#1
|
||||
|
||||
![]() บรรยายธรรม ณ บ้านตลิ่งชัน (๐๑) ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ที่เราปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้ ก็ทำเพื่อจะไปพระนิพพาน การที่เราต้องการไปพระนิพพาน อุปสรรคใหญ่จะมีเยอะมาก โดยเฉพาะการทดสอบกำลังใจในรูปแบบต่าง ๆ มารเขาเก่ง ใครรู้จักหน้าตาของมารบ้าง ? หน้าตาเหมือนเราเปี๊ยบเลย..! จริง ๆ..ไม่ได้พูดเล่น เหมือนเราเปี๊ยบเลย มารกับความดีหน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง มีแต่ก้าวสุดท้ายเท่านั้น ก้าวสุดท้ายมารเขาจะดึงเราลง แต่พระดึงเราขึ้น ต่างกันแค่ก้าวสุดท้ายก้าวเดียว ขึ้นอยู่กับศรัทธา ความเชื่อ วิริยะ ความพากเพียร สติ ความตั้งมั่นระลึกรู้ของเรา สมาธิ กำลังใจที่ปักมั่นคง แล้วก็ปัญญา ความรู้แจ้งของเรา ถ้า ๕ อย่างนี้มีไม่ครบ เราสู้มารไม่ได้ ปี ๒๕๓๘ อาตมาโดนมารต้อนอยู่ ๒ เดือนกว่า ถูกตีแทบตาย บังเอิญหนังเหนียวจึงรอดมาได้ เห็นหน้ามารครบถ้วนสมบูรณ์แบบทุกอย่าง ถึงได้บอกกับเขาว่า ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า กูจะยอมไหว้มึง..! เขาเก่งมาก แต่พอผ่านจุดนั้นไปแล้ว กำลังใจเหมือนกับพลิกกลับ หลังมือเป็นหน้ามือ กลับด้านไปเลย เราจะเห็นว่ามารไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นครูที่ดีที่สุดของเรา ครูคนนี้ขยันอย่าบอกใครเลย เผลอเมื่อไรเป็นออกข้อสอบ ถ้าเราสอบได้ กำลังใจก้าวพ้นจุดนั้นไป ก็จะไม่ถอยกลับมาอีก แต่ถ้าเราสอบตก เขาก็จะเป็นมาร คือผู้ขวาง ผู้ฆ่าเราจากความดี ถามว่า ถ้าไม่ใช่ศัตรู แล้วเราจะทำอย่างไรกับเขา ? ไม่ต้องทำอย่างไรกับเขาหรอก ปล่อยเขาไป เขามีหน้าที่ขวาง ก็ให้เขาขวางไป เรามีหน้าที่หนี เราก็หนีไป ดูว่าใครมีความสามารถมากกว่ากัน แค่นั้นเอง คราวนี้การที่เขาขวางนั้น เขาสามารถใช้คน ใช้ของ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรา เป็นเครื่องทดสอบได้ กระติกน้ำวางตรงนี้แท้ ๆ มองลงไปโทสะเกิด "ใครวะ..? วางเกะกะฉิบหายเลย..!" นี่..เขาสามารถใช้ได้ขนาดนี้ ทั้งคน ทั้งของ โดยเฉพาะคนที่เรารัก ยิ่งรักมากเท่าไร จะเป็นตัวทดสอบเรามากเท่านั้น การกระทบกระทั่งที่เกิดขึ้นทุกประการ เกิดจากเจตนาของเขาทั้งสิ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 06-07-2015 เมื่อ 09:10 |
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
สมัยก่อนป้าเอี่ยม (คุณเอี่ยมศรี อ่อนคำ) ยังอยู่ที่วัดท่าซุง พวกเรารุ่นนี้น่าจะทันป้าเอี่ยมกันหลายคน ป้าเอี่ยมบอกว่า “หลวงพี่..เขาวางบ่วงไว้บานเลย โน่น..เขานั่งอยู่บนยอดเขาโน่น หย่อนลงมา รัก โลภ โกรธ หลง เต็มไปหมด เผลอเมื่อไรเราก็ติดบ่วง ไอ้นั่นก็หัวเราะชอบใจ กูได้อีกคนหนึ่งแล้ว เหมือนอย่างกับตกปลาเลย” อันนั้นต้องถามป้าเอี่ยม ป้าเอี่ยมแกทิพจักขุญาณดี
