กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม > ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 11-11-2010, 14:02
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default หมายังมีชีวิตอยู่ มันโมทนาได้หรือ?

หมายังมีชีวิตอยู่ มันโมทนาได้หรือ?

ที่มาหรือต้นเหตุของธรรมจุดนี้เกิดจาก หลวงปู่วัย จัตตาลโย ท่านเตือนแม่ชี ชอ.ช้าง ความว่า

๑. “จงอย่าประมาทในความตาย หมายความว่าขณะนี้ร่างกายมันเจ็บป่วยอยู่ กายมันจะพังเมื่อไหร่ก็ได้ ทำไมจึงไม่เอาจิตเกาะพระธรรม อันเป็นนิพพานสมบัติ

๒. “ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องเห็นว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่มีค่าเหนือยิ่งกว่าพระธรรมหรือนิพพานสมบัติ และนิพพานสมบัตินี้จะไม่เกิดกับผู้มีความประมาทได้เลย”

๓. “อย่าลืม สุดยอดของพระไตรปิฏกก็คือ ความไม่ประมาท ๘๔,๐๐๐ บทที่พระองค์ตรัสสอนไว้ ย่อแล้วเหลือประโยคเดียว คือ จงอย่าประมาทนั่นเอง”

๔. “ผู้ที่ร่วมไปกับแม่ชี ชอ.ช้าง เกิดสงสัยว่า หมาที่ยังมีชีวิตอยู่ มันโมทนาได้หรือ? หลวงปู่ท่านก็สอนว่า “เอ็งนี่มันดูถูกหมาเกินไป อาศัยพุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโณ ทำไมมันจะโมทนาไม่ได้ หมาวัดท่าซุงโมทนาได้อย่างไร หมาวัดหลวงปู่ก็โมทนาได้อย่างนั้น
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 12-11-2010, 08:44
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ในคืนวันนั้น สมเด็จองค์ปฐมก็ทรงพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ ดังนี้

๑. “การที่เจ้าสงสัยว่า สุนัขจักโมทนาผลบุญได้หรือไม่นั้น เท่ากับเจ้าสงสัยในอานุภาพของพุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโณด้วย” (เพื่อนผมก็กราบขอขมาพระองค์ท่าน) แล้วทรงตรัสว่า “อย่างนี้เรียกว่า รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เจ้าดูสภาพกายในของสุนัขตัวนี้สิ” ทรงพระเมตตาให้เห็นภาพเทวดาที่มีเครื่องประดับแพรวพราวทั้งตัว ยืนพนมมือซ้อนภาพสุนัขอยู่

๒. ทรงตรัสว่า “สัตว์เดรัจฉานมิใช่สัตว์ในมหานรก ถ้าหากผู้ทำบุญทำกุศลมีความฉลาด ในการขอพึ่งบารมีพุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโณ เป็นสื่อการอุทิศผลบุญกุศลนั้นให้แก่สัตว์เดรัจฉาน ก็ย่อมทำได้ และมีผลที่สัตว์เดรัจฉานตัวนั้นจักโมทนาได้”

๓. “แม้การสื่อภาษาจิต โดยอาศัยพุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโน โดยผ่านภาษาสมมุติในคนและสัตว์เดรัจฉานก็ย่อมทำได้ เพราะภาษาจิตเป็นภาษาหลัก สื่อจิตถึงจิตได้โดยไม่ติดภาษาสมมุติ และไม่ติดกายสมมุติอันเป็นกฎของกรรมที่จิตแต่ละดวงไปจุติติดอยู่ตามนั้น

๔. “การอาศัยพึ่งบารมีพุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโณ ซึ่งวิมุติแล้ว ธรรมสมมุติก็ไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางได้แต่ประการใด แต่ทุกประการจักต้องไม่พ้น คือ เกินวิสัยกฎของกรรม จึงจักช่วยได้”

๕. “กฎของกรรมนั้นเที่ยงเสมอและให้ผลไม่ผิดตัวด้วย เมื่อพวกเจ้าเข้ามาในเขตพระพุทธศาสนาแล้ว จงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม กฎของกรรมแต่อดีตชาติที่จักส่งผลกระทบร่างกายนี้ มันยังตามมาอีกมาก ไม่ว่าจักเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม กฎของกรรมย่อมเที่ยงอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น จงอย่าประมาทในกรรม อย่าสร้างกรรมใหม่อันเป็นอกุศลให้เกิดทางกาย วาจา ใจ ให้ระมัดระวังจิต อย่าหวั่นไหวในผลของกรรมเก่าที่จักส่งผลสนองมาในปัจจุบัน”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 16-11-2010 เมื่อ 08:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 15-11-2010, 10:25
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๖. “โลกธรรม ๘ ที่เกิดขึ้นแก่จิตของพวกเจ้าได้ เพราะเป็นผลกรรมที่พวกเจ้าล้วนกระทำเอาไว้เอง สิ่งเหล่านี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ หนีอย่างไรก็ไม่พ้น ขอให้พวกเจ้าจงทำใจหรือเตรียมใจเอาไว้เสมอ ให้ยอมรับผลของกฎแห่งกรรมนั้น”

๗. “อย่าโวยวาย มีกรรมอันใดเกิด จงนำมาพิจารณาให้เห็นกรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ทุกอย่างเป็นทุกข์ เพราะการกระทำของเราเองมาแต่อดีตทั้งสิ้น ไม่ว่าทางกาย วาจา ใจ นี่เป็นเหตุให้พวกเจ้าได้เข้าใจถึงอริยสัจให้ลึกซึ้งยิ่ง ๆ ขึ้น โดยอาศัยการไตร่ตรองพิจารณาถึงกฎของกรรมนี้”

๘. “แม้แต่การมีร่างกายก็เป็นผลจากกฎของกรรม ต้นเหตุของกรรมมาจากความทะยานอยาก อยากมีร่างกายโดยอาศัยจิตมีตัณหา ๓ ประการ พวกเจ้าจึงต้องทุกข์เพราะกรรมของร่างกาย คือ ธาตุ ๔ พร่องอยู่เป็นนิจ สร้างความไม่สบายกาย ไม่สบายใจให้แก่จิตที่อาศัยอยู่ตลอดเวลา นี่ก็เป็นอริยสัจ มีทุกข์เพราะการกระทำของจิตที่ติดตัณหา จึงเป็นเหตุให้มีร่างกายที่มีแต่ความทุกข์ คือ ความไม่เที่ยงแฝงเร้นอยู่ตลอดเวลา”

๙. “อยากพ้นไปเสียจากสภาวะกฎแห่งกรรม อยากพ้นทุกข์ของการมีร่างกาย กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ตถาคตเจ้าทั้งหลายตรัสไว้ดีแล้ว ให้กำหนดรู้ถึงเหตุแห่งกรรมนั้น และดับซึ่งต้นเหตุแห่งกรรมนั้น จึงจักพ้นกฏแห่งกรรมนั้นได้”

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:30



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว