#1
|
||||
|
||||
![]()
ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตัวเองจ้ะ ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามหายใจออกมา หายใจเข้า..ผ่านจมูก..ผ่านกึ่งกลางอก..ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออก..จากท้อง ผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามแต่เราเคยถนัดมา จะเป็นพุทโธ สัมมาอะระหัง นะมะพะธะ พองหนอ ยุบหนอ หรือตัวบทคาถาใด ๆ ก็ได้ ที่เรามีความถนัดและชอบใจ
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นการปฏิบัติธรรมของต้นเดือนกุมภาพันธ์วันที่สอง ในการปฏิบัติธรรมของพวกเรานั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยอานาปานสติคือลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก เพราะว่าอานาปานสติเป็นพื้นฐานของกรรมฐานทั้งปวง กรรมฐานทั้ง ๔๐ กองถ้าไม่มีอานาปานสติเป็นหลักก็ไม่สามารถที่จะทรงตัวตั้งมั่น และมีกำลังเพียงพอที่จะตัดกิเลสได้ ดังนั้น..การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น แม้ว่าหลายต่อหลายคนจะไม่เคยชิน ก็ต้องพยายามที่จะตามดูตามรู้ลมหายใจของเราให้ได้ อย่างที่เมื่อวานได้กล่าวไปแล้วว่า พอเราภาวนาไปเรื่อย ๆ กำลังใจก็จะทรงตัวมั่นคงมากขึ้นไปในแต่ละระดับของกำลังใจ จนกระทั่งเข้าถึงที่สุดก็คือฌาน ๔ ไปเอง แล้วเราก็นำเอากำลังสมาธินั้น มาใช้ในการพิจารณาตัดกิเลส เรื่องนี้ได้กล่าวไปแล้ว วันนี้ที่จะกล่าวถึงนั้นก็คือจริยาเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายอย่างหลายประการ บางทีเราก็ไม่รู้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความไม่เคารพ เป็นการปรามาสพระรัตนตรัย เป็นต้น อย่างเช่นว่าการนั่ง แม้ว่าเราจะถนัดนั่งขัดสมาธิก็ตาม แต่ถ้าในระหว่างที่ฟังธรรม หรือว่าสอบถามธรรมะ สนทนาปัญหาธรรมะ ควรที่จะนั่งพับเพียบ เพื่อแสดงออกถึงความเคารพในธรรม ถ้าหากว่าเราเห็นว่าไม่จำเป็น ก็แปลว่าสภาพจิตของเรายังหยาบเกินไป จนกระทั่งไม่เห็นว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นเป็นโทษ ถ้าเป็นเช่นนั้นโอกาสที่เราจะเข้าถึงธรรมก็ยาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2012 เมื่อ 16:22 |
สมาชิก 82 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
ในเรื่องของการประนมมือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไหว้พระ กราบพระ รับศีลก็ตาม ให้ประนมมืออย่างเป็นทางการสักนิดหนึ่ง ถ้าหากว่าตามที่อาตมาเรียนมา ท่านบอกว่าให้ประนมมือยกชิดหน้าอก ปลายมือหันขึ้นประมาณ ๘๐ องศา ถ้าหากว่าต้องการที่จะให้มือที่ประนมอยู่ดูเหมือนดอกบัวตูม ก็ให้เอาหัวแม่มือทั้งสองยัดใส่เข้าไปในฝ่ามือของตน ถ่างกว้างออกไปประมาณเท่าไร ก็ให้กะระยะนั้นเอาไว้แล้วยกหัวแม่มือออกมาแนบชิดกับนิ้วชี้ ก็จะได้การประนมมือที่สวยงามน่าดู
แต่ว่าส่วนหนึ่งการประนมมือของเราเหมือนกับขาดความเคารพ สักแต่ว่าทำไปเท่านั้น บางท่านก็เอามือที่ประนมค้ำคาง บางท่านก็ประนมมือในลักษณะสักแต่ว่าประนมมือ แทบจะออกไปในลักษณะเจ๊กไหว้เจ้าก็มี บางท่านเอานิ้วมือประสานกันในลักษณะเหมือนกับหางปลาก็มี บางท่านประนมมือแต่ปลายมือตกห้อยลงเหมือนกับดอกบัวเหี่ยวก็มี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แสดงให้เห็นชัดว่า สติ สมาธิของเรายังไม่ทรงตัวพอ จึงทำให้มีอาการแปลกประหลาดต่าง ๆ นานาออกไป และขณะเดียวกันความละเอียดของจิตก็มีน้อย จึงทำให้การแสดงออกซึ่งความเคารพในพระรัตนตรัยนั้น ออกมาในลักษณะครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทำเหมือนกับไม่เต็มใจที่จะทำ เป็นต้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้นเป็นแค่ส่วนเล็กน้อยของการปฏิบัติเท่านั้น แต่ว่าส่วนเล็ก ๆ นี้แหละที่จะชี้ให้เห็นว่ากำลังใจที่แท้จริงของเราเป็นอย่างไร ทำให้นึกถึงการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก พระอานนท์บอกต่อสงฆ์ทั้งหลายว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ก่อนที่จะปรินิพพานว่า ในกาลต่อไปข้างหน้า สิกขาบทใดที่เป็นสิกขาบทเล็กน้อย ไม่เหมาะสมกับยุคสมัย หากสงฆ์ทั้งหลายพึงหวัง สามารถที่จะสวดถอนสิกขาบทนั้นได้ ปรากฏว่าพระมหากัสสปะผู้เป็นประธานสงฆ์ในการสังคายนามีมติว่า ให้คงสิกขาบททั้งหลายเหล่านั้นเอาไว้ พระอรหันต์ทั้งหลายอีก ๔๙๙ องค์ที่เข้าร่วมพิธีสังคายนาพระไตรปิฎกก็เห็นด้วย แต่ว่าครูบาอาจารย์รุ่นหลัง ๆ มาถกเถียงกันว่า สิกขาบทเล็กน้อยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้านั้นคืออะไร ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2012 เมื่อ 02:40 |
