#1
|
||||
|
||||
![]() งานสืบชะตาตุ๊พ่อสิงห์ วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ อ.ลี้ จ.ลำพูน วันเสาร์ที่ ๒๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ พระอาจารย์เล็ก : เมื่อสองวันก่อนเห็นยมทูตมารอ เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า “เอ๊ะ...นี่เราจะตายแล้วนะ” ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า “ถ้ามารอโยม โยมพร้อมที่จะไปหรือยัง ?” เมื่อความรู้สึกนี้เกิดขึ้น ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุงด่าลงมาว่า “มัวแต่ห่วงแต่คนอื่นนั้นแหละ ตัวเองจะไปไหนยังไม่รู้เลย..!” จึงนึกขึ้นมาได้ว่า ถ้ากำลังใจเรายังมีอะไรยึดถ่วงแม้แต่นิดเดียว ในจังหวะสุดท้ายของชีวิต อาจจะพลาดจากพระนิพพานได้ ตัวอย่างก็คือหลวงปู่พุฒิ วัดทุ่งแก้ว (วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม) สมณศักดิ์ของท่านก็คือพระราชอุทัยกวี หลวงปู่พุฒิเป็นอดีตเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ด้วยความประพฤติปฏิบัติของท่าน อย่างไรเสียก็ต้องเป็นพระอรหันต์ เข้าพระนิพพานแน่ ๆ แต่ปรากฏว่าก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ หลวงปู่พุฒิท่านนึกขึ้นมาได้ว่า “เอ๊ะ...บัญชีของวัดยังไม่ได้มอบหมายให้ใครดูแลเลย” บัญชีทุกอย่างทำไว้เรียบร้อย แค่คิดว่าไม่ได้มอบให้ใครดูแลแค่นั้น ใจมีห่วงอยู่นิดเดียว แทนที่จะหลุดพ้นไปพระนิพพาน ก็หลุดไปอยู่พรหมชั้นที่ ๑๒ คราวนี้ก็รอไปเถอะ อีกนานเท่าไรก็ไม่รู้กว่าจะเข้าพระนิพพานได้ ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2015 เมื่อ 13:57 |
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
ดังนั้น..เมื่อมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่อาตมาเจอ ก็คือทันทีที่เห็นยมทูตท่านมายืนจังก้าอยู่ ความรู้สึกแรกก็คือ “เอ๊ะ..เราจะตายแล้ว” ก็แปลว่าใจห่างจากความตาย ไม่ได้คิดถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ไม่อย่างนั้นความรู้สึกจะไม่เป็นอย่างนั้น ความรู้สึกจะต้องอยู่ในลักษณะพร้อมที่จะตาย แต่นั่นความรู้สึกดันบอกว่า "เอ๊ะ...เราจะตายแล้ว"...
ประการที่สองก็ คือ ไปคิดว่าถ้าเขามารับญาติโยม มีใครพร้อมที่จะไปกันบ้าง ? ถ้ายมทูตมารับนี่ถือว่าโชคดีแล้วนะ เพราะว่าลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้ายมทูตมารับ โอกาสรอดมีเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะเรามักจะอุทิศส่วนกุศลโดยขอให้พระยายมราชเป็นพยาน อาตมาก็อุตส่าห์ไปกังวลว่าถ้าเขามารับลูกศิษย์แล้วเขาพร้อมหรือยัง ? ต้องเรียกว่าห่วงไม่เข้าเรื่อง แต่จะไม่ห่วงเลยก็ผิดวิสัย เพราะในความที่เคยเป็นผู้นำเขามาหลายชาติ แม้กระทั่งชาตินี้ ก็อดไม่ได้ที่จะไปคิดไปห่วงใย ถ้าตายตอนนั้นก็เรียบร้อยเหมือนกัน คงอีกนานกว่าจะควานหาพระนิพพานเจอ เพราะว่ายอดฝีมือระดับหลวงปู่พุฒิ วัดทุ่งแก้ว อดีตเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ท่านยังไปติดอยู่ที่พรหมชั้นที่ ๑๒ แล้วอาตมาเองไม่ได้เก่งอย่างนั้น ดูท่าจะไม่รอดแน่..! เพราะฉะนั้น..เรื่องพวกนี้ญาติโยมทั้งหลายจะประมาทไม่ได้ เราจะไปคิดว่าเราเจริญกรรมฐานทุกวัน การเจริญกรรมฐานทุกวันไม่ใช่เครื่องรับประกันว่าเราจะไปพระนิพพานได้ การจะไปพระนิพพานได้อยู่ที่ใจของเราปลดวางภาระทั้งปวงได้หรือไม่ ? เราต้องถามตัวเองว่า ถ้าเราตายลงไปตอนนี้..เราพร้อมหรือไม่ ? คนที่เรารักมีไหม ? ของที่เรารักมีไหม ? ทรัพย์สมบัติของเรามีไหม ? สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้เราพร้อมจะทิ้งไปเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่ ? อาตมารับรองว่าเจ๊งทุกราย เพราะตอนธรรมดาสามารถตอบได้..เพราะรู้ว่าต้องตอบว่าพร้อม แต่เรื่องของการปฏิบัติ ไม่ใช่รู้คำตอบแล้วจะรอด แต่อยู่ที่ใจของเราที่ต้องวางได้จริง ๆ ถ้าใจไม่พร้อมที่จะวาง ทั้งยึด ทั้งเกาะ ทั้งหน่วง ทั้งเหนี่ยว ทั้งดิ้นรนสารพัดเพราะไม่อยากตาย..ก็ไปไม่รอด...
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2015 เมื่อ 13:57 |
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ญาติโยมจะเห็นได้ว่า บรรดาลูกศิษย์สายหลวงปู่หลวงพ่อเป็นจำนวนมาก ก่อนตายทุกข์ทรมานเหลือเกิน สารพัดโรครุมเร้าเข้ามา สารพัดเรื่องรุมเร้าเข้ามา เพราะเราตั้งใจว่าจะไปพระนิพพาน กติกาการไปพระนิพพานคือต้องตัดร่างกายนี้ให้ได้จริง ๆ แต่เราทำไม่ได้ ในเมื่อทำไม่ได้ ความตั้งใจจะไปซึ่งเป็นมโนสัญเจตนา ความมุ่งมั่นของใจ เมื่อเป็นเช่นนั้นเรายังไม่สามารถที่จะปลดได้ วางได้ แต่อยากจะไปพระนิพพาน ก็ต้องทรมานกันนานหน่อย บางรายทรมานดิ้นร้องโอดโอยดังไป ๓ บ้าน ๘ บ้านเลย อาตมายืนยันว่าถ้าวางได้ก็ไปเร็ว แต่ถ้าวางไม่ได้แล้วอธิษฐานขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในปัจจุบันชาตินี้เถิด ก็ทรมานไปเถอะ..!