เรื่องของมาร อาตมายืนยันว่ามารมีตัวมีตนจริง ๆ สมัยเด็ก ๆ สวดมนต์ เขาว่า "รุมพลพหลพยุหะปาน พระสมุทรนองมา" ท่านว่า เขายกพหลพลโยธามาเหมือนกับน้ำในมหาสมุทรที่ไหลนองมา พร้อมที่จะท่วมทับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าไม่ได้เจอด้วยตัวเองอาตมาก็คงจะไม่เชื่อ แต่พอเจอด้วยตัวเอง ต้องยอมรับว่าเขามีตัวตนจริง ๆ แรก ๆ ยังคิดว่าเขาเป็นแค่อารมณ์ความรู้สึกเท่านั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เขามีตัวมีตน มีหน้ามีตา มีอะไรทุกอย่าง มีกระทั่งขันธ์ ๕ เหมือนกับเรานี่แหละ แต่ของเขาเป็นขันธ์ทิพย์เท่านั้น คราวนี้การขวางของมาร เขาสามารถใช้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างในการสร้างสถานการณ์ เพื่อให้เราออกห่างจากพระรัตนตรัย ยิ่งมากยิ่งดี จำไว้ให้แม่น ๆ เลยนะ ห่างพระรัตนตรัยเมื่อไรก็คือห่างความดี ห่างความดีโดยเฉพาะพระรัตนตรัย เราจะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันไม่ได้ เขาก็จะพยายามแหย่อยู่ในลักษณะนี้ แล้วสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมานี่แนบเนียนมาก ยิ่งกว่าไปเล่นหมากรุกกับพวกเซียนหมากรุกที่เป็นแชมป์โลกอีก กินเรา ๒๐ ต่อ ไม่มีโอกาสกระดิกเลย ทุกเรื่องจะดูสมเหตุสมผล พอเหมาะพอดีพอควรไปหมด จนกระทั่งเราปักใจมั่นเลยว่า อันนี้ต้องเป็นอย่างนี้แน่ อันนั้นต้องเป็นอย่างนั้นแน่ แล้วเราจะเผลอก้าวออกไป กลายเป็นห่างความดี ห่างพระศาสนาไปเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-07-2015 เมื่อ 19:23 |
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
หลายคนมาที่บ้านตลิ่งชัน เราเริ่มจะมีความดี มีความก้าวหน้า แล้วพอมาเจอเหตุการณ์อย่างนี้เข้า จะเกิดความลังเลสงสัย ลังเลสงสัยคืออะไร ? วิจิกิจฉาสังโยชน์ เสร็จเขาแล้ว เมื่อเกิดความลังเลสงสัยขึ้นมา จิตใจที่ไม่มั่นคงต่อพระรัตนตรัย ความเคารพเชื่อมั่นจริง ๆ ไม่มี เราก็ขาดทุนเอง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เราลองตรองย้อนหลังไปสิ ตั้งแต่ก้าวแรกของเราที่มายังสถานที่นี้ หรือตั้งแต่ก้าวแรกของเราที่ได้พบ ได้รับคำสอนของหลวงพี่สมปอง ของอาจารย์สมปอง ของหลวงพ่อสมปองมาจนบัดนี้ มีส่วนใดส่วนหนึ่งที่นอกลู่นอกทางไปไหม ? ถามว่านอกลู่นอกทางอย่างไร ? ก็ให้เปรียบเทียบกับในพระไตรปิฎก หรือคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีของเรา ถ้าหากว่าเหมือนกัน ก็แปลว่าเราปฏิบัติตามมาไม่ผิดทาง ถ้าไม่เหมือนกัน นั่นแหละถึงจะแปลว่าผิดทาง ส่วนใหญ่แล้วพวกเรายังขาดวิจารณญาณตรงจุดนี้ พอถึงเวลาอะไรเกิดขึ้น มักจะไประบุผิดชอบชั่วดีอย่างชัดแจ้งทันที คราวนี้ประสบการณ์ของตัวเราเหมือนกับคนขึ้นบันได คนขึ้นขั้นที่ ๑ มองไปก็ไม่ค่อยเห็นอะไรหรอก ขั้น ๒ ขั้น ๓ ขั้น ๔ สูงขึ้นไป ก็เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ เราจะไประบุมั่นว่าสิ่งที่เราเห็นตอนที่ยืนอยู่ขั้นที่ ๑ อย่างนี้ต้องใช่แน่ ความจริงแล้วไม่ใช่ พอไปถึงขั้นที่ ๒ อ้าว..ใช่ตรงนี้อีกแล้ว ไปถึงขั้นที่ ๓ อ้าว..ใช่ตรงนี้อีกแล้ว จะใช่ไปเรื่อย ๆ หลวงพ่อฤๅษีถึงได้บอกว่า คนเราไม่มีดีไม่มีชั่ว มีแต่คนที่กำลังเป็นไปตามกรรม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-07-2015 เมื่อ 19:25 |
