหมือนกัน คือจะโดนตีน...!
เป็นนักปฏิบัติธรรม เรื่องยุ่งยากมากความพะรุงพะรังต่าง ๆ ทางด้านนอก กรุณาตัดให้เหลือให้น้อยหน่อย เอาเฉพาะเหตุการณ์เฉพาะหน้า ตนเองก็ทุกข์เหลือเกินแล้ว ไม่ใช่มัวแต่ห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า เอกายะโน อะยัง ภิกขะเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา หนทางของสัตว์ทั้งหลายที่จะก้าวไปสู่ความบริสุทธิ์ คือหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิง คือหนทางของคนเพียงคนเดียว เพราะเราไม่สามารถที่จะพาใครไปได้ และไม่สามารถจะให้ใครพาเราไปได้ ถ้าใครคิดว่าตัวเองมีความสามารถที่จะพาคนอื่นไปได้ ให้รู้ว่าเก่งเกินพระพุทธเจ้าไปแล้ว เพราะฉะนั้น...อะไรที่ยุ่งยากมากความก็ตัด ๆ ทิ้งไปบ้าง ถ้าชวนแล้วไม่มาวัดก็ทิ้งไปเลย...หาคนใหม่..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-08-2017 เมื่อ 11:44 |
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
การปฏิบัติของเราจริง ๆ ถ้าพูดถึงการนั่งปฏิบัติหรือการเดินจงกรม ก็จะมีอยู่แค่วันครึ่งเท่านั้น ซึ่งถ้ารวมระยะเวลาแล้วก็น้อยมาก รวมแล้วประมาณ ๗ ชั่วโมง ก็ต้องบอกว่า ๓ วันปฏิบัติ ๗ ชั่วโมง ยังไม่พอรับประทาน แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
ในส่วนของพวกเราที่จะปฏิบัติธรรมในช่วงมาฆบูชาก็คงจะมีกำหนดคร่าว ๆ อย่างที่ได้บอกมา เพียงแต่ว่าเมื่อปฏิบัติไปแล้ว ขอให้ทุกคนพยายามรักษากำลังใจของตัวเอง ให้ต่อเนื่องตามกันไว้ เพราะว่าถ้าขาดช่วงเมื่อไร เราจะไหลตามกระแสกิเลส ถ้าไหลตามกระแสกิเลสแล้ว เราจะตีกำลังใจกลับคืนได้ยาก แต่หลายคนมีประสบการณ์อย่างนี้แล้วก็ยังไม่เข็ด ไม่กลัวกันเสียที ถึงเวลาเมื่อไรก็กลัวกิเลสจะเศร้าหมอง ไปเกี่ยวข้องหรือข้องแวะกับกิเลสอยู่เรื่อย มาทีไรก็โดนอาตมาดุไปแรง ๆ ว่าไปแรง ๆ แต่ก็จำแค่พักเดียว หลังจากนั้นก็เหมือนเดิม อาตมาก็ชักสงสัยว่า ตกลงนี่เป็นเพราะว่าพวกเราเป็นประเภทซาดิสม์ คือชอบความเจ็บปวดใช่ไหม ? พอถึงเวลาโดนด่าแรง ๆ แล้วค่อยหูตาสว่างขึ้นมาหน่อย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-08-2017 เมื่อ 11:47 |
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เรื่องของการปฏิบัติธรรมเราต้องมีจิตสำนึกของตัวเอง อย่าต้องรอครูบาอาจารย์หรือคนอื่นมาช่วยบอกช่วยนำ เพราะว่าคงจะไม่มีใครสามารถที่จะช่วยบอกช่วยนำเราได้ตลอดชีวิต ครูบาอาจารย์หลายท่านก็ล่วงลับไปแล้ว ท่านที่อยู่ก็ไม่แน่ว่าจะอยู่กับเราได้อีกกี่วัน เพราะฉะนั้น...เราต้องไม่ประมาท ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติจริง ๆ เพราะว่าถ้าสิ้นท่านแล้ว เราติดขัดอะไรอาจจะหาคนสอบถามไม่ได้ เนื่องจากว่าการปฏิบัติอยู่ในระดับเดียวกัน ไม่มีคนที่อยู่ในระดับสูงกว่า ที่จะบอกให้ว่าจะก้าวล่วงไปได้อย่างไร จึงไม่ควรที่จะประมาท
หลักธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสสรุปเอาไว้ก่อนจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ก็คือ วะยะธัมมา สังขารา สังขารคือร่างกายนี้ก้าวเข้าไปหาความเสื่อมอยู่ทุกเวลา อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ ให้ทุกคนยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ก็แปลว่าต้องปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราให้เต็มที่ ไม่อย่างนั้นองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า อุตส่าห์เทศนาสั่งสอนพวกเราอยู่ด้วยความยากลำบาก ๔๕ ปีเต็ม ๆ อย่าให้พระองค์ท่านต้องปรินิพพานไปเปล่า ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-08-2017 เมื่อ 11:50 |