จงอย่าอธิษฐานแต่ปาก แต่ต้องทำให้ได้อย่างที่อธิษฐานด้วย ต้องหมั่นพิจารณาทุกวัน ๆ ให้เห็นว่าร่างกายของเรานี้เป็นทุกข์จริง ๆ ก้าวเข้าไปหาความเสื่อมสลายทุกเวลา ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการอีก ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานที่เดียว ตัดเอาไว้อย่างนี้ คิดเอาไว้อย่างนี้ทุกวัน ถามตัวเองอยู่เสมอว่าพร้อมจะตายหรือยัง ? ตายแล้วจะไปไหน ? ให้ใจของเราตอบจริง ๆ ว่า “พร้อมแล้ว..ตายแล้วเราขอไปพระนิพพาน” อย่าตอบเพราะรู้ว่าคำตอบนี้ถูก แต่ให้ตอบเพราะจิตใจของเราพร้อมที่จะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2015 เมื่อ 13:57 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ขอฝากทุกท่านไว้ว่า อย่าเสียท่าเหมือนที่อาตมาเจอเมื่อสองวันก่อน ทันทีที่เจอยมทูต แทนที่จะดีใจว่าเราจะได้พ้นทุกข์เสียที กลับดันไปคิดว่านี่เราจะตายแล้ว แล้วถ้าไม่ใช่เรา เป็นญาติโยม ญาติโยมเขาพร้อมหรือยัง ? ถ้าตายตอนนั้นนี่เรียบร้อยจริง ๆ จึงสมกับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านด่าลงมาว่า ห่วงใยเขาไม่เข้าเรื่อง แทนที่จะห่วงตัวเอง
ถ้าเรารักเราห่วงตัวเอง สภาพจิตของเราต้องปลดวางจากภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม ถ้าหากว่าแก้ไขจนสุดกำลังกาย สุดกำลังใจ สุดกำลังสติปัญญา สุดกำลังคน สุดกำลังทรัพย์ ยังแก้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นค่อยยอมรับว่าเป็นกฎของกรรม แต่ถ้าแก้ได้ขอให้ดิ้นสักหน่อย จะได้ไม่เสียทีที่สร้างบารมีมา อยู่ ๆ ไปยอมแพ้ง่าย ๆ รู้สึกว่าจะไม่ใช่วิสัยของพวกเรา เอาไว้แต่เพียงแค่นี้ก่อน พวกเราฟังอะไรดี ๆ จากหลวงตาวัชรชัยท่านบ้าง นาน ๆ ท่านจะได้มาสักที
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2015 เมื่อ 13:57 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
หลวงตาวัชรชัย : เมื่อคืนหลวงตาพักอยู่ที่รีสอร์ท นินทาอาจารย์เล็กอยู่ ...(หัวเราะ)... คุยกับลูกหลานเรื่องเมื่อครู่นี้ คุยกันเรื่องทุกข์ที่มาอยู่ในปัจจุบัน ทำกรรมเวรอะไรมานักหนา ทำไมต้องเอากูขนาดนี้ ก็เลยบอกเขาว่า “ก็ทำมาเอง ในเมื่อสร้างเหตุมา ผลก็ต้องรับ แล้วจะมาตัดพ้อต่อว่าอะไร” พอพูดไปแล้ว กระแสตัดไปเลย
เคยคุยกันเรื่องอารมณ์กรรมฐาน อารมณ์ทิพจักขุญาณ เล่าให้เขาฟังว่าตอนที่เราเป็นฆราวาสอยู่ นำพี่น้องปฏิบัติอยู่กลุ่มหนึ่ง ก็บอกให้เขาสังเกตว่า อารมณ์ฌานสมาบัติเป็นอย่างไร เราเข้าไปถึงอุปจารสมาธินี่ใจจะเป็นสุข เสียงก็ไม่ค่อยรำคาญ พอไปถึงปฐมฌานขึ้นไปจะตัดเสียง เสียงเขาก็ดังตามปกติแต่เราไม่ได้ยิน ก็เล่าให้ฟังว่าข้างบ้านที่สอนกรรมฐานเขาเล่นลิเกกันตั้งแต่ ๒ ทุ่มยัน ๕ ทุ่ม พอเราเริ่มคุยเขาก็เริ่มดังออกแขกกัน พอคุยไปสักประเดี๋ยว ทั้งกลุ่มสักประมาณ ๑๐ คนไม่ได้ยินเสียงเลย ก็เลยคิดว่าปีนี้เขาเลิกเร็วโว้ย เพราะไม่ได้ยินเสียง พอมาเปิดเทปฟังวันรุ่งขึ้น โห..เสียงแม่ง..ดังสนั่นยัน ๕ ทุ่ม..! ก็เลยบอกว่า เออ...เวลาจิตเราคุยกันเรื่องธรรมะ สมัยเป็นฆราวาสก็ไม่ได้เก่งอะไรนะ จิตเข้าไปเคารพในหลวงพ่อ ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นึกถึงความตาย ศีลบริสุทธิ์ คุยกันในใจก็อิ่มเอิบเบิกบาน พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านรออยู่นะ อย่าประมาทนะ หูไม่ได้ยินเพราะใจเพลิน พอเอาเทปไปเปิดแม่ง..ดังยัน ๕ ทุ่มเลย เมื่อคืนนี้ก็เหมือนกันนะ โชคดีมากที่อำเภอเขาจัดดนตรีอย่างดังมาก นอนอยู่ในห้องติดแอร์นี่นะลูก เตียงสะเทือนเลย แต่เราคุยกันข้างนอกไม่มีแอร์ เป็นแบบเดิม คุยกันสนุกสนาน นี่นั่งนินทาองค์นี่แหละ... (พระอาจารย์เล็ก) ว่าองค์นี้เขามาทางฤทธิ์ทางอภิญญาชัดเจน พอกระแสบอกว่าเลิกได้แล้ว เฮ้ย..กลับมาได้ยินเสียงเหมือนเดิม กระแสบอกให้เลิกแสดงว่าอารมณ์ทางโลกเขามาแล้ว ไปนอนดีกว่า มีลูกศิษย์บอกว่า ถ้าเป็นหลวงพ่อเล็กคงบอกแล้วว่าองค์ไหนบอก แต่หลวงตาบอกไม่เป็น หลวงตาบอกได้แต่กระแสตามที่ครูบาอาจารย์สอน แต่อาจารย์เล็กจะบอกได้ชัดเจน ใครบอก ใครคุม ยกตัวอย่างนิดหนึ่งเมื่อ ๓๐ ปีก่อน ไปสอนกรรมฐานที่พุทธไชโย เอ้า..