#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๘
|
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพเพิ่งกลับจากงานศพของหลวงพ่อพระครูกาญจนปัญญาวุฒิ (พูลศักดิ์ ปญฺญาวุโธ) อดีตเจ้าอาวาสวัดเขื่อนวชิราลงกรณ อดีตรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งไม่นึกว่าเขาจะลากงานยาวรวดเดียว ตั้งแต่การถวายน้ำสรงศพโดยคณะสงฆ์ ต่อด้วยญาติโยมทั้งหมด แล้วก็เป็นพิธีถวายน้ำสรงศพพระราชทาน จากนั้นเป็นพิธีบังสุกุลปิดศพ
ปกติแล้วเมื่อถึงช่วงนี้ก็จะพัก ไปสวดพระอภิธรรมถวายท่านตอนเวลาทุ่มครึ่ง แต่ด้วยความที่เจ้าภาพก็คือพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ. ๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี และ พระมหาวิสูตร วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ. ๙ รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านก็อยู่ในพิธีแล้ว ท่านนายอำเภอชาคริต ตันพิรุฬห์ ตลอดจนกระทั่งหัวหน้าส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็อยู่พร้อมหน้า จึงให้มีปรับตารางด้วยการสวดพระอภิธรรมถวายท่านไปเลย ทำให้กระผม/อาตมภาพโดนลากงานยาวจนยาหมดฤทธิ์..! การที่ยาหมดฤทธิ์ทำให้เราต้องใช้สติประคับประคองตนเองมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ทำสิ่งต่าง ๆ ถูกต้องตามขั้นตอนที่พิธีกรเขากำหนด จะว่าไปแล้ว ก่อนหน้านี้กระผม/อาตมภาพเลิกฉันยามาหลายปีแล้ว เนื่องเพราะว่ายาบางอย่างออกฤทธิ์รุนแรงมาก แทบจะฆ่าเราตาย แต่ฆ่าเชื้อโรคไม่สำเร็จ บางอย่างฉันไปเม็ดเดียวเมาไป ๓๓ วัน..! แล้วยาตัวนี้มีการแตกตัวแบบที่เขาเรียกว่า "ฮาร์ฟไลฟ์" ก็คือพอครบจำนวนชั่วโมง ก็จะออกฤทธิ์แรงเท่าเดิมทุกวัน ในระหว่าง ๓๓ วันนั้นต้องใช้สติมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเพื่อไม่ให้ตัวเองเดินแล้วล้ม..! ถ้าถามว่าเกินความสามารถของตัวเองหรือไม่ ? ก็ยังไม่เกินความสามารถ แต่ด้วยความที่ว่าฉันยามาหลายสิบปีแล้วไม่หาย กระผม/อาตมภาพจึงประชดชีวิต เลิกฉันยาทั้งหมด ปรากฏว่าร่างกายดีขึ้นมาก..! แต่หลังจากที่มาลาเรียกำเริบหนัก ๆ หลายรอบ เพราะว่าพักผ่อนไม่พอ ก็โดนพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านดุเอาว่า "ถ้าไม่ฉันยาแบบนี้ เดี๋ยวร่างกายจะพังเสียก่อน..!" ความหมายของท่านก็คือมียาก็ฉันไป เพื่อรักษาธาตุขันธ์เอาไว้ทำงาน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:11 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ดังนั้น..ระยะหลังถ้าร่างกายแย่มาก ๆ กระผม/อาตมภาพก็จะฉันยาประคองร่างกายบ้าง แต่ก็ไม่ได้ฉันตลอด เพียงแต่ว่าช่วงนี้ร่างกายค่อนข้างจะแย่ เมื่อต้องออกไปงานข้างนอกจึงฉันยาไปแต่เช้า ปรากฏว่าโดนลากงานแต่เช้ายันค่ำ ยาหมดฤทธิ์เสียก่อน จึงต้องตั้งสติ ทำหน้าที่ไปตามที่พิธีกรหรือว่าโฆษกเขาบอกกล่าวหรือว่านิมนต์ให้ทำ
