#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ในช่วงเดือนกันยายนนี้ ปกติแล้วทางวัดท่าขนุนจะมีงานใหญ่ ก็คืองานทำบุญถวายหลวงปู่สาย (พระครูสุวรรณเสลาภรณ์) อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อดีตเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ในวันที่ ๑๔ กันยายนของทุกปี
แต่ด้วยเหตุที่ว่าปีนี้การตรวจประเมินโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา (หมู่บ้านรักษาศีล ๕) ดำเนินการถึงวันสุดท้าย คือวันที่ ๑๒ กันยายน และวันที่ ๑๓ กันยายนนั้น ยังมีงานครบรอบ ๑๓๘ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยอีกต่างหาก จึงทำให้ไม่มีเวลาเตรียมงานต่าง ๆ ให้เต็มที่ได้ จนต้องเปลี่ยนเป็นจัดงานกันเป็นการภายใน ก็คือใช้พระวัดท่าขนุน ไม่ว่าที่เป็นที่จำพรรษาที่วัดท่าขนุนก็ดี จากสาขาต่าง ๆ ก็ตาม ขึ้นสวดพระพุทธมนต์กัน ในลักษณะชงเอง กินเอง ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะว่ารายจ่ายน้อยลงไปมหาศาลเลย..! ไม่เช่นนั้นถ้านิมนต์พระสังฆาธิการและเพื่อนฝูงต่าง ๆ มา กระผม/อาตมภาพก็ต้องคำนึงถึงการเดินทางของท่านว่าใกล้ไกลเป็นประการใด แล้วก็ถวายปัจจัยให้เหมาะสม เพื่อที่ท่านจะไม่เจอกับอาการ "ขาดทุน" ไม่เช่นนั้นแล้วจะเหมือนกับที่กระผม/อาตมภาพเจอมาด้วยตนเอง ครั้งแรกก็คือเดินทางไปร่วมงานที่จังหวัดปัตตานี โดยที่พระ ๓ รูป นั่งตั๋วรถไฟชั้น ๒ เป็นเงินรูปละ ๗๐๐ กว่าบาท ไปร่วมงานที่เขาตั้งใจนิมนต์อย่างเต็มที่ แล้วเขาก็ถวายมารูปละ ๓๐๐ บาท ซึ่งเป็นการถวายมากที่สุดเท่าที่แถวนั้นเขาเคยถวายกันแล้ว แต่ไม่ได้คำนึงถึงว่าพวกกระผม/อาตมภาพมาอย่างไร ? และท้ายที่สุดก็คือกลับอย่างไร ? อีกครั้งหนึ่งก็เจอที่อำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรีนี่เอง กระผม/อาตมภาพต้องวิ่งไป ๑๐๐ กว่าเกือบ ๒๐๐ กิโลเมตร ตามที่เขานิมนต์ให้ไปเป็นประธานในงานศพ แล้วทางเจ้าภาพถวายมา ๑๐๐ บาท..! ถ้าอยู่ในลักษณะแบบนี้ แม้ว่ากระผม/อาตมภาพไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ออกจะเห็นขำ ๆ เสียด้วยซ้ำไป แต่กับการที่เรานิมนต์พระจากที่อื่นมา กระผม/อาตมภาพจะคิดเผื่อเสมอว่า ค่าเดินทางของท่านเท่าไร ยังจะต้องมีคนขับรถ มีค่าอาหารในระหว่างเดินทางอีก ก็จะถวายเผื่อไปอยู่ในลักษณะที่ไม่ให้ท่านต้อง "ขาดทุน" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การที่ใช้พระวัดท่าขนุนสวดพระพุทธมนต์เอง ก็ถวายน้อยกว่ากันหลายเท่า รู้สึกว่าบางทีการติดงานในลักษณะนี้ ก็ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มากทีเดียว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:35 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ส่วนในช่วงปลายเดือน ก็คือวันเสาร์ที่ ๒๗ กันยายนนั้น จะเป็นงานบวงสรวงไหว้ครู เป่ายันต์เกราะเพชร ซึ่งความจริงงานบวงสรวงไหว้ครูประจำปีนั้นได้ทำไปแล้ว แต่ว่าการที่เราจะจัดงานใหญ่อะไร ก็ควรที่จะมีการบวงสรวงบอกกล่าวให้เป็นทางการ ซึ่งงานแบบนี้ ถ้าไม่ได้รับการอนุเคราะห์สงเคราะห์จากท่านอาจารย์พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม ป.ธ.๖ วัดปากน้ำภาษีเจริญ หรือที่หลายท่านเรียกว่าหลวงพ่อเอบ้าง อาจารย์มหาเอบ้าง รับภาระในการจัดบายศรีบวงสรวงชุดใหญ่เต็มสภาพถวายทุกครั้ง กระผม/อาตมภาพก็คงต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกเป็นแสนบาท
