รุกอำพรางถอย
ค่อย ๆ ไป ถอยอย่าให้คนรู้ เขาเรียกว่า รุกอำพรางถอย ลักษณะเหมือนอย่างกับบุกไปข้างหน้าตลอดเวลา แต่นั่นเป็นเพียงเปลือกที่ให้คนอื่นรู้ ตัวเราเองค่อย ๆ ถอยมาตามจังหวะ ตามวาระ ต้องเตรียมการอย่างไรค่อย ๆ ทำไป ไม่ต้องไปกระโตกกระตากให้ใครรู้ อยู่ ๆ ก็หายวับไปกับตา
สมัยที่อาตมาบวชก็ทำอย่างนี้แหละ คนอื่นเขาก็ยังคิดว่าอาตมาไม่รอดแน่เลย ไปไหนก็มีน้องมีนุ่งตามไปเป็นกระตั้ก ๘ คน ๑๐ คนอย่างนี้ จะบวชกันได้อย่างไร แต่อาตมาก็ทำได้
ภาระทางโลกรังแต่จะดึงเราให้จมอยู่ ภาระทางใจก็เลยไม่รู้จักจบสิ้นสักที เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าไปถึงจุด ๆ หนึ่ง รู้สึกว่าพอแล้วก็ไปได้เลย ตอนช่วงที่อาตมาเป็นฆราวาสอยู่ อาจจะเป็นไปได้ว่าสิ่งที่ทำถือว่าประสบความสำเร็จ จังหวะทุกอย่างลงตัวพอดี พ่อก็ได้ดูแล แม่ก็ได้ดูแล น้องก็ได้ส่งให้เรียน หลานก็ได้ส่งให้เรียน หน้าที่การงานก็ถือว่าประสบความสำเร็จสูงสุดแล้ว ขณะที่คนอื่นเขาตะเกียกตะกายแทบตาย เขายังทำตรงจุดนั้นไม่ได้ แต่อาตมาได้มาแล้ว เอ้า..พอ...เข้าวัดดีกว่า
แต่ถ้าหากอยู่ ๆ เลี้ยวเข้าไปเฉย ๆ ก็อาจจะอยู่ลักษณะโลกช้ำธรรมเสีย ในเมื่ออยู่ลักษณะนั้นเราก็ต้องรอระยะ รอจังหวะเวลาเหมือนกัน จิตใจมุ่งมั่นต่อเป้าหมายอย่าให้เบี่ยงเบนไปเพราะว่ากระแสโลกแรง บางครั้งดึงเราอยู่กับที่ยังไม่พอ ยังดึงเราลอยตามไปอีกด้วย ฉะนั้น...ต้องหาจังหวะ หาเวลาที่ดีที่สุด ช่วงนั้นจังหวะและเวลาที่ดีที่สุดก็คือ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถามว่าจะบวชให้ท่านได้ไหม ? ก็พอเหมาะพอดี อ้างกับเขาได้เต็มปากเต็มคำ ....ไปดีกว่า ไหน ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็ชวนแล้ว โอกาสอย่างนี้ทั้งชาติไม่รู้ว่าจะมีอีกหรือเปล่า ? รอจังหวะ รอเวลา รอเหมือนอย่างกับนกที่รอจังหวะบินออกจากกรง เมื่อไรจะได้ช่องเสียที ได้จังหวะ ได้ช่องเมื่อไรก็สบายเมื่อนั้น
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-04-2012 เมื่อ 02:50
|