ด้วยความที่ตำแหน่งของกระผม/อาตมภาพก็คือ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ถ้าว่าโดยตำแหน่งก็ใหญ่กว่าเจ้าคณะจังหวัดเสียอีก..! แต่โดยพฤตินัยนั้น สิ่งที่ทำกันอยู่ก็ต้องให้เจ้าคณะจังหวัดท่านออกหน้า แต่เขาก็เชิญหรือว่านิมนต์ให้กระผม/อาตมภาพทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องอาศัยสติประคองร่างกายเอาไว้ เพื่อไม่ให้งานของเขาผิดพลาด หรือว่าไม่ให้ล้มขายหน้าชาวบ้านเขา..! ในเรื่องของงานศพนั้น มีบางสำนักท่านบอกว่า "สวดพระอภิธรรมไปทำไม ? สวดไปก็ตกนรก..! การทำบุญให้คนตายไม่ได้รับบุญ แถมทำให้คนตายตกนรกหนักขึ้นไปอีก..!" กระผม/อาตมภาพก็อยากทราบเหมือนกันว่าพวกเขาเอาความรู้นี้มาจากไหน ? เนื่องเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังกล่าวถึงการทำปุพพเปตพลี ก็คือการทำบุญอุทิศให้คนตายโดยเฉพาะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยบอกไปก็คือ "ปัจจุบันนี้ผู้รู้มีมาก แต่ที่รู้จริงนั้นหายากเหลือเกิน" เนื่องเพราะว่าความรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเกินวิทยาศาสตร์ปัจจุบันไปมาก ปัจจุบันนี้แม้วิทยาศาสตร์จะทะนงตนว่า สามารถทำโน่นทำนี่ได้มากมาย จนแทบจะเป็นพระเจ้าเองอยู่แล้ว แต่ว่าก็ยังไล่ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ทัน..! ถ้าใครไปดูในอินทกสูตร จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงการกำเนิดมนุษย์ ตั้งแต่เป็นจุดปฏิสนธิเล็ก ๆ ขนาด ๑/๑๖ ของขนจามรี จนกระทั่งแต่ละ ๗ วันผ่านไปมีลักษณะอย่างไร พระองค์ท่านบอกไว้ชัดเจนทั้งหมด วิทยาศาสตร์เพิ่งจะตามทันเมื่อไม่นานนี้เอง แล้วเขาก็ยังสงสัยว่าในยุคนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้ได้อย่างไร ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:15 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ส่วนในเรื่องของโรคระบาดต่าง ๆ นั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงเคยเล่าให้ฟังว่า ถึงเวลาชนหมู่มากที่เคยสร้างกรรมร่วมกันมาในอดีต ถึงวาระที่ผลกรรมนั้นจะสนอง ก็จะมีเทวดามาขีดเส้นกำหนดเขตว่า ตั้งแต่จุดนี้ถึงจุดนี้จะมีคนตายเพราะโรคระบาดชนิดนั้น แล้วถึงเวลาก็มีคนตายจริง ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เทวดาท่านมาเอาชีวิตคน แต่เป็นเพราะว่าคนได้สร้างกรรมไว้ในอดีต ถึงเวลาที่กรรมนั้นจะส่งผลแล้ว..!
