|
#1
|
||||
|
||||
|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
| สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#2
|
||||
|
||||
|
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพฝ่าฝนพรำไปยังวัดโพธิลังการ์ อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อร่วมงานวันเกิดท่านอาจารย์บ๊ะ (พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม) ซึ่งท่านก็ไม่ได้คิดจะจัดงานวันเกิดอะไร แต่ว่าญาติโยมทั้งหลายแห่กันไปตั้งโรงทานบ้าง รอรับการรักษาบ้าง แน่นไปหมดทั้งวัด ทำเอาจากที่ปกติแล้วงานของท่านไม่ได้มากมายขนาดนี้ ก็ยังต้องมาวิ่งหัวหมุน
โดยเฉพาะเมื่อกระผม/อาตมภาพไปถึง ท่านก็ลงมาจัดการตุ๋น "อาหารเป็นยา" ให้อย่างเร่งด่วน ในช่วงที่ฉันเพลด้วยกัน กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่นั่งมองตาปริบ ๆ เนื่องเพราะว่าอาหารบนโต๊ะเยอะแยะมากมายไปหมด จึงได้ปรารถว่า "พอเห็นของมากแล้วเลือกฉันไม่ถูก..!" ทำเอาท่านนั่งหัวเราะ บอกว่า "ผมแค่ทำกระเพาะปลาตุ๋นอย่างเดียว ที่เหลือคนอื่นเอามาทั้งนั้น" กระผม/อาตมภาพควักเอาเหรียญรุ่น ๑ หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตารามส่งให้เป็นการ "แฮ็ปปี้ เบิร์ธเดย์" ท่านรับไปปุ๊บก็ทำท่าสะดุ้ง บ่นว่า "ของแพงฉิบหายเลย..!" กระผม/อาตมภาพจึงบอกว่า สมัยก่อนองค์ละ ๒๐ บาท ๒๕ บาทเท่านั้น วัตถุมงคลบางทีเห็นท่านจารทั้งวัน ถักทั้งวัน แล้วก็จำหน่ายแค่ ๒๐ บาท ยังสงสัยอยู่ว่าเอากำไรมาจากไหน ? ท่านอาจารย์บ๊ะก็เห็นด้วย กระผม/อาตมภาพจึงปรารภว่า "ในสมัยนั้นตัวผมเองเป็นแกะดำ เนื่องเพราะว่าลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงส่วนใหญ่ไม่ชอบหลวงพ่อกวย เพราะไปตำหนิว่าท่านเล่นแต่ไสยศาสตร์" ทำเอาท่านอาจารย์บ๊ะหัวเราะ บอกว่า "หลวงพี่" คุณนั่นแหละตัวดีเลย ต่อต้านสุด ๆ..!" กระผม/อาตมภาพก็เห็นด้วย เพราะว่าตนเองสามารถฝ่าฟันเข้าไปบวชได้ เพราะว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านเมตตารับเอาไว้บวชแก้บน ลำพังถ้าหากว่าให้ตนเองไปสมัคร มีหวังโดนดีดออกมาตั้งแต่แรก ในข้อหาเล่นแต่ไสยศาสตร์..! โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านก็บอกอย่างชัดเจนว่า "วิชาทุกอย่างที่ข้าสอนแกไป พวกบรรดา "นักวิชาเกิน" มันเรียกว่าไสยศาสตร์ทั้งนั้น..!" กระผม/อาตมภาพเองเห็นด้วย โดยเฉพาะหลวงพ่อกวยท่านเล่นไสยศาสตร์ก็จริง แต่ต้องถามว่าการเล่นของท่านก่อให้เกิดโทษกับใครบ้าง ? ท่านเองนั่งเขียนยันต์ นั่งเสก นั่งถักวัตถุมงคล ทั้งวันทั้งคืน เพื่อรักษากำลังใจตนเอง ไม่ให้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจได้ แล้ววิชาการต่าง ๆ ที่ท่านเรียนมา ส่วนใหญ่ก็เอาไปช่วยเหลือลูกศิษย์ทั้งสิ้น โดยเฉพาะท่านช่วยแบบไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ดูว่าลูกศิษย์เป็นคนดีหรือคนชั่ว ไม่ดูว่าลูกศิษย์เป็นคนรวยหรือเป็นคนจน ถ้าหากว่าใครเคารพนับถือท่าน ท่านก็ช่วยเขาทั้งนั้น..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-11-2025 เมื่อ 00:58 |
| สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#3
|
||||
|
||||
|
กระผม/อาตมภาพจึงได้กล่าวต่อไปว่า "วัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยนั้น ผมเน้นที่พระสมเด็จแหวกม่าน เนื่องเพราะว่าท่านทำมาสำหรับบรรดาผู้ที่มีอุปสรรค ดำเนินชีวิตไม่สะดวก เหมือนกับว่าท่านแหวกทางเปิดทางให้เดิน ขอเพียงเคารพนับถือท่านจริงเท่านั้น อุปสรรคมากเท่าไรก็ข้ามได้ทั้งหมด..!" ท่านอาจารย์บ๊ะบอกว่า "ผมเองเลือกพระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ เนื่องเพราะว่าอยู่ที่ไหนก็สงบร่มเย็น มีคนคอยปกเกศปกเกล้าอยู่ตลอด"
ยังคุยกันเลยเถิดไปถึงพระอาจารย์ตั้ว (พระสมุห์ภาสน์ มงฺคลสงฺโฆ) ว่า ถ้าหากท่านไม่รีบมรณภาพเสียก่อน คาดว่าคงดังพอ ๆ กับหลวงพ่อกวย เนื่องเพราะว่าศึกษาวิชาการทุกอย่างจากหลวงพ่อกวย โดยเฉพาะรู้ใจหลวงพ่อท่านมาก ไม่ว่าท่านจะมองหน้าหรือขยับตัวไปทางไหน พระอาจารย์ตั้วท่านรู้แล้วว่าหลวงพ่อกวยท่านต้องการอะไร ? ในมือกระผม/อาตมภาพนั้น สมัยก่อนยังมีหนุมานเนื้อชินตะกั่ว ซึ่งท่านอาจารย์ตั้วจารหลังให้จนเต็มอยู่หลายองค์ แต่ว่านำออกให้บูชาไปจนเกือบหมดแล้ว..! ในส่วนนี้ต้องบอกว่าบางสิ่งบางอย่างนั้น คนเราจะดูกันแค่เปลือกไม่ได้ เหมือนดังว่าจะคบหาผู้ใดก็ต้องใช้ "ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน" แต่ว่าในวัดท่าซุงช่วงนั้น บรรยากาศก็ไม่เป็นมิตรกับบรรดาผู้ที่เคารพหลวงพ่อกวยเป็นครูบาอาจารย์เสียด้วย เพียงแต่ว่าบรรดาตำรวจทหารนั่นแหละตัวดี พอกระผม/อาตมภาพตอนนั้น ถ้าหากว่าผ่านวัดหลวงพ่อกวยมาเมื่อไร ทุกคนก็สะกิดขอวัตถุมงคลทันที..! สมัยก่อนก็ไม่ใช่ว่าจะไปกันง่ายดายอย่างทุกวันนี้ ต้องนั่งรถมาลงที่ท่าน้ำมโนรมย์ โดยเฉพาะลงทางฝั่งวัดท่าซุง ซึ่งตอนนั้นก็คือวัดเสริมศรีสุขสวัสดิ์ หลังจากนั้นก็ข้ามแพขนานยนต์มา ต่อรถทางด้านฝั่งมโนรมย์เข้าไปที่ตัวจังหวัดชัยนาท หรือถ้าหากว่าต่อรถไปขึ้นที่อำเภอวัดสิงห์ก็สะดวกกว่า เพราะว่าทางอำเภอวัดสิงห์นั้น มีท่ารถ บขส. ที่ใหญ่กว่าตัวจังหวัดชัยนาทเสียอีก..! ถ้าได้รถที่วิ่งระหว่างวัดสิงห์ - สรรคบุรี หรือว่า ชัยนาท - สรรคบุรี ก็จะเป็นอะไรที่สะดวกหน่อย ถ้าไม่ได้ก็ต้องนั่งรถไปลงแถวชันสูตร แล้วจึงต่อรถไปสรรคบุรีอีกทีหนึ่ง ดังนั้น..บุคคลที่ไม่สู้ความยากลำยาก ไม่มีทางที่จะไปอยู่วัดบ้านแคแบบหลวงพ่อกวย แต่ท่านเองก็ไปแล้วสร้างความเจริญให้จนกลายเป็นอมตเถราจารย์มาจนทุกวันนี้ โดยเฉพาะท่านปรารภว่า "ต่อให้ท่านไปแล้ว ถ้าระลึกถึงท่าน ท่านก็ยังพร้อมที่จะช่วยเหลือลูกศิษย์อยู่ตลอดเวลา..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-11-2025 เมื่อ 01:01 |
| สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#4
|
||||
|
||||
|
วัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย จึงเป็นวัตถุมงคลของครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ที่กระผม/อาตมภาพเองสะสมเอาไว้ ต้องบอกว่าค่อนข้างมากทีเดียว แต่ที่ตลกมากก็คือ ไม่ว่าจะเป็นพระสมเด็จแหวกม่านปี ๒๕๑๓ หรือว่าพระสมเด็จแหวกม่านปี ๒๕๑๕ เมื่อนำมาออกให้ร่วมบุญในเว็บไซต์วัดท่าขนุน กลับมีบรรดาคนตาไม่ถึงแต่เรื่องมาก ถามว่าทำไมกรอบถึงได้ใหม่ขนาดนั้น เพราะว่าของเก่าหลายสิบปี ? จะไม่ให้ใหม่อย่างไรได้ ในเมื่อกระผม/อาตมภาพเพิ่งจะซื้อกรอบละ ๑๕๐ บาทใส่ไปแหม็บ ๆ ไม่นานนี้เอง ต้องบอกว่าเลือกสงสัยในสิ่งที่ไม่ควรจะสงสัย ก็แล้วแต่ท่านเถอะ..!
หลังจากที่ฉันเพลด้วยกันเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ให้ท่านตรวจดูอาการของตนเอง เมื่อได้รับการรับรองว่าปอดฟื้นคืนกลับมาแล้วก็รู้สึกโล่งใจ ความจริงก็มั่นใจตั้งแต่ตอนที่ขึ้นเขารังเสือ ประเทศภูฏานแล้ว เพราะว่าสามารถที่จะหายใจได้เต็มปอด แล้วก็เดินขึ้นลงรวดเดียวถึงได้ แต่ว่าคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ ๕ - ๘ ชั่วโมง แล้วแต่ความแข็งแรงมากน้อย ส่วนกระผม/อาตมภาพใช้เวลา ๒ ชั่วโมงนิด ๆ เท่านั้น ถ้าปอดไม่ดีจริง มีหวัง "เจ๊งกะบ๊ง" ไปตั้งแต่กลางทางแล้ว..! พรุ่งนี้ท่านอาจารย์บ๊ะจะเดินทางไปประเทศอินเดีย พร้อมกับศิษยานุศิษย์ของท่าน ส่วนตัวกระผม/อาตมภาพก็จะเดินทางไปใช้หนี้ที่เกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย หลังจากนั้นเดือนหน้าก็เดินทางไปประเทศอินเดียไล่ ๆ กันอีกรอบหนึ่ง ต้องบอกว่า "บางอย่างงานก็มาตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย..!" ทำให้นึกถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ซึ่งสมัยแรกท่านก็ "ปะฉะดะ" ใครขอให้ช่วยเรื่องอะไร ถ้าอยู่ในวิสัยทำได้ ท่านก็ทำให้เขาหมด แต่พอเจอพระเดชพระคุณหลวงปู่ครูบาธรรมชัย (พระครูวรเวทย์วิสิฐ) วัดทุ่งหลวง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านก็บอกว่า "เจ้าของงานเขามาแล้ว" หลังจากนั้นใครเจ็บไข้ได้ป่วย หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงก็ส่งไปหาหลวงปู่ครูบาธรรมชัยทั้งสิ้น..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-11-2025 เมื่อ 01:03 |
| สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#5
|
||||
|
||||
|
แม้แต่กระผม/อาตมภาพเองก็ไปคลุกคลีตีโมงอยู่ที่บ้านสมุทรปราการ เป็นระยะเวลายาวนานทีเดียว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ไปพิสูจน์ด้วยมโนมยิทธิที่ศึกษามา พอคนป่วยแตะสายสิญจน์ที่หลวงปู่ครูบาธรรมชัยจับอยู่ หลวงปู่ท่านจะบอกได้ทันทีว่า เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคอะไร ? เป็นมากี่ปี กี่เดือน กี่วันแล้ว ต้องใช้ยาอะไรในการรักษา
ส่วนกระผม/อาตมภาพนั้นบอกได้แค่ว่าป่วยมากี่ปี พอมาถึงเดือนก็เริ่มเป๋ ถ้าไปถึงวันนี่ไปไม่เป็นเอาเลย พอทดสอบอยู่หลายครั้ง หลวงปู่ท่านไม่ได้ว่าอะไร แต่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านด่าเอาว่า "ไม่เจียมตัว ทิพจักขุญาณยุคนี้ต้องนับว่าหลวงปู่ครูบาธรรมชัยนั้นยอดเยี่ยมที่สุด เพราะว่าถ้าทิพจักขุญาณไม่ดี ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าถึงสมุฏฐานของกรรมที่ก่อให้เกิดโรคได้ แกดันไปสู้กับปรมาจารย์ระดับนั้น ไม่หงายท้องกลับมาก็แปลกไปแล้ว..!" กระผม/อาตมภาพก็หาได้เข็ดไม่ เนื่องเพราะว่าเป็นเด็กสู้ครูมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว..! ครั้นมาถึงยุคของตนเอง แรก ๆ ญาติโยมที่เจ็บไข้ได้ป่วยมา ก็แนะนำให้ไปรักษาด้วยยาโน้นบ้าง ยานี้บ้าง แล้วแต่เวรแต่กรรมของแต่ละคน ครั้นพอท่านอาจารย์บ๊ะปรากฏตัวขึ้นมา กระผม/อาตมภาพก็ใช้วิธีเดียวกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ก็คือ "ใครเจ็บไข้ได้ป่วยมา ก็ไปวัดโพธิลังการ์เอาเองก็แล้วกัน ผมหมดหน้าที่แล้ว" ประมาณนั้น..! เมื่อกราบลาแล้วก็พยายามที่จะหนีให้เร็วที่สุด เนื่องเพราะว่านอกจาก "น้ำบนหัว" ก็คือฝนฟ้าที่พร้อมจะเทลงมาแล้ว "น้ำข้างล่าง" ยังทะลักข้ามเจ้าพระยามาอีกต่างหาก ถ้าหากว่าท่วมถนนคราวนี้ก็ได้บันเทิงเริงรมย์เป็นแน่..! จึงต้องรีบเผ่นกลับที่พักให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะที่พักทางด้านวัดอุทยานนั้น กุฏิริมป่าช้าที่กระผม/อาตมภาพพักอยู่ ตอนนี้กลายเป็นเกาะไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องเพราะว่าฝั่งอุโบสถน้ำท่วมให้ทั่วไปหมด เหลือแต่ทางด้านนี้ ที่ "น้องน้ำ" ยังไม่คิดจะมาเยี่ยมเยือน ก็ต้องขอบคุณในความเมตตาที่ยังเว้นที่เอาไว้ให้ ถ้าจะท่วมช่วงที่อยู่ปีนังก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้ากลับมาแล้ว กรุณารีบแห้งไว ๆ ก็แล้วกัน..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-11-2025 เมื่อ 01:06 |
| สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|