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ที่กล่าวมาตรงถึงจุดนี้ก็อยากจะยกตัวอย่างว่า ปี ๒๕๒๘ ถ้าจำไม่ผิด แชร์คุณชม้อยล้ม รู้จักคุณชม้อยไหม ? ใครโดนไปบ้าง ? โดนกันไปหลายมือ แชร์น้ำมันชม้อยล้ม ก่อนช่วงนั้นลูกศิษย์หลวงพ่อล่ำซำอู้ฟู่กันมากเลย ประเภทต่ำกว่าใบละ ๕๐๐ บาทใช้ไม่เป็น
อาตมาไม่ได้เล่นแชร์ แต่เจ๊งไปกับเขาเป็นล้าน ๆ เพราะอะไร ? ก็พวกเรานี่แหละ “ถึงพี่ไม่มีความโลภ แต่ผมเองยังต้องกินต้องใช้อยู่ ผมได้มา ผมเอามาทำบุญ ก็เท่ากับพี่ได้ช่วยพระศาสนาด้วย” ว่าแล้วก็ยืมคนละคัน ครึ่งคัน ล้อหนึ่งบ้าง น็อตหนึ่งบ้าง สรุปแล้วอาตมามีลูกหนี้อยู่บานเลย แล้วตั้งบัดนั้นจนบัดนี้เสียใจอยู่อย่างเดียว คือ เขาไม่เข้าวัด เพราะอาตมาอยู่ในวัด ไม่เคยทวงเขาเลย แต่เขาไม่เข้าวัด เสียดายมาก ตอนช่วงนั้นพอแชร์ชม้อยล้ม เดือนแรกคนแห่กันไปสายลมแทบแตก ไปกันชนิดจะเหยียบกันตาย ไปเพื่ออยากจะรู้ว่า แชร์ชม้อยล้มแล้วจะฟื้นใหม่ไหม ? เดือนที่ ๑-๓ ไปกันขนาดนั้น พอเดือนที่ ๔ ก็เหลือสักครึ่งหนึ่ง เดือนที่ ๕ เหลือประมาณ ๑ ใน ๔ อาตมาเองมองเหตุการณ์อยู่ตลอด มีเพื่อนซี้อยู่คนหนึ่งชื่อลุงพุฒิ ไม่ใช่ลุงพุฒิข้างล่างนะ ตอนนั้นมีพรรคพวกอยู่ ๓-๔ คนที่รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่ออยู่ อาตมาบอกว่า “ลุง..ถ้าพวกเราหายไปสักคนหนึ่ง ที่เหลือ ๑ ใน ๔ นี่จะหายไปด้วย เพราะฉะนั้น..เป็นตายอย่างไรพวกเราไปไหนไม่ได้นะ” ลุงพุฒิถามว่า “คนอื่นเขาดูเราขนาดนั้นเลยหรือ ?” ก็บอกว่า “ใช่..ผมเองไม่ได้อยู่เฉย ๆ นะลุง ใครมาใครไปผมวิเคราะห์เขาตลอด คนบางประเภทมาเพราะต้องการเครื่องรางของขลัง คนบางประเภทมาเพราะต้องการหวย คนบางประเภทมาเพราะจะได้ไปคุยกับเขาว่า พระที่มีชื่อเสียงรูปนี้เราเคยไปกราบมาแล้ว คนบางประเภทหลงเซ่อ ๆ ตามเพื่อนมา ไม่รู้เรื่องอะไรเลย คนอีกบางประเภท มาเพราะต้องการธรรมะจริง ๆ แล้วประเภทสุดท้ายนี่แหละ ที่เหลืออยู่ ๑ ใน ๔ ตอนนี้” “ถามจริง ๆ เถอะลุง ๑๐ กว่าปีที่เราอยู่กับหลวงพ่อมาด้วยกัน หลวงพ่อเคยสอนผิดไหม ?” ลุงบอกว่า “ไม่เคย” “หลวงพ่อเคยพูดผิดไหม ?” “เคย” ถามว่า “ทำไมถึงพูดผิด ?” “การพยากรณ์ของหลวงพ่อผิด” “ผิดเพราะอะไร ?” อย่างเช่นบอกว่าเหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นในเวลานี้ ในวาระนี้ เสร็จแล้วกลับไม่เกิดขึ้น บอกต่อไปว่าจะเป็นอย่างนั้น ๆ แล้วก็ไม่เป็น ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2015 เมื่อ 11:27 |
สมาชิก 118 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
