|
พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
![]()
สรุปว่าพวกเราที่ถักหมวกถวายพระมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้ ได้แค่สมาธิในส่วนของเจโตวิมุตติเท่านั้น ปัญญาไม่เกิด เหตุที่ปัญญาไม่เกิด เพราะว่าสติของเราไม่พอ พอทุ่มเทไปเรื่องหนึ่ง ก็จะลืมอีกเรื่องหนึ่ง
จริง ๆ แล้ว การทำงานทุกอย่างของพวกเรา ถ้าเอาใจจดจ่ออยู่กับงาน ก็จะเห็นร่างกายที่สักแต่ว่าทำเท่านั้น แต่คราวนี้จิตใจของเราไม่ได้จดจ่อแน่วแน่อยู่ที่สมาธิตรงหน้า บางทีก็คิดไปเรื่องนั้นด้วยเรื่องนี้ด้วย สิ่งนั้นทำให้ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นมา แต่ถ้าหากสมาธิเราจดจ่ออยู่ตรงหน้า ทุกอิริยาบถเรารับรู้ได้อย่างสมบูรณ์ จิตก็จะตั้งอยู่กับอาการปัจจุบันเท่านั้น ไม่ไปปรุงแต่งให้เป็น รัก โลภ โกรธ หลง ตอนนั้นสิ่งที่เราทำก็จะสักแต่ว่าเป็นการกระทำเท่านั้น ไม่เกิดเป็นบุญหรือเกิดเป็นบาป ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้ตลอดเวลาก็รอดตัวไปเลย ไม่ต้องเกิดใหม่แล้ว ทีนี้พวกเราตะกายตั้งหลายวันไปไม่ถึงสักที พยายามอีกนิดหนึ่ง เพิ่มสติขึ้นมาหน่อย ถ้ารับรู้อยู่กับอาการปัจจุบัน อาการเคลื่อนไหวอย่างไร จะล้วง จะควัก จะม้วนอย่างไร ก็รู้อยู่ตลอดโดยไม่ไปไหน จิตก็จะปรุงแต่งไม่ทัน เพราะว่ามาเต็มอยู่กับอาการตรงหน้าเสียแล้ว ตรงนี้แหละที่เป็นวิปัสสนาญาณจริง ๆ ก็คือ รู้เท่าทันในปัจจุบันอยู่ทุกขณะ สิ่งที่ทำก็เลยไม่เกิดกรรม ก็คือผลของการกระไม่เกิด สักแต่เป็นการกระทำเฉย ๆ ดีก็ไม่ดี ชั่วก็ไม่ชั่ว ถาม : แล้วเป็นวิปัสสนาญาณตรงไหนครับ ? ตอบ : ก็เป็นตรงที่รู้เท่าทันปัจจุบันอยู่ทุกขณะ ไม่ไปครุ่นคิดในอดีตและไม่ไปฟุ้งซ่านอยู่ในอนาคต วิปัสสนา แปลว่า รู้แจ้งอย่างยิ่ง ส่วนที่รู้แจ้งอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรรู้เกินกว่าการทำอย่างไรที่จะละวางทั้งดีทั้งชั่วได้ แรก ๆ คนเราส่วนใหญ่ก็จะติดดีก่อน แต่ว่าท้ายสุดจริง ๆ แม้แต่ดีก็ติดไม่ได้ เพราะถ้าติดก็ไปไหนไม่ได้ ตอนนี้อย่าเพิ่งทำข้ามขั้น เอาแค่ว่าดีเราต้องทำ ชั่วเราต้องละ แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไปก่อน ถ้ากำลังถึงจริง ๆ จะรู้เอง ว่าเวลาที่เราทำดีนั้น เราทำสักแต่ว่าทำเท่านั้น เพราะเรารู้ว่าสิ่งนี้ดี แล้วเวลาเราละชั่ว เราก็สักแต่ว่าละเท่านั้นเพราะรู้ว่าสิ่งนั้นชั่ว ใจเราไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว แต่ว่าที่ทำดีเว้นชั่ว เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรมชาติ เป็นส่วนที่จะส่งเสริมให้เราหลุดพ้นได้ ถาม : ถ้าอย่างนั้นการที่เรารักษาศีล เพราะเรารู้ว่าสิ่งนั้นไม่ดี แต่พอเราทำไม่ดี จิตใจเราก็คิดว่าเราทำไม่ถูก ก็แสดงว่าอารมณ์ใจวางไม่ถูกหรือครับ ? ตอบ : ก็แปลว่าหมองแล้ว ที่วางไม่ถูกก็เพราะว่าจิตเกิดการปรุงแต่งขึ้นแล้ว ถ้าหากว่าทำโดยปราศจากการปรุงแต่ง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงก็สักแต่ว่าเป็นอาการเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2014 เมื่อ 12:47 |