งานนี้ได้รับคำสั่งให้ทำการเป่ายันต์เกราะเพชรอีกรอบหนึ่ง กระผม/อาตมภาพก็หวั่น ๆ ใจอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าสถานการณ์ในประเทศก็ดี ต่างประเทศก็ตาม รู้สึกว่าจะเดือดร้อนกันไปหมด โดยเฉพาะบรรดาภัยธรรมชาติต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากน้ำมือมนุษย์ของเรานี่เอง อันดับแรกเลยก็คือการทิ้งระเบิดใส่กันในสงคราม แรงสั่นสะเทือนไปเพิ่มแรงกดดัน ถ้าหากว่าแรงนั้นเพียงพอก็จะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมา ซึ่งปีนี้แผ่นดินไหวที่หนักมาก ๆ เลย ก็คือแผ่นดินไหวที่ประเทศพม่า แล้วในขณะเดียวกันก็เกิดแผ่นดินไหวที่นอกชายฝั่งประเทศรัสเซีย ซึ่งแผ่นดินไหวที่นอกชายฝั่งประเทศรัสเซียนั้นถือว่ารุนแรงที่สุด แต่โชคดีที่ว่าเกิดในมหาสมุทร ก็เลยมีผลกระทบน้อยหน่อย ส่วนในเรื่องของฟ้าฝนที่ไม่ตกต้องตามฤดูกาล ส่วนมากก็มาจากเรื่องของการรบราฆ่าฟันนี้ ซึ่งดันเอาเมฆจากสถานที่หนึ่ง ไปรวมตัวกันอีกสถานที่หนึ่ง เพราะว่าทุกครั้งที่เราทิ้งระเบิดลงไป นอกจากก่อให้เกิดความสะเทือนภาคพื้นดินแล้ว แรงอัดที่กระจายขึ้นข้างบน ยังดันเอาเมฆออกไปรอบข้าง เมื่อโดนดันไปรวมตัวกันในสถานที่ใดมาก ๆ ถึงเวลาเกิดอาการ "เมฆระเบิด" ก็คือฝนตกกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา เราก็จะเห็นว่าอย่างประเทศปากีสถานก็ดี ประเทศเนปาลก็ตาม เกิดน้ำป่าไหลหลาก เกิดแผ่นดินถล่ม ตลอดจนกระทั่งโคลนที่ไหลเข้าท่วมหมู่บ้าน จนกระทั่งมีการเสียชีวิตจำนวนมากยังไม่พอ ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน "พลัดที่นาคาที่อยู่" ก็ยังมีอีกมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:38 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ในเมื่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้น ในการเป่ายันต์เกราะเพชรนั้น ส่วนหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้ให้บอก แต่ก็ไม่ได้สั่งห้ามอย่างเด็ดขาด ซึ่งกระผม/อาตมภาพเคยบอกไปหลายครั้งแล้ว ก็คือเป็นการรวมกำลังใจของคนหมู่มาก เพื่อที่จะส่งไปให้พรหมเทวดาที่ท่านรักษาประเทศไทยของเรา
สิ่งหนึ่งประการใดที่จะเกิดขึ้น ถ้าไม่ดีไม่งาม จากหนักก็ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์เป็นเบา จากเบาก็ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์เป็นหาย ซึ่งในลักษณะแบบนี้ พรหมเทวดาท่านถือมารยาทมาก ถ้าไม่มีการขอ ท่านก็ไม่ช่วย..! เพราะว่าท่านอยู่ในลักษณะยอมรับกฎของกรรมมากกว่ามนุษย์ทั่วไป ยิ่งถ้าพรหมเทวดาที่เป็นพระอริยเจ้าแล้ว ย่อมถือกฎของกรรมเป็นใหญ่ ถ้าไม่มีใครยอมแบกวาระกรรมนั้นมาร้องขอ ท่านก็ไม่ช่วยเหมือนกัน กระผม/อาตมภาพเองนั้น ก็ยังไม่แน่ใจว่าการที่เราแบกภาระหรือวาระกรรมของคนหมู่มากเอาไว้ ขอร้องให้พรหมเทวดา หรือครูบาอาจารย์ท่านช่วยเหลือนั้น ตนเองจะต้องรับเละอะไรบ้าง ?! แต่ก็คิดว่าอยู่มาจนป่านนี้ ถือว่าอายุมากพอสมควรแล้ว ถ้าไม่สามารถที่จะสร้างประโยชน์อะไรให้กับประเทศชาติ และคนหมู่มากได้มากกว่านี้ จะถึงขนาดสิ้นชีวิตลงไป ก็ถือว่าเป็นกำไรแล้ว เนื่องเพราะว่าตนเอง "หมดวาระ" มานาน แต่ก็ได้รับการ "ต่อวีซ่า" มาเป็นระยะ ซึ่งครั้งหลังในการต่อของท่าน ท่านก็แค่บอกว่าต่อให้ แต่ไม่บอกว่านานเท่าไร จนต้องแอบดูด้วยตนเอง ว่ายังเหลือระยะเวลาอีกไม่นานเท่านั้น..! ดังนั้น..ในส่วนหนึ่งส่วนใดที่จะต้องทำงานเพื่อคณะสงฆ์ก็ดี หรือเพื่อความอยู่สุขของประชาชนส่วนใหญ่ของเราก็ตาม กระผม/อาตมภาพก็จะทำอย่างเต็มที่ เรียกง่าย ๆ ว่าทำแบบไม่เห็นแก่ชีวิตของตนเอง เพราะคิดอยู่เสมอว่า เรามีเวลาแค่วันนี้วันเดียว สำหรับวันพรุ่งนี้นั้น เราไม่แน่ว่าจะมีชีวิตถึงหรือเปล่า ดังนั้น..จึงต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:41 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