ท่านไม่ให้คุยก็ไม่คุย กระแสตัดไปแล้ว คืนไมค์ให้แล้วกัน พระอาจารย์เล็ก : เริ่มนินทาชาวบ้าน ...(หัวเราะ)... พอเริ่มนินทาพระท่านเลยตัดกระแสไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2015 เมื่อ 13:57 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล็ก : พวกเราส่วนใหญ่แล้วตั้งใจจะไปพระนิพพานกัน แต่เราทำตัวไม่สมกับบุคคลที่จะไปพระนิพพาน ความจริงหลวงพ่อของเราอายุขัยของท่านอยู่ถึง พ.ศ.๒๕๗๙ เยอะไปไหม ? แต่ว่าท่านแบกพวกเราไม่ไหว เพราะว่าพวกเราไม่ยอมเดินกันเลย มีอะไรก็เกาะอย่างเดียว ให้ท่านแบก ในเมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนั้น ท่านก็ต้องให้บทเรียนหนัก ๆ ว่า การที่ยึดเกาะกับสังขารร่างของท่านเป็นสิ่งที่ยึดผิด
ถ้าท่านใดที่อยู่ทันสมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง พอทันทีที่สิ้นหลวงพ่อไป ความรู้สึกที่ชัด ๆ เลย คือ หลวงพ่อไม่ได้ไปไหน ไม่เหมือนคนที่เสียพ่อไป ก็เพราะท่านไม่ได้ไปไหนจริง ๆ ท่านไปแต่ร่างกาย สภาพจิตของท่านก็ยังคงทำภาระหน้าที่ต่อไป แต่ถ้าไม่ให้บทเรียนในลักษณะอย่างนี้ ลูกหลานจะไม่จำ แล้วก็ยังคงไปเกาะร่างกายของท่าน ยังคงเกาะผิดอยู่อีก หลวงพ่อเราเวลาให้บทเรียนลูกหลาน ท่านไม่เคยปรานี เพราะท่านรู้ว่าถ้าใครผ่านข้อสอบนี้ได้ก็จะได้ดีไปเลย ท่านจะสับแรงสุด ๆ ทุกครั้ง ถึงขนาดเอาชีวิตของท่านเป็นบทเรียนแก่พวกเรา พวกเราส่วนหนึ่งก็ยังไม่จำ ยังไม่รู้จักวิเคราะห์แยกแยะว่า หลักการปฏิบัติในธรรมที่หลวงพ่อท่านให้มานั้น ความจริงแล้วเราจับจุดใดจุดหนึ่งเข้ามาปฏิบัติอย่างเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องไปควานเอาทุกเรื่องของท่าน ไม่ใช่อ่านหนังสือทุกเล่ม ฟังเทปทุกม้วน แล้วจับจุดอะไรไม่ได้สักที
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2015 เมื่อ 13:57 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
![]()
อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่า ตัวเองตั้งใจปฏิบัติเอาแค่ปฐมฌานอย่างเดียว ชีวิตนี้ต้องการแค่นี้ ตั้งใจว่าถ้าได้ปฐมฌานเมื่อไร จะรวบรัดตัดตรงเข้าหาความเป็นพระโสดาบันเลย แต่ความที่อยากได้จนเกินไป..ทำเกิน กำลังใจไม่ตรงร่องสักที จนกระทั่ง ๓ ปีผ่านไป..เหนื่อยเต็มทีแล้ว ได้ไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ พอคิดแค่นี้ก็ลงจุดพอดีเลย
นี่คือสิ่งที่อยากจะยกเป็นตัวอย่างว่า เราจับเอาจุดใดจุดหนึ่งขึ้นมา แล้วมุ่งไปให้ถึงเป้าหมายของเรา ถ้าเราสามารถทำได้ อันดับแรก...พาตัวเราพ้นจากอบายภูมิ อันดับที่สอง...ก้าวเข้าใกล้พระนิพพานที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ อันดับที่สาม...แบ่งเบาภาระของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน ไม่ต้องมาจ้ำจี้จ้ำไชสั่งสอนเรา อันดับสุดท้าย...เป็นการช่วยพยุงรักษาพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป เพราะเราปฏิบัติแล้วได้ผลจริง ๆ ดังนั้น..จงอย่าตีอวนเอาปลาทั้งทะเล เรากินไม่หมดหรอก เอาแค่ตัวเดียว ชอบใจตัวไหนเล็งเอาไว้เลย ถ้าโยมเคยดูสารคดีสัตว์ป่าของทางด้านแอฟริกา จะเห็นว่าสิงโตก็ดี เสือชีตาห์ก็ตาม เมื่อล่าสัตว์จะพุ่งเข้าไปหาสัตว์ทั้งกลุ่มเป็นสิบ ๆ ตัว แต่สิงโตหรือเสือชีตาห์จะเล็งเอาตัวเดียว แล้วไม่เปลี่ยนเป้าเด็ดขาด เพราะสัตว์ทั้งหลายที่วิ่งอยู่สับสนไปหมด ถ้าเปลี่ยนเป้าก็จะพลาด สิงโตหรือเสือชีตาห์ไม่เคยเปลี่ยนเป้าหมาย การล่าจึงประสบความสำเร็จเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า การแสดงธรรมของพระองค์ท่านเหมือนราชสีห์จับเหยื่อ จะเป็นเหยื่อตัวใหญ่หรือตัวเล็กก็ทุ่มสุดกำลังเหมือนกัน ดังนั้น..พระองค์จึงไม่พลาด เทศน์เมื่อไรก็มีบุคคลได้มรรคได้ผล ของพวกเราต้องเล็งเป้าให้ชัด ๆ เป้าคำว่าพระนิพพานถ้าไกลเกินไป เรามาดูแค่ศีล สมาธิ ปัญญาของเรา เลือกเอาจุดที่เรายังพร่องอยู่แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไป อ้าว...ตอนนี้กระแสมาแล้ว ขอให้หลวงตาท่านว่าต่อ...
