#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๗
|
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพไปทำหน้าที่ในการตรวจประเมินยกหมู่บ้านเขาดิน หมู่ที่ ๑ ตำบลเขาดิน อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ขึ้นเป็นหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบ โดยไปตรวจประเมินกันที่วัดเขาดิน ซึ่งวัดเขาดินนี่ก็เป็นวัดที่ค่อนข้างจะอัศจรรย์อยู่มาก อันดับแรกก็คือทางด้านอุโบสถของวัด อยู่ในเขตอำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี แต่ด้านพื้นที่ใช้สอย ตลอดจนกระทั่งศาลาตรวจประเมิน อยู่ในเขตอำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ทั้ง ๆ ที่วัดมีพื้นที่แค่ ๖ ไร่ แต่คร่อมอยู่ ๒ อำเภอ..!
แล้วก็มีการสร้างวัดออกไปในรูปแบบวัดญี่ปุ่น มีเสาโทริ มีอะไรต่อมิอะไรออกไปในรูปแบบของวัดนิกายเซน แต่ว่าเป็นไปเพื่อการ "เรียกแขก" มากกว่า ก็คือไม่ได้ทำเพื่อความสงบระงับ แต่ว่าทำไปเพื่อสนองกิเลสคน ซึ่งอยากมี "จุดเช็คอิน" ในการถ่ายรูป ก็ต้องแล้วแต่อุบายของใครว่าจะดึงคนเข้าวัดกันแบบไหน ? เข้าวัดแล้วจะได้ประโยชน์อะไรไปบ้าง ? เมื่อทำการตรวจประเมินเสร็จแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ฝากใบคะแนนไว้กับ ดร.พระครูทวี - พระครูศรีรัตนาภิวัฒน์, ดร. (ทวี รตนเมธี ป.ธ. ๖) เจ้าอาวาสวัดพระลอย รองเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งถือว่าเป็น "เจ้าของที่" เหมือนกัน เพียงแต่ว่าท่านเป็นคณะกรรมการในการตรวจยกหมู่บ้านศีล ๕ ต้นแบบ และเป็นผู้ช่วยเลขานุการของคณะกรรมการด้วย จากนั้นก็วิ่งกลับมา ๔ ชั่วโมงเพื่อมามองหน้าโยมทั้งหลายอยู่ตรงนี้..! ถ้าใครคิดว่าอายุ ๖๖ ปีแล้วยังทำได้แบบนี้ก็ทดลองดู ไม่รู้จะขาดใจตายลงไปวันไหน..?! ก่อนอื่นก็ขอขอบพระคุณและเจริญพรขอบคุณทุกท่าน โดยเฉพาะคณะของหลวงพ่อเอ (พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม ป.ธ. ๖) วัดปากน้ำภาษีเจริญ ที่มาช่วยจัดบายศรีไหว้ครูให้ ซึ่งบายศรีในปัจจุบันนี้ก็ราคาสูงมาก ถ้าขนาดอย่างที่ญาติโยมเห็นนี่ไม่ถึงแสนก็น่าจะตกแปดเก้าหมื่น..! แต่ว่าท่านอาจารย์มหาเอกับคณะศิษย์รับเป็นเจ้าภาพมาหลายปีแล้ว ส่วนพระภิกษุของเราตลอดจนกระทั่งแม่ชีและโยมวัด ก็มีการจัดประชุมแบ่งสรรหน้าที่รับผิดชอบกัน ซึ่งพรุ่งนี้เช้ามืดจะต้องเข้าประจำที่ทั้งหมด โดยเฉพาะในส่วนของการจราจร ถ้าขาดความคล่องตัวอย่างเดียว รับรองได้ว่า "นรกแตก" ดังนั้น..ญาติโยมทุกท่าน ถ้าหากว่าจอดรถเข้าที่แล้วก็ไม่ต้องขยับ จนกว่างานเป่ายันต์รอบแรกตอน ๑๐ โมงเช้าเสร็จลง ไม่เช่นนั้นขยับไปก็เดือดร้อนทั้งตัวเองและคนอื่นเสียเปล่า ๆ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-09-2024 เมื่อ 02:25 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ถ้าจะเดินทางระหว่างหน้าวัดและในวัด เขามีรถตู้ให้อย่างน้อย ๓๒ คัน ขึ้นฟรีทุกคัน ถึงเวลาเขาก็จะขับวนไปหย่อนพวกเราลงที่หน้าวัด ซึ่งเป็นที่จอดรถส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งลานธรรมสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกก็ดี ทางด้านสำนักงานเทศบาลตำบลท่าขนุนก็ตาม เราได้ประสานงานขอที่จอดรถเอาไว้แล้ว ส่วนใครที่หมดท่าจริง ๆ ก็จอดข้างถนนยาว ๆ ไปเลย ถึงสังขละบุรีได้ยิ่งดี เดินออกกำลังมาถึงที่นี่คงเป็นลมตายไปเสียก่อน..!