ในช่วงเช้าวันนี้ เมื่อตากฝนบิณฑบาต แม้ว่าจะรอดมาได้ เพราะว่าแค่โดนสะเก็ดโปรยปรายลงมาเล็กน้อย แต่ว่าก็ชวนให้เป็นไข้อยู่ดี หลังจากนั้นแล้วก็รีบมาทำงานต่าง ๆ โดยเฉพาะการเขียนคำนิยมให้กับเด็ก ๆ ของโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา ไม่ว่าจะเป็นน้องปอแก้ว (เด็กหญิงณัฏฐนันท์ อ่อนมณี) ก็ดี หรือว่าน้องแพรไหม (นางสาวภคพร พรหมกระจ่าง) ก็ตาม ซึ่งทั้งคู่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักเรียนพระราชทาน
กระผม/อาตมภาพเองพยายามที่จะกล่าวถึง ในลักษณะที่ไม่เข้าข้างเด็กของตนเองมากจนเกินไปนัก การที่จะเขียนอะไรที่เป็นกลาง ๆ ไม่ "ไซโค" เกินเหตุ จนกระทั่งกรรมการเขาหมั่นไส้นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก..! เมื่อเขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังต้องไปทำการโอนเงินค่าก่อสร้างพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนงวดที่ ๑๖ และงวดที่ ๑๗ ให้กับทางบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ถ้าท่านทั้งหลายจดจำสัญญาได้ ก็จะรู้ว่ามีการโอนเงินงวดละ ๘ ล้านบาท โดยที่หักค่าประกันผลงานงวดละ ๔ แสนบาทเอาไว้ ซึ่งเงินประกันผลงานส่วนนี้ เราก็ต้องส่งคืนเขา หลังจากที่ตรวจสอบผลงานและยืนระยะในเวลา ๖ เดือนแล้ว ว่าไม่มีอะไรชำรุดเสียหาย ในการโอนเงินนั้น กระผม/อาตมภาพโอนในส่วนที่หักเงินค่าประกันผลงานแล้ว และยังหักค่าปรับที่ทางบริษัทรับเหมาส่งงานช้าไปด้วย แต่ต้องมาปวดหัวตรงที่ว่า ในเวลาลงบัญชีนั้นเราต้องลงเป็นยอดเต็มสำหรับรายจ่าย แล้วก็เอาเงินค่าปรับที่หักออกมานั้นไปลงเป็นรายรับแทน ถ้าคนทั่ว ๆ ไปก็อาจจะปวดหัวมาก หรือว่าถ้ามีผู้มาตรวจสอบบัญชี ก็จะสงสัยว่าทำไมลงยอดเต็ม แต่ตอนโอนไปแล้วไม่ถึงยอดนี้ ? ซึ่งเรื่องพวกนี้นั้น เราสามารถที่จะชี้แจงได้ทุกอย่าง แต่ว่าก็อาจจะเป็นข้อสงสัยของผู้ตรวจสอบทันทีที่เห็นเลยทีเดียว ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ "กลืนไม่เข้า คายไม่ออก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:44 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
![]()
ทันทีที่ท่านเป็นเจ้าอาวาส ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย สิ่งหนึ่งประการใดที่ท่านทำ หรือไม่ทำก็ตาม ก็อยู่ในลักษณะที่ว่า อาจจะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือว่าอาจจะเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ก็ได้ พูดง่าย ๆ ว่าทันทีที่เป็นเจ้าอาวาส ก็แหย่เท้าเข้าไปในคุกข้างหนึ่งแล้ว..!
เมื่อโอนแล้วและแจ้งให้อีกฝ่ายทราบเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เก็บข้าวของขึ้นรถ ไปฉันเพลที่โรงครัว จากนั้นก็เดินทางไปยังจังหวัดเพชรบุรี เพื่อที่จะพักครึ่งทางที่วัดมหาธาตุ วรวิหาร ของท่านเจ้าคุณกล้า - พระวชิรวาที, ผศ., ดร. (กล้า วีรรตโน) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ วรวิหาร รองเจ้าคณะอำเภอเมืองเพชรบุรี ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนร่วมรุ่นเรียนปริญญาเอก เพื่อนร่วมรุ่นในการสอบพระอุปัชฌาย์ แล้วมาปัจจุบันนี้ ยังตั้งหน้าตั้งตาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ชนิดเกาะติดหนับเป็นปลิงอีกต่างหาก..! เหตุที่ต้องพักครึ่งทาง เพราะว่าพรุ่งนี้จะเป็นการตรวจประเมินยกหมู่บ้านศีล ๕ ต้นแบบที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถ้าไม่มีการพักครึ่งทาง เดินทางรวดเดียวไปถึง กระผม/อาตมภาพก็อาจจะชำรุดเสียก่อน..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:46 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) | |
|
|