การพยากรณ์เขาใช้สถานการณ์ปัจจุบันเป็นตัวตั้ง อย่างตอนนี้ อาตมาเคยเปรียบเทียบให้ฟังว่า ถ้าเราขับรถด้วยความเร็ว ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เราจะไปถึงเชียงใหม่ภายใน ๗ ชั่วโมง นี่คือคำพยากรณ์ แต่ถ้าเราเร่งความเร็วขึ้นเกิน ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะถึงก่อนไหม ? ก็ถึงก่อน..แล้วลดความเร็วลงจะถึงทีหลังใช่ไหม ? ใช่..คำพยากรณ์จะผิดไปทันที เพราะปัจจัยที่มาทีหลังเป็นตัวแปร ทำให้เหตุการณ์เพี้ยนไป
แต่สิ่งที่หลวงพ่อสอนเรามาเกี่ยวกับการปฏิบัติเคยมีผิดไหม ? สองคนนั่งหัวชนกันวิเคราะห์..ไม่มี ทุกอย่างที่หลวงพ่อสอนตามคำพระพุทธเจ้าแล้วเราปฏิบัติ โดยเฉพาะเรื่องของการปฏิบัติภายในเพื่อการเข้าถึงความสงบระงับ เพื่อเข้าถึงการละเลิกจากกิเลส ไม่มีจุดไหนผิดเลย แม้เรายังทำไม่ถึงที่สุด แต่เราก็มั่นใจ เพราะตลอดเส้นทางที่ผ่านมา เป็นอย่างที่หลวงพ่อสอนมาทั้งหมด ถ้าเป็นดังนี้ เรามาเพื่ออะไรลุงบอกได้ไหม ? “เรามาเอาธรรมะ” “ใช่..เรามาเอาธรรมะ เราไม่ได้มาเอาแชร์ชม้อย เพราะฉะนั้น..คนอื่นจะไปไหนช่างหัวมัน แต่เราต้องอยู่” พอดีกับหลวงพ่อท่านต้องการพระบวชแก้บน ท่านชวนบวช อาตมาก็มานึกว่า วาระกำลังดี ขณะที่คนอื่นเขาถอยหลังออกไป เรากลับมีโอกาสได้ก้าวขึ้นไปข้างหน้า จึงรับปากหลวงพ่อท่านว่าจะบวช แต่ตอนนั้นยังไม่มั่นใจ เพราะเห็นนรกมาเสียจนกลัว จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า “เอานานไหมครับ ?” ท่านบอกว่า “บวชแก้บนใครเขาเอานานกัน ๗ วัน ๑๐ วันก็พอแล้ว” อาตมาตั้งใจจะบวชสัก ๗ วัน ปาไป ๒๐ ปีแล้ว เพลินไปหน่อย... จึงอยากจะบอกกับพวกเราทุกคนว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านตลิ่งชันแห่งนี้ ก็คล้าย ๆ กับบ้านสายลมในยุคนั้น เป็นตะแกรงที่จะร่อน ร่อนอะไร ? ร่อนกรวด ร่อนทราย ร่อนเพชร ร่อนพลอย หรือทอง จะเป็นตัวคัดเลือกที่ดีที่สุด ว่าพวกเราเองมีความมั่นคงในพระรัตนตรัยเท่าไร ? มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาเท่าไร ? ที่จะต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อจะก้าวไปข้างหน้า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ปกติแล้วยิ่งมากยิ่งดี แต่พวกเรานี่โดนหน่อยเดียวก็หงายท้องกันหมดแล้ว การทดสอบเหล่านี้ยังจะมีมาอีก จะมาเป็นระยะ ๆ ไป อาตมามาวันนี้ไม่ได้มารับรองใคร แล้วก็ไม่ได้มาแก้ตัวแทนใคร แต่มาบอกให้เข้าใจสภาพความเป็นจริงว่า สมัยก่อนเรื่องอย่างนี้เคยเกิดขึ้นมา แล้วอาตมามีวิธีคิด มีแง่มุมในการมองแบบไหน จำไว้เลยว่าโลกนี้ไม่มีขาวดำชัดเจน ไม่มีคนดีคนชั่ว มีแต่คนกำลังเป็นไปตามกรรม ใครทำเอาไว้มากก็รับเละหน่อย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2015 เมื่อ 11:31 |
สมาชิก 117 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
![]()