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2015 เมื่อ 14:01 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
![]()
หลวงตาวัชรชัย : หลวงตารับไม่ได้นะกระแสนี้ ...(หัวเราะ)... สมัยอยู่วัดด้วยกันกับอาจารย์เล็ก ก็มีอยู่สามพี่น้อง มีท่านจิตโตด้วย รู้จักกันไหม ? หลวงพ่อบอกหนึ่งก็คือหนึ่ง บอกสองก็คือสอง ถ้าใครยืนไม่ตรงแนวแม้ว่าจะเป็นพระผู้ใหญ่พวกเราก็ไประราน ท่านตุ๊พ่อสิงห์ประสบการณ์ท่านมีมาก่อน ท่านยังผ่อนเบาได้ พวกเราตรงเต็มที่เลย พี่น้องก็ไม่ค่อยชอบ แต่เดี๋ยวนี้ก็เข้าใจกันแล้ว ว่าวาสนาบารมีแต่ละรูปมีลวดลายต่างกัน
ท่านเล็กนี้ต้องบอกว่าชัดเจนมาตลอดในเรื่องของความเป็นทิพย์ นี่ไม่ได้รับรองใครนะ เพียงแต่พูดตามที่ผ่านมา ท่านก็พูดของท่านมาตลอด ไม่ได้เกรงใจใคร เห็นก็บอกเห็น เห็นอย่างไรก็บอกไปอย่างนั้น พระบอกอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ก็คนเขาเห็น คนจะไอก็ต้องไอออกมา ส่วนหลวงตานี่ไม่ใช่ หลวงตาจะมาทางอารมณ์สัมผัสได้บ้าง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2015 เมื่อ 14:03 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
![]()
เรื่องเมื่อครู่ที่จะพูดแล้วก็ลืมไป คือ ที่วัดพุทธไชโยของพระอาจารย์นิภัทร ท่านตายไปหลายปีแล้ว ท่านนั้นก็กำลังแข็ง ในตอนแรกกำลังเข้มแข็งดีมาก นั่งอยู่ที่กุฏิท่าน มองไปที่เทือกเขา หลวงตามีความรู้สึกว่าต้นไม้ตรงนั้นน่าไปนั่ง เลยถามว่าต้นอะไร ท่านบอก “ไปด้วยกัน..หลวงพี่” พอไปดูท่านนิภัทรก็เรียกคนมาตอกตรงนี้ ๆ แล้วก็หันมาบอกว่า “หลวงพี่...เมื่อกี้ที่หลวงพี่ชี้มา หลวงปู่ปานท่านกวักมือเรียก ให้มึงมานี่ แล้วท่านก็บอกให้ตั้งกุฏิปักเสาตรงนี้ ๆ” ถึงไม่ได้เห็นขนาดนั้น แต่หลวงตามีความรู้สึกว่าน่าจะไปอยู่ตรงนั้น มีอะไรน่าจะไปอยู่ตรงนั้น มีอะไรน่าเข้าไปอยู่ ก็ทำได้แค่นี้
แต่ถ้าอารมณ์ธรรมะ อารมณ์พูดอะไรออกไปตามกฎธรรมดาก็พอได้ พอสัมผัสได้ แต่ว่าจะเอาจริง ๆ แล้วต้องฟังท่านนี้พูดต่อ ...(พระอาจารย์เล็ก)...
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2015 เมื่อ 14:05 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล็ก : คำว่า “พอได้” ของหลวงตานี่สร้างอาตมาขึ้นมาทั้งคน ตั้งแต่ก่อนบวชจนกระทั่งบวชแล้ว ๕-๖ พรรษาแรก อาตมาอาศัยหลวงตาวัชรชัยท่านมาตลอด
การปฏิบัติกว่าจะมั่นคงและชัดเจนได้ต้องหกล้มหกลุก ผ่านประสบการณ์มามากต่อมากด้วยกัน ในส่วนของการรู้เห็น ไม่ใช่การได้มรรคผล หลังจากที่เขี้ยวชนเขี้ยว จนกระทั่งพี่น้องเขาเบื่อหน้ากันทั้งวัดแล้ว พวกเราก็สรุปได้ว่า “ใครวางก่อน..สบายก่อน” การรู้เห็น..เรื่องของฤทธิ์เรื่องของอภิญญา ไม่ได้เกี่ยวอะไรของมรรคผลเลย จะเกี่ยวอยู่อย่างเดียวก็คือว่า อาศัยสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเพื่อให้ได้มรรคผล แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่ใช่ไม่มีผลเลย อาตมาถึงได้ชื่นชมตุ๊พ่อสิงห์มาตั้งแต่แรกจนถึงทุกวันนี้ เพราะว่าตุ๊พ่อท่านเย็นโดยธรรมชาติ เข้าใจคำว่าเย็นโดยธรรมชาติไหม ? พวกเราตั้งแต่รู้จักตุ๊พ่อมา มีใครเห็นท่านโกรธบ้าง ? ถ้าใครเคยเห็นนี่โชคดีจริง ๆ อาตมายังไม่เคยได้เห็นเลย นี่คือลักษณะของคนที่มีธรรมะอยู่ในใจ ท่านจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นไปโดยธรรมชาติเองแล้ว แต่ว่าพวกเรานี่ต้องพยายามทำให้มี พยายามทำให้เกิด กว่าจะแผ่เมตตาได้ต้องเข้าสมาธิ กดโทสะกันแทบเป็นแทบตาย กว่าโทสะจะยอมสงบลงแล้วแผ่เมตตาได้ แต่อย่างของตุ๊พ่อสิงห์นี่ท่านไม่ต้อง ท่านเป็นโดยธรรมชาติ ท่านมีเมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายโดยเสมอหน้ากัน นี่คือสิ่งที่อยากให้พวกเราแยกแยะให้ออก พระพุทธเจ้าถึงไม่สนับสนุนให้พระภิกษุแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เพราะว่าถ้าเราไปติดตรงฤทธิ์ตรงปาฏิหาริย์เมื่อไร โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลของเราจะหมดไปทันที เนื่องจากว่าเราไม่ได้เคารพพระรัตนตรัยจากใจจริง แต่เราไปยึดอยู่ตรงฤทธิ์ตรงเดชนั้น