สมาชิก 121 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : หลวงพ่อครับ..แล้วอาการกับอารมณ์ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : อาการเป็นแค่การกระทำ ไม่มีอารมณ์ ถาม : มีการกระทำหรือเปล่าครับ ? ตอบ : มีการกระทำเหมือนกัน แต่อย่างหนึ่งกระทำด้วยใจที่มี รัก โลภ โกรธ หลง อีกอย่างหนึ่งไม่มีกำลังใจไปประกอบด้วย อย่างกินก็สักแต่ว่ากิน แต่ถ้าทั่ว ๆ ไป กินแล้วต้องอร่อย ถ้าอร่อยแล้วกูชอบ ถ้าไม่อร่อยกูก็ไม่ชอบ ก็คือ อย่างหนึ่งนั้นปรุงแต่งไปหา รัก โลภ โกรธ หลง ตลอดเวลา อีกอย่างสักแต่ว่าทำให้จบไปเท่านั้นเอง ถาม : ถ้าเราทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็แสดงว่าเป็นอารมณ์ที่ไม่เป็นกลาง ? ตอบ : ยังไม่เป็น แต่ว่าเราต้องกดเอาไว้ ถ้าไม่กดเอาไว้เราก็ยังไปยินดียินร้ายเป็นปกติ แต่ก็ยังจัดว่าเป็นวิขัมภนวิมุตติ หลุดพ้นด้วยการใช้กำลังใจข่มไว้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2014 เมื่อ 12:48 |
สมาชิก 112 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : การที่เราจะกระทำเพราะเราคิดว่าเป็นความดีอยู่ ดังนั้นการที่เราจะกระทำก็เท่ากับว่า..?
ตอบ : ถ้าหากว่าไปถึงระดับนั้นแล้ว ท่านทำเพราะมีโอกาสทำ ถ้าไม่มีโอกาสทำท่านก็ไม่ไปดิ้นรนทำ มีหลวงปู่บางรูป ท่านเทศน์สูง พวกเราอาจจะตามไม่ทัน อย่างเช่นว่า พวกเราเห็นว่าสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทานนั้นเป็นสิ่งที่ดี ชักชวนกันสร้างโบสถ์ แต่หลวงปู่องค์นั้นท่านบอกว่าคนเราถ้าจะเอาดี จะมาติดอะไรอยู่แค่เรื่องอย่างนี้ ถ้าเราฟังแล้วไม่เข้าใจอาจจะโกรธหรือขัดท่านไปเลย แต่ความจริงท่านอยากจะบอกให้เรารู้ว่า นั่นเป็นแค่ระดับทาน ยังมีศีลที่สูงกว่านั้น มีระดับภาวนาที่สูงกว่านั้น ต่อให้เป็นวิหารทาน หรือธรรมทาน ก็ยังอยู่ในระดับของทานเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2014 เมื่อ 12:49 |
สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : แล้วทำแต่อาการเขาจะได้บุญไหม ?
ตอบ : ถ้าหากถึงระดับนั้นแล้ว บุญก็ไม่เกิดแล้ว เหมือนกับน้ำล้นแก้ว เติมไปเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์ ถาม : คือ บารมีท่านเต็ม ? ตอบ : ใช่ แต่ด้วยความไม่ประมาทท่านก็ทำไปเรื่อย ๆ ถาม : คือยังทำดีละชั่วไปด้วย ? ตอบ : ทำดีละชั่วไปเรื่อย ทำดีเพราะรู้ว่าดีจึงทำ ละชั่วเพราะรู้ว่าชั่วจึงละ แต่ว่าไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ถาม : เขาทำบางโอกาสเท่านั้น ไม่ได้ทำมากมายหรือคะ ? ตอบ : มีโอกาสก็ทำ ไม่มีโอกาสก็แล้วไป แต่พอไปถึงระดับนั้นแล้วโอกาสท่านเยอะเสียด้วย เพื่อเป็นเนติ (แบบอย่าง) ให้คนรุ่นหลังได้ยึดถือปฏิบัติตาม เพราะต้องเกาะดีไว้ก่อน ถ้าไม่เกาะเราก็ไม่มีอะไรจะให้ละ เพราะฉะนั้น..ไม่ใช่ว่าอะไร ๆ ก็ไม่เอา สุญญตา อนัตตา ถ้าไม่มีอยู่แล้วจะไปสูญได้อย่างไร ถ้าของอยู่ในมือเราแล้วโดนขโมยนี่สูญแน่..ใช่ไหม ? คือ บางท่านตั้งใจจะเอาแต่ธรรมะที่บริสุทธิ์และก็ก้าวข้ามขั้น ไม่เข้าใจว่าสภาพที่แท้จริงเป็นอย่างไร ต้องยึดก่อนจึงจะวางได้ ถ้าไม่ยึดก็ไม่มีอะไรให้วาง แต่ถ้ายึดแน่นเกินไปก็วางไม่ลงอีก พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ ถาม-ตอบ ช่วงบ่าย ณ บ้านอนุสาวรีย์ วันอาทิตย์ที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2014 เมื่อ 12:51 |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|