ส่วนอาตมาเองทำเขาไว้เยอะมาก เมื่อคืนหมดท่า ไปไหนไม่รอด..ตายดีกว่า กินยาไปหมดแผงแล้วก็นอนเลย ดันไม่ตาย..ลุกขึ้นมาได้อีก คือถ้าพวกเราตั้งใจปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่ง พอก้าวเข้าสู่จุดที่เรียกว่า โคตรภูญาณ เอาแค่โคตรภูญาณของความเป็นพระโสดาบันก็พอ ความมั่นคงในพระรัตนตรัยของเรานี่ ประเภทด่าก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนี เชื่อมั่นสุดจิตสุดใจจริง ๆ
ถ้าเรายึดความดีส่วนนี้เอาไว้ ความชั่วส่วนอื่นก็เข้ามาไม่ได้ อารมณ์ใจของเราเสวยอารมณ์ คือ การรับรู้อะไรได้ทีละอย่างเท่านั้น ถ้าเราให้ความดีอยู่ในใจของเรา ความชั่วก็เข้ามาไม่ได้ แต่ถ้าเราให้ความชั่วอยู่ในใจของเรา ความดีก็เข้ามาไม่ได้เช่นกัน จึงอยู่ที่เราเลือก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่เราจะมองหาแง่มุมที่มีประโยชน์ได้อย่างไรเท่านั้นเอง ถ้าเรารู้จักเลือก เราก็จะสามารถคัดเอา เลือกเอาสิ่งที่ดี ๆ ออกมาได้ ถ้าเรามีตะกร้าอยู่ใบหนึ่ง เดินไปเจออะไรเราก็เก็บมาหมด เจอสตางค์เก็บสตางค์ใส่ตะกร้า เจอผักเจอหญ้าเก็บใส่ตะกร้า เจอขี้หมูขี้หมาเก็บใส่ตะกร้าหมด ตะกร้าคือตัวเรา ในเมื่อเราเก็บมาขนาดนั้นแล้ว ถึงเวลาเราบอกว่าอยากได้สตางค์อย่างเดียว อยากได้เงินได้ทองอย่างเดียว โดยอย่างอื่นไม่เอาก็ไม่ได้ เพราะเราเก็บมาเต็มตะกร้าแล้ว สำคัญตรงที่ว่าเราสามารถที่จะเอาของในตะกร้านั้น ไปดัดแปลงใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร มีเงินมีทอง ถ้ามีมากก็ฝากธนาคาร มีไม่มากขนาดนั้นก็ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเกี่ยวกับปัจจัย ๔ ต่าง ๆ มีผักมีหญ้าอันไหนสามารถจะดัดแปลงเป็นอาหารได้ก็ทำไป ขี้หมูขี้หมาก็เอาไปทำเป็นปุ๋ยได้ ต้นไม้ก็งอกงาม สำคัญว่าเราเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ถ้าเราใช้ประโยชน์เป็น สิ่งที่ไม่ดีก็กลายเป็นสิ่งที่ดีได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2015 เมื่อ 11:28 |
สมาชิก 95 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
![]()
ขณะที่เรากำลังฟุ้งซ่านอย่างเต็มที่ เอาไม่อยู่แล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ให้เราตามดู เหมือนกับม้าพยศแหกคอกไปแล้ว อย่างไรก็รั้งไว้ไม่อยู่ ให้ใช้วิธีกอดคอไปด้วยกันเลย ถ้าหากว่าเหนื่อยเมื่อไร เราค่อยรั้งม้ากลับมา ขณะที่ใจเราฟุ้งซ่านจนถึงที่สุด อกุศลเกิดขึ้นเต็มหัวใจเราเลย แต่ว่าเราสามารถเอาอกุศลมาสร้างกุศลได้ คือกำหนดสติขึ้นมา สติคือตัวมหากุศล เกิดขึ้นในจิตของเรา คือตามดูว่าเราจะคิด จะพูด จะทำเรื่องชั่ว ๆ เหล่านั้นไปได้สักขนาดไหน