ในเมื่อเราเข้าไม่ถึงคุณพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง โอกาสที่จะได้มรรคได้ผลก็ไม่มี พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ห้ามไว้ ถ้าหากว่ารู้จริง สามารถใช้เสริมกำลังใจให้กับบุคคลไหนได้ก็ใช้ไป แต่อย่าไปบอกเขา ขณะเดียวกันถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับมรรคกับผล ที่เกี่ยวกับการรักษาศรัทธาญาติโยมแล้ว เราขืนใช้ไปเมื่อไรท่านปรับโทษ แล้วเป็นการปรับโทษที่ไม่ได้ระบุด้วยว่าโทษเท่าไร สามารถปรับได้ตั้งแต่ต่ำสุดยันสูงสุดเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2015 เมื่อ 14:08 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
![]()
เรื่องของการศึกษาพวกนี้ในสมัยที่อยู่วัดท่าซุง อาตมาก็ได้อาศัยหลวงตาวัชรชัย เพราะว่าท่านเป็นรุ่นพี่ เวลาพวกเรามีอะไรสงสัย พวกเราก็จะไปถาม ช่วงค่ำพอเลิกกรรมฐานแล้ว ประมาณทุ่มครึ่ง สถานที่เป็นสโมสรของพวกเราเลยก็คือใต้หอระฆัง หน้าร้านป้ากิมกี มีอะไรสงสัยข้องใจก็ไต่ถาม หลวงตาท่านก็จะอาศัยกระแสที่ท่านบอกไม่ชัดเจนนั่นแหละ แต่ใส่มาเป๊ะ ๆ ทุกที แล้วพวกเราก็ได้อาศัยเป็นหลักการปฏิบัติ เพราะว่าจะไปสอบถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อโดยตรง พวกเราก็ไม่มีโอกาสที่จะทำอย่างนั้นได้บ่อยนัก
ในส่วนที่หลวงตาท่านบอกว่าไม่ชัดเจนนั้น บางสิ่งบางอย่างที่ท่านแนะนำในเรื่องของอดีตเจ้าอาวาสของวัดท่าซุง ท่านนั้นเป็นอย่างนั้น ท่านนี้เป็นอย่างนี้ พอพวกเราเข้าไปกราบทำความรู้จัก ก็ปรากฏว่าเป็นไปตามที่หลวงตาท่านบอกไว้ทั้งหมด ในส่วนนี้แหละที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกพวกเราว่า มโนมยิทธิต้องเชื่อความรู้สึกแรก ไม่ใช่ตาเห็น แต่ถ้าเราทำไปเรื่อย ๆ ใครวิสัยเดิมมา มีกสิณกองใดกองหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องด้วยทิพจักขุญาณมา จะมีความชัดเจนขึ้น อันนั้นเป็นวาสนาบารมีเฉพาะตัว แต่การเชื่อความรู้สึกแรกนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าเราไม่เชื่อความรู้สึกแรกนี้ เอ๊ะ..เมื่อไร เดี๋ยวก็มีการปรุงแต่งเพิ่มแล้วจะพลาด ซึ่งตรงจุดนี้หลวงตาท่านมีประสบการณ์มากกว่า ท่านให้คำแนะนำสั่งสอนมา เราที่เป็นลูกศิษย์ อย่ายินดีแค่สิ่งที่อาจารย์บอก ต้องพยายามทำให้เกินนั้นหรือทำให้มากกว่าถึงเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าถ้าเรายินดีแค่สิ่งที่อาจารย์บอก แต่เราไม่สามารถถ่ายทอดได้เท่ากับอาจารย์ รุ่นหลัง ๆ ไปก็จะตกต่ำลงไปเรื่อย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องฝึกฝนให้เกิดความคล่องตัวให้มากเข้าไว้ และอย่าลืมว่าเรื่องของพระนิพพานเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเรา ต่อให้ฝึกฝนอะไรมาก็ตาม อย่าทิ้งเป้าหมายของพวกเราเป็นอันขาด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2015 เมื่อ 19:42 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
![]()
ตุ๊พ่อสิงห์ : ตุ๊พ่อขอกล่าวเรื่องวัดวาให้ฟังสักครู่หนึ่งนะ พระเดชพระคุณองค์หลวงพ่อให้ตุ๊พ่อมาอยู่ที่ถ้ำป่าไผ่ สั่งว่า อาจารย์สิงห์อยู่ที่นี่ ตายที่นี่ ไม่ต้องไปไหนต่อไปอีกแล้ว แล้วก็มีภาพนิมิตเกิดขึ้นมาว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อเคยบำเพ็ญกุศลมา ๑๖ อสงไขย แต่ว่าเมตตาจิตระดับสุดท้ายขององค์ท่าน คือเมื่อองค์ท่านฉันบิณฑบาต ท่านจะฉันไม่หมด จะเหลือค้างจานไว้ เเล้วนำไปเกลี่ยให้สัตว์ในน้ำกิน ผลบุญอันนั้นได้รวมตัวกันกลับกลายมาเป็นกระสวยก้นแหลม คล้ายห่อขนมก้นแหลมจำนวมมาก เเละได้ไหลมารวมตัวกัน จนมีลักษณะคล้ายภูเขาย่อม ๆ ลูกหนึ่ง อยู่ในถ้ำป่าไผ่แห่งนี้
องค์หลวงพ่อประทับยืนอยู่ที่บนปากปล่องถ้ำ ตุ๊พ่อยืนอยู่ข้าง ๆ องค์ท่าน ท่านได้ชี้มือมาที่กองบุญนั้น ร่างของตุ๊พ่อก็ได้ลอยลงมาตามมือชี้ เเล้วก็ลอยประทักษิณกองบุญนั้น ๓ รอบ เเล้วก็ได้เอาธงสีเทาผืนหนึ่งปักลงตรงกลางภูเขาลูกนั้น เเล้วก็สะดุ้งตื่นจากความฝัน ซึ่งปัจจุบัน ตุ๊พ่อได้สร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมขึ้นประดิษฐานไว้บนกองบุญนั้น แล้วก็ประดับธงชาติ และธงธรรมจักรเเบบถาวรไว้ข้าง ๆ องค์พระ เเล้วก็ได้มาอยู่มาเป็นประธานในการพัฒนาถ้ำ ก็ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านด้วยดีตลอดมา แต่ชาวบ้านเขาบอกว่าภูเขาลูกนี้ก็ดี ผืนแผ่นดินนี้เป็นของเขา เขาไม่ให้ เขาฟ้องร้องมาตลอด ตุ๊พ่อสู้ความมา ๑๐ กว่าปี หมดไปคงจะเฉียด ๆ ล้านแล้ว ที่ต้องหาค่าจ้างทนายคนแล้วคนเล่ามาช่วย เราหลุดไปครั้งที่ ๑ เขาบอกว่าเป็นที่ป่าช้า ที่ป่าสงวน ที่ดินจังหวัดเขามายืนยันว่าหลักฐานเรามี จะส่งไปให้ที่ดินอำเภอว่าเพิกถอนไม่ได้ ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่างแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปนะตุ๊พ่อ..สบายแล้ว คนเขาก็ฟ้องซ้ำอีกทีว่าหลักฐานออกมาโดยไม่ชอบ..ก็สู้กันอีก เก็บหอมรอมริบเอามาทั้งหมด ไถเอาเงินวิหารทานมาจ่าย จำเป็นต้องจ่ายก็ต้องจ่ายนะ เขาบอกว่าจะให้เสร็จที่นี่หรือเสร็จที่ศาล บอกว่าเสร็จที่นี่ก็ได้ เรื่องคดีตุ๊พ่อไม่อยากขึ้นศาล เขาก็บอกว่าที่ดินนี้นะ ออกมานานแล้วตั้งแต่ปี ๒๕๑๘-๒๕๑๙ หมดอายุความ..ฟ้องไม่ขึ้น ก็รอดมาอีกครั้ง... ทีนี้เขาก็อยากจะได้ถ้ำอีก ฟ้องร้องจะยึดถ้ำให้ได้ บอกว่าที่ผืนนี้เป็นที่ป่าช้า เขาก็มายึดเอา ทาง สปก.เขาให้ส่งเอกสารคัดค้านไปให้เขาภายใน ๑๐ วัน คัดค้านฟ้องศาลไป จากนั้นเขายอมแพ้ เขาบอกไม่ต้องฟ้องแล้ว เพราะไม่ใช่ที่ของ สปก. ตุ๊พ่อก็เลยต้องไปพึ่งสมเด็จพระเทพฯ พึ่งนายกรัฐมนตรี ทุ่มเงินไป วิ่งไปวิ่งมาเข้าวังไปหลายครั้งแล้ว ตอนนี้เมื่อวานซืน ที่ดินก็มาบอกว่าที่ดินของวัดมี ๗ ไร่กว่า...แค่นี้ แล้วเขาก็ทำเนื้อที่ของเราหายไปหมด แทบจะไม่มีที่ให้ดิ้นเลยลูก ตุ๊พ่อก็ว่า เอ๊ มันไม่ถูกนะ ก็ต้องสู้กันใหม่ ทางสำนักที่ดินก็ดี สำนักพุทธฯ ก็ดี ก็มาดูที่ เราบอกว่าเราประกาศเป็นวัดไปแล้วนะ เนื้อที่ ๗ ไร่ตุ๊พ่อสร้างวัดถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ตามธรรมดาไม่มีใครเพิกถอนได้หรอก ตุ๊พ่อก็สู้ต่อ แต่ว่ากระเป๋ามันแห้งลูก แต่ว่าตุ๊พ่อก็ฝันนะลูกนะ ฝันว่าขึ้นภูเขาสูง ขึ้นไปโต๋เต๋ ๆ แรงหมด แต่มีท่านอาจารย์เล็กมาแตะหลัง ตุ๊พ่อก็มีแรงไปลิ่ว ๆ ก็คิดว่าองค์นี้แหละจะมาช่วยพ่อ ...(หัวเราะ)...
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 30-09-2015 เมื่อ 18:45 |
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
![]()
ตุ๊พ่อเลยขอแรงขอแบ่งบารมี เรื่องที่ธรณีก็ดี วัดก็ดี ไหน ๆ ขอให้รักษาสมบัติของพ่อเราไว้ให้ได้นะ สู้ให้ได้ มันเตะแล้วเตะอีกนะลูกนะ ไม่มีอะไรจะเหลือแล้ว โห...สู้กับพวกพลังประชาชนนี่ ผู้ว่าราชการก็เป็นของเขา นายอำเภอเป็นของเขา สำนักพุทธฯ จังหวัดเป็นของเขาหมด ยกมือกัน พระเราไป ๔ รูป บอกว่าพระไม่มีหน้าที่ออกเสียง สู้ความมาหลายหนแต่กลับไม่มีสิทธิ์ออกเสียง มีแต่พวกเขาที่ออกเสียงได้ พอเขายกมือพรึ่บก็เป็นของเขาหมดเลย
ที่ดินบนเขาตุ๊พ่อขอตามขั้นตอนแล้วนะ ขอทางบ้านเมือง ขอให้ผู้ว่าฯ เป็นประธานในการก่อสร้างให้ ขอให้เจ้าคณะจังหวัดเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มีท่านผู้หญิงประไพ ศิวะโกเศศ ต้นห้องของในหลวงเป็นที่ปรึกษา แล้วนี่ชาวบ้านปลุกระดมกันใหม่อีกแล้ว ตะโกนบอกว่า "ไอ้สิงห์ออกไป..เอาถ้ำกูมา" จุดประทัดตูมตาม แล้วยิงปืนไล่กันเหมือนไล่จับผู้ร้าย ตุ๊พ่อก็ต้องหลบอยู่ในห้องสิลูก นี่ก็เป็นปัญหาที่ว่าเราเกิดมาใช้กรรมเน้อ ตุ๊พ่อเคยปากไม่ค่อยดี ชอบทะเลาะชาวบ้าน..เป็นปัญหาใหญ่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-09-2015 เมื่อ 20:00 |
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล็ก : เอ้า..มาช่วยกันบริจาคค่าทนายให้ตุ๊พ่อสิงห์หน่อย ความจริงแล้วโดยกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า ห้ามบุคคลใดบุคคลหนึ่งยกความขึ้นสู้เรื่องที่ดินกับวัด เพราะฉะนั้น..จริง ๆ แล้วเราสามารถฟ้องนายอำเภอ ผู้ว่าฯ จนกระทั่งถึงเจ้าหน้าที่ระดับล่างสุด ว่าเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้ แต่ว่าตุ๊พ่อสิงห์ท่านเป็นคนรักสงบจนเกินไป ถ้าเป็นอาจารย์เล็กนี่ไล่เตะยันอำเภอไปแล้ว..!