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
บางท่านก็ว่า นอกจากอาบัติปาราชิก ๔ ข้อแล้ว ที่เหลือเป็นสิกขาบทเล็กน้อยทั้งหมด บ้างว่านอกจากอาบัติปาราชิก ๔ ข้อและอาบัติสังฆาทิเสส ๑๓ ข้อแล้ว ที่เหลือจัดว่าเป็นอาบัติเล็กน้อยทั้งหมด บางท่านก็บอกว่าเสขิยวัตร ๗๕ ข้อและอาบัติทุกกฎจัดเป็นอาบัติเล็กน้อย เป็นต้น
ถกเถียงกันมาจนไม่สามารถตกลงปลงใจกันได้ว่า อาบัติเล็กน้อยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคืออะไร ? และพลอยสงสัยไปว่า ทำไมพระมหาเถระที่เริ่มการสังคายนาพระไตรปิฎก จึงไม่กำหนดลงไปให้ชัดเจนว่าอาบัติเล็กน้อยคืออะไร ? ตรงจุดนี้แหละที่อยากจะชี้ให้ญาติโยมทั้งหลายได้เห็นว่า ในความรู้สึกของพระอรหันต์นั้น ด้วยความที่เคารพในพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างสุดจิตสุดใจ และความละเอียดในสภาพจิตของทุก ๆ องค์ ทำให้เห็นชัดเจนว่า อาบัติทุกอย่างไม่มีอะไรเล็กน้อย อาบัติแม้จะเล็กน้อยเพียงไหนก็ตาม อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ล่วงละเมิดอาบัติที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นได้ ดังนั้น..ในความรู้สึกของพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูปที่มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน จึงไม่มีอาบัติสิ่งใดเล็กน้อย ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นพุทธบัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้กล่าวตรงนี้ก็เพื่อที่จะเชื่อมโยงไปว่า จริยาเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพวกเราที่แสดงออกด้วยการขาดความเคารพในพระรัตนตรัยนั้น จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าเราไปยังสถานที่อื่นที่เขาถือสาในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เขาก็จะว่ากล่าวติเตียนมาถึงครูบาอาจารย์ได้ ตลอดจนกระทั่งติเตียนตัวผู้ปฏิบัติได้ว่า ขาดการอบรม ขาดการศึกษามา ก็จะกลายเป็นทุกข์เป็นโทษแก่บุคคลอื่นเขาขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง และโดยเฉพาะว่า ถ้าเรายังเห็นว่าการกระทำทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ก็แปลว่าความหยาบของจิตของเรามีอยู่มาก เมื่อความหยาบของจิตเรามีอยู่มาก โอกาสที่จะเข้าถึงธรรมก็น้อย พูดง่าย ๆ ว่าเป็นปฏิภาคผกผันกัน ถ้าจิตหยาบมากโอกาสเข้าถึงธรรมก็น้อย ถ้าจิตละเอียดมากโอกาสเข้าถึงธรรมก็มาก เป็นต้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2012 เมื่อ 02:42 |
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ดังนั้นจึงอยากให้พวกเราทุกคน ระมัดระวังการแสดงออกด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ ต่อหน้าพระรัตนตรัย ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี ให้แสดงออกด้วยความเคารพอย่างจริงใจ ระมัดระวังจริยาของตนเองเอาไว้ ว่าเราเองทำอะไรเป็นที่ตำหนิติเตียนจากคนอื่นได้หรือไม่ ? หรือว่าแม้เราระมัดระวังแล้ว บุคคลที่ท่านรู้ สามารถว่ากล่าวติเตียนเราได้หรือไม่ ?
ถ้าเรารู้จักพัฒนาแก้ไขตนเองอย่างนี้ได้ ถึงจะสมกับการเป็นนักปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง เพราะเรามีความละเอียดของกาย ของวาจา ของใจมากขึ้น สามารถนำเอาหลักธรรมทั้งหลายเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นการปฏิบัติธรรมของท่านทั้งหลายก็ถือว่าได้ผล ไม่เป็นหมัน สามารถที่จะก้าวขึ้นไปสู่ภูมิธรรมที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไปตามลำดับได้ ถัดจากนี้ไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจ กำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกของตนเอง ใช้คำภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี วันเสาร์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2012 เมื่อ 02:35 |
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
สามารถรับชมได้ที่
http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2555-02-04 ป.ล. - สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้ - ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด ! |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|