| 
				 บุคคลที่เข้าถึงปรมัตถ์ไม่ทิ้งสมมติ 
 
			
			ในเรื่องของคำสอนหรือหลักการปฏิบัติ  ถ้าหากฟังมาจากครูบาอาจารย์ท่านใดแล้วไม่มั่นใจว่าถูกต้องหรือไม่  ให้เทียบดูจากพระไตรปิฎกว่าตรงกับที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้หรือไม่
 จำเอาไว้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนทั้งสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ สมมติสัจจะคือความจริงโดยสมมติ ยกตัวอย่างเช่นเราชื่อนั้น ชื่อนี้  เมื่อสมมติว่าเราชื่อนี้แล้วเราก็ไปยึดไว้ จึงเป็นความจริงแบบสมมติ  แต่ขณะเดียวกันร่างกายเราก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบกันขึ้นมา  ลองแยกธาตุเมื่อไรก็เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อนั้น  นี่เป็นความจริงแท้ เขาเรียกความจริงแบบนี้ว่าปรมัตถสัจจะ หรือการที่เกิดขึ้นมาแล้วต้องมีความทุกข์เขาก็เรียกปรมัตถสัจจะ  ความสุขที่เราไปแสวงหาเพิ่มเติมในปัจจุบัน อย่างเช่นว่า ร้อนขึ้นมาก็หาของเย็นไปช่วยให้ให้เย็น หนาวขึ้นมาก็หาของช่วยให้อุ่น  อันนี้เป็นการแก้ไขตามสภาพ โดยที่เรายังต้องยึดถือสมมติอยู่ เพราะว่าเรายังอยู่กับโลก
 
 ดังนั้นว่าบุคคลที่ก้าวถึงปรมัตถ์แล้วจะไม่มีใครทิ้งสมมติ  พระพุทธเจ้าท่านสอนทั้งสองอย่าง ดังนั้นเราก็ควรที่จะเคารพทั้งสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ
 
 บางคำสอนที่ว่า  เราไม่จำเป็นต้องพกพระเครื่องก็ได้  การที่เราติดวัตถุมงคลเอาไว้ในบ้านทำให้ผีเขาเดือดร้อน  เราไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่เขา เพราะฉะนั้นไม่ควรติดวัตถุมงคลไว้ในบ้าน ไม่ควรจะพกวัตถุมงคลไว้กับตัว  อาตมาก็ขอถามว่าถ้าโยมเปิดร้านทอง แล้วโยมจ้างตำรวจมาเฝ้าร้าน  มีคนมาบอกว่าเอาตำรวจออกเถอะ เพราะตำรวจทำให้โจรเขาเดือดร้อน เขาหากินไม่ได้  จะปล้นก็ไม่ได้สักที เป็นโยมจะเอาตำรวจออกไหม ? ถ้าหากคนที่มีปัญญาก็จะรู้ว่าถ้าเอาตำรวจออกก็เดือดร้อนแน่
 
 ดังนั้น  บุคคลที่เข้าถึงปรมัตถ์แล้วเขาจะไม่ทิ้งสมมติ  ยังเคารพสมมติอยู่ เพราะท่านยังอยู่กับโลก  อยู่กับความจริง
 
				__________________........................
 
 เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
 
				 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-08-2013 เมื่อ 14:13
 |