ในเมื่อตุ๊พ่อท่านรักสงบ เขาว่าอะไรก็ว่าตามเขา เหมือนอย่างกับว่าเขาเมตตาเหลือให้เท่าไรก็เอาแค่นั้น ถ้าไม่เหลือไว้ให้เลยก็พร้อมที่จะย้ายวัดอีกต่างหาก ก็เลยกลายเป็นว่าเสียท่าเขาอยู่ตลอด เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราต้องยอมรับว่ากรรมเก่าของเราเคยทำมา เคยเบียดเบียนเขามา ถึงเวลาเขาก็มีโอกาสที่จะทวงคืนได้ ดังนั้น..ที่หลวงตาวัชรชัยท่านบอกว่า “ก็เราทำเอาไว้” คำนี้จริง ๆ แล้วลึกซึ้งกินใจและความหมายกว้างไกลมาก ถ้าโยมทั้งหลายเข้าใจยถากัมมุตาญาณตัวนี้ สามารถที่จะปล่อยวางได้ การเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าเป็นของง่ายนิดเดียว เพราะว่าพระอริยเจ้า ก็คือผู้ที่ ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แต่การยอมรับกฎของกรรมก็อย่างที่ว่า ดิ้นจนสุดกำลังก่อน ไม่อย่างนั้นแล้วบางอย่างพอที่จะสู้ได้แล้วเราไม่สู้ นั่นถือว่าไม่มีปัญญา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-09-2015 เมื่อ 20:02 |
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
![]()
หลวงตาวัชรชัย : ลูกศิษย์รุ่นหลังหรือว่ารุ่นกลาง ๆ หรือว่ารุ่นน้องที่ถ้ำป่าไผ่ อาจจะไม่รู้ความจริงเรื่องตุ๊พ่อสิงห์ เดี๋ยวจะนินทาให้ฟัง พวกเรารู้ไหมว่า ตุ๊พ่อสิงห์เป็นครูมโนมยิทธิคนแรกของวัดท่าซุงนะ ตอนที่ตุ๊พ่อยังเป็นฆราวาสนะลูก หลวงพ่อฤๅษีตามตัวตุ๊พ่อสิงห์มา นี่นินทาแล้ว บอกความจริงนะ..ไม่ได้นินทา เอาเป็นว่าตอนพระคุณหลวงพ่อฤๅษีท่านยังไม่ได้สอนมโนมยิทธิแบบที่เราสอนกันตอนนี้ หลวงพ่อเอาตุ๊พ่อสิงห์ไปเป็นประจักษ์พยานว่า แม้ฆราวาสก็ทำมโนมยิทธิ ทำทิพจักขุญาณให้เกิดได้ ตุ๊พ่อนี่เป็นคนสอน สอนในโบสถ์ หลวงตาเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกของตุ๊พ่อ ยังเป็นฆราวาสอยู่สมัยนั้น สอนในโบสถ์เลย พุทโธ เมนาโถ เมนาถัง ฯ
พระอาจารย์เล็ก : กัมมัฏฐานะ กัมมัฏฐานัง ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระกัมมัฏฐานทั้งหลาย ด้วยใจตั้งมั่นฯ ...(หัวเราะ)... รุ่นหลังนี่ไม่เคยได้ยิน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-09-2015 เมื่อ 20:05 |
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
![]()
หลวงตาวัชรชัย : เวลาไปได้นี่ต้องหงายท้องนะลูกนะ ต้องล้มลงไปแล้วจิตจะออกจากร่าง ใส่หน้ากากด้วย โห...หลวงตาเห็นแล้วหลวงตาไม่อยากไปเลยในตอนแรก พอได้ยินว่าโยมเขาไปได้ คือพื้นโบสถ์นี่มันแข็งนะ แล้วล้มดังปังไม่กระดิกเลย ล้มไปเฉย ๆ แล้วเงียบไปเลย ไม่ใช่สลบนะ หลับแล้วไปทั้งตัว พอตื่นขึ้นมาครูบาอาจารย์มีหลวงพ่อ มีตุ๊พ่อสิงห์ตอนนั้นยังเป็นฆราวาส ก็จะถามไปอย่างไรมาอย่างไร ก็มีคนเข้ามาเรียนกันเยอะแยะ หลวงตาไม่ได้เลยนะ กลัวหัวแตก เสียงมันแน่นนะ เสียงหัวคนล้มลงไปฟาดกับพื้นหิน แต่ไม่มีใครเจ็บมีบาดแผลนะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-09-2015 เมื่อ 20:06 |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
![]()
ทีนี้เล่าเกร็ดให้ฟังเรื่องหนึ่ง คุณชอ (อัญชัญ ศุทธรัตน์) หรือคุณเชิญ (อัญเชิญ มณีจักร) น่าจะพี่เชิญ..พี่คนโต เขาเป็นครูฝึกมโนมยิทธิคนสำคัญของวัดท่าซุงในกาลก่อน ครั้งนั้นฝึกตอน ๒ ทุ่มแล้ว ผู้หญิงเขากลัวโป๊ เพราะแต่งชุดกระโปรงมา แกกลัวหงายล้มแล้วจะไม่สุภาพ แกก็เตรียมมาอย่างดี นุ่งกางเกงนอน เอายางรัดขามาอย่างดี แล้วก็นั่งฝึกมโนมยิทธิ แต่ไปไม่ได้
มีอยู่วันหนึ่งแกบอกไม่เอาแล้ว นั่งเฉย ๆ ดีกว่า นุ่งกระโปรงมาเลย แกก็บอกขอโทษนะ..กางเกงในไม่ได้ใส่ กะว่าไม่ไปแน่ แต่ดันไปได้ ล้มแล้วไปเฉย ๆ เลย ตุ๊พ่อสิงห์เป็นครูมโนมยิทธิ ครูทิพจักขุญาณคนแรกของวัดท่าซุง ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนของท่านอยู่แล้ว แต่ว่าท่านเอาไว้เป็นพยาน เป็นกำลังใจให้คนรุ่นต่อมาได้เห็นว่า แม้แต่ฆราวาสก็ไปได้ ไปได้เก่งกว่าด้วย องค์นี้แหละ หลังจากนั้นหลวงตาก็ไม่ได้เจอตุ๊พ่ออยู่นาน ท่านออกมาสร้างโน่นสร้างนี่อยู่ตรงนี้ แล้วถึงเวลาพ่อท่านไปเราพี่น้องก็เจอกัน อันที่จริงหลวงตาเป็นลูกศิษย์ของท่าน เป็นลูกศิษย์ตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาสด้วยกัน ก็ให้รู้ไว้ นินทาให้ฟัง ท่านมาอยู่ด้วยงานพระศาสนาจริง ๆ อยู่อย่างถูกต้องตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านรับรองจริง ๆ พี่น้องที่ไม่เข้าใจตุ๊พ่อก็ให้เข้าใจ แต่ว่าตุ๊พ่อท่านสุภาพเกินไป ไม่ค่อยสู้เขา สู้ก็สู้อย่างสุภาพ เขาก็ขย่มอกเอาได้นะ ถ้าเป็นอย่างหลวงตากับท่านเล็กนี่ไม่เหลือหรอกลูก ...(หัวเราะ)...