ในเมื่อเราสร้างสติเกิดขึ้นได้ ตัวกุศลก็เกิดขึ้นทันที มหากุศลเกิดขึ้นจากการที่เรามีสติรู้อยู่เฉพาะหน้า รู้ในอารมณ์ปัจจุบัน รู้ว่าตอนนี้อะไรเกิดขึ้นในใจของเรา จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน จิตของเราตอนนี้มีสภาพอย่างไร ? ธัมมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ธัมมารมณ์ คืออารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในใจของเรา ตอนนี้เป็นอย่างไร ? เอาสติกำหนดรู้เอาไว้ เราก็สามารถสร้างกุศลจากอกุศลได้ สร้างความดีจากสิ่งที่ไม่ดีได้ ใครตามไม่ทันยกมือประท้วงได้นะ บางอย่างพูดแล้วก็รู้สึกว่าสูงเกินไป เดี๋ยวจะลากต่ำลงมาให้ ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราเลือกเป็น เราใช้เป็น เราสามารถสร้างความดีขึ้นมาได้ทุกสถานการณ์ สำคัญที่สุดต้องเป็นอารมณ์ปัจจุบัน ต้องตอนนี้เดี๋ยวนี้เท่านั้น เราจะไปพระนิพพาน อดีตไปไม่ได้หรอก เพราะเลยมาแล้ว ถ้าไปได้ไม่มานั่งอยู่อย่างนี้หรอก อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ขบวนรถไฟที่ยังมาไม่ถึง เรายังขึ้นไม่ได้ ต้องปัจจุบัน ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้น..การที่เราจะรักษาอารมณ์ของเราให้อยู่กับปัจจุบันที่ดีที่สุดก็คือ อยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับพุทโธของเรา อยู่กับนะมะพะธะของเรา แล้วแต่ถนัดแบบไหน บางคนก็จับภาพพระเป็นปกติ เกาะพระเป็นปกติ อย่างไรเสียพระก็อยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าของเรา ไม่ได้ไปไหนหรอก แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งสัก ๒๐-๓๐ เปอร์เซ็นต์ จับภาพพระเอาไว้ อีก ๖๐-๗๐ เปอร์เซ็นต์ ทำหน้าที่ของเราไป เราก็จะเป็นผู้มีสติอยู่ตลอดเวลา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2015 เมื่อ 11:30 |
สมาชิก 98 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
![]()
อย่าลืมนะ..เมื่อครู่บอกว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ถ้ามีสติทรงตัว สมาธิก็ตั้งมั่นได้ง่าย สมาธิตั้งมั่น ปัญญาก็เกิด ปัญญาเกิดก็จะไปคุมสติอีกทีหนึ่ง จะวิ่งไล่ตามกันไป เหมือนอย่างกับเราหมุนเกลียวของน็อต หรือว่าหมุนเกลียวตะปู ถึงเวลาหมุนไปเรื่อย ๆ ก็จะสุดลงไปเอง เพียงแต่ต้องทำให้ต่อเนื่อง
ปัจจุบันพวกเราที่ทำแล้วไม่ค่อยไปไหน เพราะว่าทำแล้วทิ้ง ลุกแล้วเลิก ต้องลุกไปแล้วรักษาอารมณ์ที่เราทำได้ ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด เรานั่งสมาธิ แหม..ผ่องใสเหลือเกิน สุขเยือกเย็นใจอย่างบอกไม่ถูก แต่พอลุกแล้วเลิกเลย ไปด่าเขาปาว ๆ แบบนั้นใช้ไม่ได้ ทำอย่างไรเราจะประคับประคองความมีสติ ความสุข ความเย็นกายเย็นใจนั้น ให้อยู่กับเราได้นานที่สุด ? ตอนนี้เราเป็นผู้ทวนกระแสโลก ถ้าเราทวนกระแสมาถึงตอนนี้แล้วเราปล่อย ก็จะลอยตามกระแสไป เหมือนกับคนว่ายทวนน้ำ พอรามือก็ลอยตามน้ำไป แล้วเราก็ว่ายใหม่ ถ้าหากเราปล่อยไปวันหนึ่ง ว่ายใหม่หนึ่งวัน อย่างเก่งก็มาได้แค่เดิม ถ้าเหนื่อยมาก ๆ ว่ายหลาย ๆ เที่ยวก็ได้ไม่เท่าเดิม กลายเป็นว่าไม่ได้อะไรเพิ่มเลย ขยันทำงานทุกวัน แต่ผลงานไม่มี แล้วเราก็จะท้อ พอเราท้อเดี๋ยวก็พาเราถอย ถอยเมื่อไรก็ห่างความดีเมื่อนั้น นอกจากรักษาอารมณ์ให้อยู่กับปัจจุบันแล้ว