บุคคลที่มีทิพจักขุญาณท่านจะรู้เห็น บางทีท่านก็บอกวิธีแก้ไขเอาไว้ด้วย อย่างเช่นว่าการปั้นรูปคนเป็นตัวแทนของบุคคลในครอบครัว ถ้าเป็นโรคระบาดสัตว์ ก็ให้ปั้นรูปวัวรูปควายเป็นตัวแทนสัตว์ในบ้าน แล้วเอาไปสังเวยที่ทางสามแพร่ง ถ้าหากว่าใครทำแบบนั้นก็จะรอดจากเคราะห์กรรมครั้งนั้นไปได้ ถ้าถามว่าเป็นการโกงหรือไม่ ? ต้องบอกว่าไม่ใช่การโกง แต่เป็นเพราะบุคคลนั้นได้สร้างกรรมดีเอาไว้ด้วยเช่นกัน จึงทำให้สามารถเอากรรมดีนั้นมาป้องกันกรรมชั่วไม่ให้สนอง หรือไม่ให้เกิดผลได้ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก ถ้าหากว่าเราไม่รู้จริง พูดไปก็มีแต่ผิด..! อีกส่วนหนึ่งที่อยากจะกล่าวถึงก็คือ เมื่อประมาณ ๒ - ๓ วันก่อน มีพระของเราหอบพระพุทธรูป ไปทุบประตูเรียกตอนที่กระผม/อาตมภาพพักอยู่ บอกว่า "จะถวายหลวงพ่อ" โชคดีที่ผมป่วย ไม่มีแรงเตะท่าน..! คนเก่า ๆ เขาจะรู้ว่าถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริง ๆ แล้วไปเรียกกระผม/อาตมภาพที่กุฏิ มีสิทธิ์โดนแน่ ๆ..! เห็นแก่ว่าท่านเป็นพระใหม่ อาจจะไม่รู้เรื่อง แค่อยากได้บุญจนหน้ามืด ก็เลยไปทุบประตูเรียกตอนนั้น..! จึงบอกว่า "รอให้ทางวัดมีงานภาวนาพระคาถาเงินล้าน แล้วค่อยเอาไปเข้าพิธี" ซึ่งถ้าท่านทั้งหลายรู้จักพินิจพิจารณา ก็คงจะไม่ไปรบกวนเวลานั้น หอบมาถวายตอนช่วงนี้ยังจะดีเสียกว่า..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:18 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อตอนเพลนี้เอง มีพระใหม่ท่านมาถามว่า "หลวงพ่อครับ มันเป็นผลแท้หรือผลเทียมครับ ?" โคตรพ่อโคตรแม่มันถามแบบมันรู้คนเดียว ไม่มีหัวไม่มีท้าย อยู่ ๆ ก็โผล่กลางปล้องขึ้นมา..!
ด้วยความที่ป่วยจนไม่มีแรงจะเตะมัน ก็เลยบอกว่า "มึงไปถามคนอื่นไกล ๆ โน่นเลย" อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยบอกไว้แล้วว่า บุคคลบางคนเรียนมาความรู้สูงมาก แต่พูดแล้วคนอื่นฟังไม่รู้เรื่อง เพราะว่าไม่ได้คิดถึงคนอื่นที่เขายังไม่รู้เรื่อง ประมาณว่าเรื่องนี้กูรู้แล้ว คนอื่นต้องรู้ด้วย..! จึงกลายเป็นพูดภาษามนุษย์ไม่รู้เรื่อง หวังว่าคงจะไม่มีแบบนี้อีก ไม่ว่าจะสอนใคร หรือว่าทำอะไร เราต้องนึกอยู่เสมอว่า "คนอื่นเขายังไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน" ถ้าท่านทั้งหลายไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับบันทึกการเดินทาง ซึ่งกระผม/อาตมภาพเขียนเอาไว้ก่อนหน้านี้ ยังไม่ใช่ช่วงที่มาเล่าด้วยปาก คนอ่านเขาจะบอกว่า "อ่านแล้วเหมือนอย่างกับตามหลวงพ่อไปได้ทุกฝีก้าวเลย" คือสามารถที่จะรู้ได้หมดว่า สถานที่นั้นเป็นอย่างไร ? เหตุการณ์เป็นอย่างไร ? ก็เพราะว่ากระผม/อาตมภาพจะคำนึงอยู่เสมอว่า เรื่องที่เล่าไปนั้นคนอื่นยังไม่รู้ ? เรารู้อย่างไรก็ต้องว่าไปตามนั้น เพื่อให้คนอื่นเขารู้ตามด้วย ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็ "ทะลุกลางปล้อง" แบบสำนวนโบราณ ไม่มีที่มาไม่มีที่ไป โผล่หัวขึ้นมาเฉย ๆ ไอ้ประเภทนี้ถ้าเป็นสมัยก่อนก็โผล่มาแล้วหัวขาด..! ขอให้ไปแก้ไขเสียใหม่ แล้วพูดภาษาที่มนุษย์เขารู้เรื่องด้วย สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:20 |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|