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-09-2015 เมื่อ 19:22 |
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล็ก : ตุ๊พ่อท่านเคยปรารภว่าเกิดมาอาภัพ มีโอกาสอยู่กับครูบาอาจารย์น้อย เพิ่งบวชได้ ๒ พรรษา ครูบาอาจารย์ก็สั่งให้ออกมาอยู่ข้างนอกเสียแล้ว เพราะฉะนั้น..รุ่นหลัง ๆ ในวัดท่าซุงส่วนใหญ่จะไม่รู้จักท่าน แต่รุ่นของพวกอาตมานี่บังอาจมากนะ สมัยก่อนพวกเราเรียก "หลวงพี่สิงห์" กัน เรียกหลวงพี่กันมานานมากเลย นานจนกระทั่งต่างคนต่างออกไปอยู่ข้างนอกแล้ว ท่านก็อายุกาลพรรษามากขึ้นทุกที เห็นว่าบรรดาลูกศิษย์ก็เรียกตุ๊พ่อ ๆ กัน ก็เลยเรียกตามลูกศิษย์ไปด้วย จะได้กลมกลืนกันไป
อยากจะบอกว่าในสิ่งที่ท่านทำมานั้น ท่านทำมาก่อนและทำมาด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง จะได้เห็นว่าแต่ละคนนั้นสร้างบารมีมาไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า แนวการปฏิบัติมี ๔ สาย คือ ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติก็ลำบาก บรรลุก็ยาก ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบากแต่บรรลุง่าย สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติสบายแต่บรรลุยาก สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติสบายและบรรลุง่าย สายมโนมยิทธิของหลวงพ่อวัดท่าซุง จัดอยู่ในพวกสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ก็คือปฏิบัติสบายแล้วก็บรรลุง่าย แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ร้อยละเกิน ๙๐ ในปัจจุบัน เอาสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาลที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนไว้ไปใช้ผิด หลวงพ่อท่านต้องการให้เรารู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง ถ้าคุ้นชินกับอารมณ์พระนิพพานแล้ว นำลงมาปฏิบัติต่อข้างล่าง สภาพจิตของเราเมื่อเคยชินมาก ๆ เข้า จะเกิดการตัดละโดยอัตโนมัติโดยเจโตวิมุติ จะทำให้เราเข้าสู่พระนิพพานได้ง่ายที่สุด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-09-2015 เมื่อ 19:25 |
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
![]()
ขณะเดียวกันสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของแถมมา จะเป็นระลึกชาติก็ดี รู้ว่าใครก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหนก็ตาม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ท่านให้รู้เพื่อที่จะได้เข็ด รู้เพื่อจะได้ละ ได้วาง ว่าชาติแล้วชาติเล่าเรามีแต่ความทุกข์อย่างนี้ พอกันสักทีหรือยัง ? แต่ปัจจุบันที่อาตมาเห็นอยู่ ส่วนใหญ่พอได้แล้วก็ไปสนุกสนาน ดูว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะเข็ดจะหลาบ ก็กลับไปยึด ไปฟื้นความสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่ อาตมาเคยบอกแล้วว่า ระวัง...แทนที่จะว่ายน้ำขึ้นฝั่งได้ ก็กลับจะกอดคอกันตายทั้งพรวน นี่คือสิ่งที่อยากจะตักเตือนเอาไว้
อาตมาเองตัดตัวเองออกไปเลย ตั้งแต่ออกจากบ้านสายลมแล้วไม่สอนใครเลย เพราะว่าตัวเองยังไปยึดไปติดอยู่ตั้งหลายปี เกรงว่าลูกศิษย์จะไปติดแล้วเสียเวลานาน ดังนั้น..ในส่วนนี้ที่ตุ๊พ่อก็ดี หลวงตาวัชรชัยก็ดี ท่านสอนมา และมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ท่านเห็นควรที่จะแนะนำ ก็จะถวายภาระหน้าที่ในการแนะนำแก่ท่าน เพื่อที่พวกเราจะได้แนวทางที่ถูกต้องและสะดวก ตลอดจนกระทั่งง่ายแก่การปฏิบัติด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-09-2015 เมื่อ 19:27 |
สมาชิก 136 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
![]()
ตุ๊พ่อสิงห์ : ชื่นอกชื่นใจ ที่ทั้ง ๒ ท่านได้มาช่วยเหลือ ได้มาสงเคราะห์เป็นประธานในการทำบุญครั้งนี้เน้อ ท่านแนะนำลูกศิษย์หลวงพ่อให้มารู้จักว่านี่ตุ๊พ่อสิงห์เน้อ แล้วก็มีท่านอาจารย์เอกที่พาตุ๊พ่อไปแจกของที่เมืองใต้ตั้งหลายครั้ง ก็เลยได้รู้จักลูกศิษย์ลูกหาหลวงพ่อเพิ่มขึ้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็พระอาจารย์เล็กของเรา ท่านสงเคราะห์หนี้สินของตุ๊พ่อ ทีแรกถูกเขาต้มเงินไป ๑,๓๖๐,๐๐๐ บาท ไม่รู้จะหาที่ไหน พยายามช่วยตัวเองไป จนใกล้อายุจะหมด จะตายแล้ว ก็ทำพระชำระหนี้สงฆ์ไว้ ๑ องค์ แล้วก็ไปนิมนต์ขอพระอาจารย์เล็กมาช่วย ท่านก็เอากฐินมาให้ได้ ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท ปลดหนี้หมดไป โห...ท่านมาสองครั้งปลดหนี้ให้ตุ๊พ่อหมดเลย เป็นความอัศจรรย์จริง ๆ เน้อ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-09-2015 เมื่อ 19:29 |
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|