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
สิ่งที่พระองค์ท่านตรัสสอนเอาไว้ ขอให้พวกเราตั้งหน้าตั้งตาทำให้เกิดผล เมื่อเกิดผลแล้วไม่เพียงแต่จะดีแก่ตัวเราเอง หากแต่ว่าเราไปบอกกล่าวผู้หนึ่งผู้ใดให้ไปปฏิบัติแล้วเกิดผลตาม ก็จะเป็นการยังพระพุทธศาสนาให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เป็นการได้ทำหน้าที่พุทธบริษัททั้ง ๔ อย่างเต็มที่
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ควรจะเป็นเรื่องที่อยู่ในจิตสำนึกของพุทธศาสนิกชนทุก ๆ คน เหมือนกับศาสนาอื่นที่เขาลงทุนลงแรงเผยแผ่ศาสนาของเขาในทุกวิถีทาง โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาแนะนำ ทุกคนเป็นผู้เผยแผ่ศาสนาโดยอัตโนมัติ ตั้งแต่ในบ้าน ในโรงเรียน ในสถานที่ทำงาน ในสังคมต่าง ๆ ทำอย่างไรที่เราจะทำอย่างนั้นได้บ้าง ? แต่ว่าก็ต้องดูตาม้าตาเรือด้วย ไม่ใช่ว่าถึงเวลาก็ตั้งหน้าตั้งตาไปบอกกล่าวคนอื่นเขา ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี เราควรจะทำตาม การบอกกล่าวนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าต้องรู้กาลเทศะ ดูหน้าคนด้วยว่าเขาอยู่ในอารมณ์ที่จะรับไหม ? ไม่ใช่ว่าเขาอยู่ในอารมณ์ที่บอกบุญไม่รับ แต่เราไปยัดเยียดให้ เดี๋ยวก็ได้ทะเลาะกันบ้านแตกเสียเปล่า ๆ โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นครอบครัวเดียวกัน จะเป็นอะไรที่สอนกันยากที่สุด เนื่องเพราะว่ารู้จักกันดีเกินไป ในเมื่อรู้จักกันดีเกินไป เขาก็ไม่ให้คุณค่า ไม่ให้ราคากับอีกคนหนึ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถึงเวลาเขาบอกกล่าวอะไรมา เราก็จะเถียงอย่างเดียว ก่อนหน้าไม่เห็นเป็นอย่างนี้ อยู่ ๆ แกไปบรรลุที่ไหนมา ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-08-2017 เมื่อ 11:51 |
สมาชิก 58 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
เมื่อเป็นอย่างนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราจะต้องมีความอดกลั้น อดทน ขณะเดียวกันต้องมี สมชีวิธรรม คือหลักธรรมที่ทำให้เสมอกัน จึงจะก้าวไปด้วยกันได้
สมชีวิธรรมก็คือ เป็นผู้ที่มีศรัทธาเสมอกัน ถ้าหากว่าศรัทธาไม่เสมอกัน คนหนึ่งทำบุญอีกคนหนึ่งไม่ทำ เดี๋ยวก็ได้ทะเลาะเบาะแว้งกัน ต้องมีศีลเสมอกัน ไม่อย่างนั้นผู้หนึ่งรักษาศีล อีกผู้หนึ่งล่วงศีล ก็อาจจะต้องทะเลาะกันบ้านแตก มีจาคะเสมอกัน ก็คือรู้จักสละความสุขส่วนตน เพื่อความสุขของผู้อื่นหรือส่วนรวม มีปัญญาเสมอกัน ก็คือรู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว ก็ละเว้นในสิ่งที่ชั่ว ทำแต่ในสิ่งที่ดี ผลดีทั้งหลายก็จะเกิดขึ้นแก่เราเอง ถ้าเกิดว่ารู้สึกว่าเราอยู่ในครอบครัวแล้วร้อน ให้พิจารณาดูว่ามีสมชีวิธรรมที่กล่าวมานี้ครบถ้วนหรือไม่ ? หากว่ามีไม่ครบถ้วน ก็พยายามทำให้ครบถ้วนไว้ ครอบครัวของเราจะได้อยู่เย็นเป็นสุข ขณะเดียวกันก็มีศรัทธาเสมอกัน ถ้าหากว่าจะเข้าวัดเข้าวา ก็สามารถที่จะเข้าวัดวาได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องเสียเวลาไปทะเลาะเบาะแว้งกับผู้หนึ่งผู้ใด พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. ก่อนขึ้นเทศน์ธรรมาสน์วันมาฆบูชา วันเสาร์ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-08-2017 เมื่อ 11:52 |
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|