#1
|
||||
|
||||
![]()
ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่ถนัดและสบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น พุทโธ นะมะพะธะ สัมมาอรหัง พองหนอ-ยุบหนอ ตลอดจนตัวบทพระคาถาใด ๆ ที่เราเคยใช้จนกระทั่งขึ้นใจแล้ว ให้ใช้คำภาวนาเดิม เพราะว่าการเปลี่ยนคำภาวนาบ่อย ๆ สภาพจิตไม่เคยชิน ก็จะทำให้สมาธิทรงตัวได้ยาก
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ เมื่อครู่นี้ที่ได้ปรารภกันถึงในเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ถ้าท่านทั้งหลายปฏิบัติไปแล้ว หมั่นพินิจพิจารณาให้เห็นสภาพความเป็นจริงของร่างกาย อย่างที่บอกกล่าววิธีการไปแล้วตั้งแต่วันก่อนโน้น จนกระทั่งเห็นว่าสภาพร่างกายนี้จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา สักแต่ว่าประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราได้อาศัยอยู่ชั่วคราว ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพลาดจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น ดังนั้น..ในเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บนั้น ก็คือทุกข์ของการเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งมีปกติธรรมดาเกิดขึ้นกับร่างกายนี้ ในเมื่อธรรมดาของร่างกายเป็นเช่นนี้ ถ้าหากว่า สติ สมาธิ ปัญญา ของเราสมบูรณ์พร้อม สภาพจิตก็จะยอมรับ ว่าธรรมดาของร่างกายเป็นเช่นนี้ ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ก็รักษาไปตามหน้าที่ โดยที่จิตใจไม่ได้ไปดิ้นรนกระวนกระวายอยู่กับอาการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ๆ ถ้าบางท่านกระทำไป จนถึงขนาดไม่เห็นความดีของร่างกายนี้เลย มีสภาพจิตจดจ่อแน่วแน่อยู่กับพระนิพพานแห่งเดียว อาจจะมีความยินดีเสียด้วยซ้ำไป ที่ร่างกายเจ็บได้ป่วยขึ้นมา เพราะว่า อันดับแรก..ได้เห็นทุกข์อย่างชัดเจน ว่าร่างกายของเรานี้มีแต่ความทุกข์จริง ๆ อันดับที่สอง..ได้เห็นธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า สภาพร่างกายของเราเกิดมาต้องเป็นเช่นนี้ และลำดับสุดท้าย...ถ้าอาการเจ็บไข้ได้ป่วยมีมากจนร่างกายทนไม่ไหว แตกดับลงไป เจ้าของร่างก็จะได้ไปอยู่ที่พระนิพพานตามที่ตนเองต้องการ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2014 เมื่อ 01:53 |
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะเห็นว่าเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บนั้นไม่มีอะไรน่ากลัว หากแต่กำลังสำแดงในสิ่งที่เป็นความจริงแท้ เป็นสัจธรรม ก็คือความจริงที่อยู่คู่กับร่างกายนี้ ตามที่องค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า พยาธิปิ ทุกขา การเกิดมามีร่างกายนี้ มีความทุกข์จากการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา พยาธิง อนตีโต เราไม่สามารถที่จะล่วงพ้นความป่วยไข้นี้ไปได้
ดังนั้น..เมื่อเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา รักษาได้ก็รักษาไปตามหน้าที่ รักษาไม่ได้จะตายจะพังลงไปก็ไม่ได้ไปหวั่นไหว ไม่ได้ไปเศร้าหมองอยู่กับอาการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องพิจารณาย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าสัญญา คือความรู้ได้หมายจำของเรานั้น กลายเป็นปัญญา คือสภาพจิตที่เห็นแจ้งตามความเป็นจริง แล้วยอมรับว่าธรรมดาของการเกิดมามีร่างกายนี้ ย่อมมีการเจ็บไข้ได้ป่วยเช่นนี้เป็นธรรมดา ในเมื่อมีความเป็นธรรมดาเช่นนี้ เราก็ยอมรับสภาพไปตามปกติที่มี ที่เป็น สภาพจิตก็จะไม่ไปดิ้นรน ไม่ไปกลัดกลุ้ม หากแต่ว่าเกิดปีติรื่นเริง ที่ได้เห็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้เห็นความทุกข์อย่างชัดเจน ที่ได้เห็นสภาพร่างกายนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้ อีกไม่นานเราก็จะได้ก้าวพ้นจากไปแล้ว ถ้าท่านทั้งหลายกระทำอารมณ์ใจดังนี้ได้แล้ว ก็เอาจิตเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าเกาะพระนิพพานของเราไว้ แล้วภาวนาของเราต่อไป ลำดับนี้ก็ให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี วันอาทิตย์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-08-2014 เมื่อ 15:31 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|