#1
|
|||
|
|||
![]()
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สังขารทั้งหลายนั้นไม่เที่ยง หลวงพ่อสิม พุทธาจาโร (พระครูสันติวรญาณ) ท่านเมตตามาสอนลูกของท่านในอดีตชาติ มีความสำคัญดังนี้ (ลูกของท่านนึกบ่นในใจว่า เรื่องที่สมเด็จองค์ปฐมมาตรัสสอน ๑๒ ข้อนี้ มันเป็นอุปสรรคที่เกิดขึ้นกับตนเร็วเกินไป จนตนเองทำใจหรือตั้งตัวไม่ทัน) หลวงพ่อสิมท่านก็มีเมตตามาสอนว่า ๑. “ช้าเกินไปต่างหาก ถ้าหากเทียบกับความตาย สมมติว่าเอ็งตายในขณะจิตเดียว จะทำใจได้ทันไหม” (ก็ตอบว่า ไม่ทันแน่) (ลูกของท่านเห็นแพโบสถ์น้ำถูกรื้อ เพราะหนีความเสี่อมและตัวอนัตตาไม่พ้น จิตยังอาลัยอยู่) ๒. หลวงพ่อสิมท่านก็สอนว่า “ก็ไม่พ้นนะสิ เอ็งจะมาเกาะติดวิหารหลังนี้อยู่ทำไม มันจะเสื่อมช้า เสื่อมเร็ว มันก็ต้องเสื่อมสลายตัวไปในที่สุด แม้จะติดบุญก็ตามเถอะ แต่ก็เป็นทุกข์ หากไม่ได้บูรณะต่อนี่เป็นบาปนะ จิตมันเกาะทุกข์เป็นความเศร้าหมองของจิตที่มีกิเลส ตายแล้วไปนิพพานได้เมื่อไหร่กัน ต้องกลับมาซ่อมมาสร้างวิหารกันใหม่อีกกี่ภพกี่ชาติไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักปล่อยวาง ก็เพราะมีอารมณ์แบบนี้แหละ” ๓. “จิตอย่างนี้ เป็นอารมณ์อันเดิมที่ผูกพันอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบ มันดีตรงไหน” ๔. “ทำใจเสียใหม่สิ อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมัน เขาให้เราทำเราก็ทำต่อ เขาไม่ให้เราทำเราก็เลิก จะทำหรือไม่ทำก็จงอย่าเอาจิตไปผูกพัน ต้องรู้อยู่ในใจนี้เสมอ จะทำหรือไม่ทำ ไม่ช้าวิหารหลังนี้ก็พังและอนัตตาไปในที่สุด ถ้าหากเขาให้ทำเราก็ทำต่อ ถือว่านี่เป็นเพียงหน้าที่ ถ้าเขาไม่ให้ทำก็ถือว่าหมดหน้าที่ ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่ตลอดเวลา ทำใจให้ระลึกให้ได้อย่างนี้ตลอดเวลา อย่าวางอารมณ์ กำหนดรู้ไว้อย่างนี้ให้ขึ้นใจ” ๕. “โลกนี้ไม่เที่ยง ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ยึดถืออะไรไม่ได้ ยึดเมื่อไหร่เป็นทุกข์เมื่อนั้น จดจำเข้าไว้ แล้วอย่าลืมนึกถึงความตาย อะไรมันจะเร็วเท่าขณะจิตของความตายมาเยือนไม่มี มัวแต่ประมาท ไม่เตรียมตัว เตรียมใจไว้ก่อนมันจะช้าไป เตรียมตัว เตรียมใจไม่ทัน สลัดความยึดถือมั่นเกาะติดในวิหารไม่ทัน จิตเศร้าหมองอยู่อย่างนี้ไปนิพพานได้อย่างไรกัน” ๖. “ไม่รู้สอนกันมาเท่าไหร่ จำกันไม่ค่อยได้ แถมทำไม่ได้อีกต่างหาก อย่างนี้มันน่าจะปล่อยให้เกิดอีกให้เข็ดดีไหม” (ก็ตอบว่า ไม่ดี ไม่เอา) |
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
|||
|
|||
![]()
๗. “ไม่ดี ไม่เอาแล้วทำไมไม่จำ ทำไม่ได้อีกต่างหาก สอนจนครูเหนื่อยเพราะลูกศิษย์ไม่รักดีอยู่นี่ ใช้ไม่ได้ เอาเสียใหม่นะ คิดตรงนี้ให้มาก ๆ ทำความดีแข่งกับความตายเข้าไว้ ตัดเสียให้ได้เรื่องความเศร้าหมองของจิต ต้องคิดให้ได้ คิดให้รู้เท่าทันความเป็นจริง หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย เตือนจิตของตนเองให้ระลึกถึงความไว ความเร็วของความตายตามความเป็นจริงเข้าไว้ มัวแต่ปล่อยอารมณ์ให้จิตเศร้าหมองอยู่อย่างนี้ มันจะหนีความตายไหม อย่าว่าแต่ ๑๐ วันจะร่วม ๒๐ วันที่ผ่านมาเลย การปล่อยให้จิตเศร้าหมองเกินกว่าเสี้ยววินาทีเดียว ก็ประมาทจนเกินไปแล้ว”
๘. “จิตเอ็งเหลวไหลเกินไป กำลังใจมันไม่เข้มแข็งพอ ชอบทิ้งคำภาวนาให้นิวรณ์มันแทรกอยู่เรื่อย ๆ ต้องเอาใหม่รักษากำลังใจให้เข้มแข็ง เอามันให้มั่นคง ทั้งสมถะภาวนาและวิปัสสนาภาวนา สอบจิตให้มั่นคงอยู่ตลอดเวลา ให้กำหนดรู้นิวรณ์แทรกเมื่อไหร่ รู้ตัวก็ตัดทิ้งไป ตั้งต้นภาวนาใหม่เมื่อนั้น เตือนถึงขนาดนี้แล้วจะทำได้หรือไม่ได้ หรือไม่ทำก็ตามใจ” ๙. “อยากพ้นทุกข์ก็ทำตามนี้ ถ้าไม่อยากพ้นทุกข์ก็ไม่ต้องทำ กอดทุกข์ให้มันทุกข์อยู่นั่นแหละ จะได้เกิดใหม่ให้มันทุกข์ต่อไปอีก ทุกข์แล้วทุกข์อีก ทุกข์ไม่รู้จักพอเพราะไม่รู้จักปล่อยวางทุกข์ นี่แหละ เอ็งรู้จุดนี้เข้าไว้ ถ้าวางไม่ได้ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ นี่มันเป็นอารมณ์ติดของจิตดวงเดิม ที่ทำให้เอ็งต้องเกิดมาซ่อมโบสถ์วิหารอยู่นี่แหละ เป็นอารมณ์ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักการปล่อยวาง ต้องต่อสู้กับมัน เรียนรู้และจะต้องแก้ไขอารมณ์นี้ให้ได้ ถ้าแก้ไม่ได้ก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ มาซ่อมโบสถ์วิหารอยู่อย่างนี้ให้พบทุกข์ พบอุปสรรคอยู่อย่างนี้อีก เอาไหม” (ก็ตอบท่านว่า ไม่เอา) ๑๐. “ไม่เอาก็ต้องแก้ไขให้ได้ตามนี้” (ตอบว่า ลูกจะพยายาม) หลวงปู่ตื้อ ท่านก็มาสอนต่อ “เออ เอ็งจะพยายามมากี่หนแล้วว่ะ” ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗ รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|