เรายังต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องตามกันทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าเราทำถึงจริง ๆ แม้แต่หลับอยู่เราก็ทำได้ สติ สมาธิ ปัญญา จะดำเนินหน้าที่อยู่ตลอด หลับอยู่ก็เหมือนกับตื่น จะรู้ตัวอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นแล้วเราเองสามารถระวังป้องกันได้แต่ตอนตื่นเท่านั้น พอหลับเมื่อไร เดี๋ยวกิเลสก็ตีเราในความฝัน เพราะฉะนั้นเราจึงต้องคอยวัดตัวของเราเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2015 เมื่อ 09:18 |
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
![]()
เวลาฝันมีโอกาสที่จะละเมิดศีล เราละเมิดไหม ? มีโอกาสที่จะทำความดี เราทำไหม ? เพราะว่าในฝันนั้นจะเป็นอารมณ์ที่แท้จริงของเรา ไม่สามารถที่จะปรุงแต่งได้ บอกสภาพจิตที่แท้จริงว่าเรามีต้นทุนแค่ไหน ถ้าเราสามารถรักษาสมาธิของเราให้ทรงตัว หลับกับตื่นมีอารมณ์ใจเท่ากัน สติ สมาธิ ปัญญา ดำเนินไปในการตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ต่อเนื่องตามกันไปเรื่อย ความก้าวหน้าถึงจะมี ที่ท่านบอกว่าพุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หลับอยู่ก็เหมือนตื่น สติเท่ากับตื่นอยู่ทุกอย่าง กิเลสเข้ามาตอนไหนก็รู้ ไม่อย่างนั้นแล้ว เวลากลางวันรักษาศีลไว้อย่างดีเยี่ยม เพราะเราตื่นอยู่ แต่กลางคืนฝันว่าฆ่าเขาตายเป็นกองทัพเลย กำลังใจแบบนั้นยังห่วยแตก..ใช้ไม่ได้
เมื่อเรารักษาอารมณ์ใจให้ตั้งมั่นเฉพาะหน้าอยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน มีการปฏิบัติต่อเนื่องตามกันทุกลมหายใจเข้าออก ก็อย่าเพิ่งคิดว่าจะรอด เพราะมารเขาเก่ง สังเกตดู..พอพวกเรากำลังดีทุกครั้งก็จะพัง กำลังเริ่ม..เออ..วันนี้เราได้อะไรเยอะมากเลย พักเดียวเท่านั้นแหละ พังไม่เป็นท่าเลย เหมือนกับเราเดินไปที่ประตู ถึงประตูแล้ว แค่เอื้อมมือจับลูกบิดเปิดประตู เราก็จะก้าวพ้นไปแล้ว แต่เขารักเรามาก เขาไม่อยากให้เราไป เขาจะหาวิธีใดวิธีหนึ่ง มาหลอกให้เราหลงทางจากประตูนั้นเสีย ไปรับอารมณ์อื่น ๆ เข้ามาแทน กลายเป็นรัก โลภ โกรธ หลง เดินถึงประตูแล้วก็เลี้ยวซ้ายบ้าง เลี้ยวขวาบ้าง เลาะข้างกำแพงต่อไป ไม่ยอมเปิดประตูสักที เพราะว่าเราขาดธัมมวิจยะ ตัวนี้อยู่ในโพชฌงค์ ๗ ธัมมวิจยะ การแยกแยะในธรรม เราไม่รู้จักวิเคราะห์ว่า ผลนี้ที่เกิดขึ้นแล้วดี เกิดจากเหตุอะไร ? ผลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ดี เกิดจากเหตุอะไร ? แล้วเราก็เลือกทำเหตุที่ดี เพื่อให้ผลที่ดีเกิดต่อเนื่อง ละเหตุที่ไม่ดี เพื่อไม่ให้ผลที่ไม่ดีเกิด ถ้าเราทำอย่างนี้จะมีความก้าวหน้า แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็จะถอยหลัง ขอยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนมาเป็นไปตามนั้นทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงสอนเรามา พิสูจน์ได้ทั้งหมด ขอให้ทำให้จริง ทำให้ถึงเท่านั้นเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2015 เมื่อ 09:21 |
สมาชิก 80 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
![]()
เราต้องใช้ความพยายามมากกว่านี้ ทุกวันนี้เราจะคิดว่าตัวเองขยันยังไม่ได้หรอก วันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง เราทรงความดีไว้ในใจได้กี่ชั่วโมง ? ถามตัวเองแค่นี้ก็รู้แล้ว ถ้าเราทรงความดีเอาไว้ได้ ๖ ชั่วโมง อีก ๑๘ ชั่วโมงเป็นอย่างไร ? ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง จะขาดทุนอยู่ตลอด หา ๖ ชั่วโมง กิน ๑๘ ชั่วโมงนี่ไม่พอ ทำอย่างไรจะได้เรามีความขยันขนาดที่ว่า ทุกวินาทีของเรา ให้สติสมาธิของเราทรงตัวอยู่เฉพาะหน้า มองทุกอย่างให้เห็นตามความเป็นจริง ว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา
วันนี้มาจะฝากการบ้านได้แค่นี้แหละ บอกแล้วไม่ได้มาแก้ตัวให้ใคร แล้วก็ไม่ได้มารับรองใคร แต่จะมาบอกว่าสมัยก่อนเรื่องอย่างนี้เกิดแล้ว แล้วอาตมาวิเคราะห์วิจัยอย่างไร ? แล้วทำอย่างไรถึงมาอยู่ในจุดปัจจุบันนี้ ? แต่ละคนแนวการปฏิบัติใกล้เคียงกัน ก็ไปกันได้ ถ้าไม่ใกล้เคียงกัน เราก็ต้องเสาะหาแนวทางของเราเองพระพุทธเจ้าสอนไว้ ๘๔,๐๐๐ หนทางด้วยกัน เราชอบตรงจุดไหนเราทำไป หลวงพ่อวัดท่าซุงเราสอนไว้หมดแล้ว ใช้คู่มือปฏิบัติกรรมฐาน หรือกรรมฐาน ๔๐ เป็นหลัก ประกอบด้วยมหาสติปัฏฐานสูตรอีกเล่มหนึ่ง หรือว่าธรรมปกิณกะก็ได้ ชอบตรงจุดไหนให้ศึกษาไป แล้วทำให้ถึงจริง ๆ ส่วนใหญ่ก็ไปทำ ๆ ทิ้ง ๆ พอใครบอกตรงไหนดีก็ขยับไปทำตรงนั้น ตรงนั้นดีก็ขยับไปตรงนั้น ของเดิมยังทำไม่ได้ แล้วของใหม่จะไปดีได้อย่างไร? อาตมาเคยเปรียบว่าเหมือนกับขุดบ่อจะเอาน้ำ ขุดลงไปได้วาสองวา เขาบอกตรงโน้นดีกว่าก็ทิ้งไปขุดใหม่ ขุดไปได้สัก ๓ ศอก หรือไม่ถึง ๔ ศอก เขาบอกตรงโน้นดี เราย้ายไปขุดอีกแล้ว แล้วเมื่อไรจะได้น้ำไว้ใช้สักที ? ต้องปักใจแน่วแน่มั่นคง รักเดียวใจเดียว เราทำกรรมฐานกองนี้คือกองนี้ เอาให้ถึงที่สุดไปเลย แล้วที่เหลือเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าหากเราทำไม่ถึงที่สุด ก็จะยากทั้งหมด ใช้เวลาของพวกเรามาเยอะแล้ว คงจะขอยุติลงแค่นี้ก่อน เพราะว่าร่างกายไม่ค่อยไหว คอก็เจ็บ เพดานปากเจ็บหมดเลย ปัจจุบันนี้อยู่ได้ด้วยยา ก็บอกแล้วว่าเมื่อคืนตั้งใจว่าจะไม่อยู่แล้ว ท่านสมปองกลัวว่าอาตมาไปแล้วภาระของท่านจะเยอะขึ้น จึงไปกระตุกหางเอาไว้ก่อน หางยาวเกินไปเขาจับได้เลยยุ่ง ก็ฝากพวกเราไว้แค่นี้ก่อนแล้วกันนะ มีกิจกรรมอะไรของพวกเราก็ทำต่อไป (มีต่อ) ---------------------------- พระครูวิลาศกาญจนธรรม บรรยายธรรม ณ บ้านตลิ่งชัน ๐๑ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (ถอดเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 06-07-2015 เมื่อ 16:03 |
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|