แม้กระทั่งวันนี้ก็ยังมีคนถามว่ามีที่พักเหลือหรือเปล่า ? เขาคงไม่ทราบว่าหลังจากที่กระผม/อาตมภาพได้รับคำสั่งว่า "เป่ายันต์เกราะเพชรได้" ประกาศไปแล้ว ในวันรุ่งขึ้นที่พักก็เต็มหมดแล้ว ดังนั้น..คนที่รู้แกวส่วนใหญ่ก็จะจองรถกับทางด้านชมรมโมทนาบุญ เว็บพลังจิต หรือไม่ก็เว็บเพจกิฟท์จังพลังเวทย์ เพราะว่าเขาเหล่านั้นจะมีการจองที่พักเอาไว้แล้ว ความจริงกระผม/อาตมภาพจะสร้างหอพักภายในวัดสัก ๓ หลัง ๕ หลังก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่าถ้าทำแบบนั้นภาระหนักจะตกอยู่กับวัด แล้วประการต่อไป รายได้จะไม่กระจายสู่ชุมชน ดังนั้น..ถ้าหากว่าทางวัดไม่มีที่พัก บรรดาบังกะโล โรงแรม โฮมสเตย์ หรือรีสอร์ต เขาก็จองเต็มกันหมด เต็มไปยันสังขละบุรี ไทรโยค และบางส่วนของอำเภอเมืองด้วย ก็คือบางคนยอมอยู่ไกลเพื่อความสะดวกเวลาเดินทาง ไม่ใช่เสี่ยงดวงมาเพื่อความแออัดยัดเยียดกันอยู่โดยไม่มีที่ให้นอน ส่วนของวัด..ถ้าใครจะนอน ฝนไม่ตกก็ตามใต้ต้นไม้ตามอัธยาศัย เราแถมมาลาเรียให้ด้วย..! ทองผาภูมินี่ถือว่าเป็นดงมาลาเรีย เพราะว่าพี่น้องมอญพม่าเยอะมาก แล้วคนทั้งหลายเหล่านี้ก็เก็บเงินทุกบาททุกสตางค์เพื่อตนเองและครอบครัว ดังนั้น..เจ็บไข้ได้ป่วย เขาไม่เสียเวลารักษาให้หาย ซื้อยากินแค่พอลุกทำงานได้เขาก็ไปทำงานกันแล้ว..! กระผม/อาตมภาพข้ามไปฝั่งพม่าเห็นแล้วจะเป็นลม ยาแก้มาลาเรียแผงละ ๑๒ เม็ด เขาตัดขายทีละเม็ดสองเม็ด..! กระผม/อาตมภาพไปต่อว่าเภสัชกรว่า "กินไม่ครบโดสก็รักษาโรคไม่ได้ คุณรู้อยู่แล้วทำไมถึงตัดขายแบบนี้ ?" เขาบอกว่า "คนซื้อต้องการแค่นั้น ถ้าจะขายทั้งแผง เขาไม่ซื้อก็ขายไม่ได้" เพราะว่าตอนช่วงนั้นยาตัวนี้ถือว่าราคาแพง คือเม็ดละ ๗๐ บาท ถ้าเป็นสมัยนี้ ๗๐ บาท ก็ตกเป็นเงินพม่าราว ๆ ๗,๐๐๐ กว่าจั๊ต เพราะว่าบาทหนึ่งแลกได้ประมาณ ๑๐๐ กว่าจั๊ตแล้ว..! ต้องบอกว่ารัฐบาลพม่าเก่งมาก ปี ๒๕๒๔ กระผม/อาตมภาพอยู่ชายแดนไทยพม่า เงินไทย ๒ บาท แลกเงินพม่าได้ ๑ จั๊ต ก็คือเงินพม่าใหญ่กว่าเราเท่าตัวหนึ่ง รัฐบาลทหารบริหารประเทศมาจนถึงปัจจุบัน เงินไทย ๑ บาทแลกเงินพม่าได้ ๑๐๐ กว่าจั๊ต เงินพม่าเล็กกว่าเรา ๑๐๐ กว่าเท่า..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-09-2024 เมื่อ 02:41 |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าอย่าหวังพึ่งรัฐบาล ไม่ว่าจะในประเทศไหนก็ตาม เราต้องยึดหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าสามารถทำการเกษตรอย่างที่วัดท่าขนุนทำต้นแบบเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นแปลงผักสวนครัวรั้วกินได้ หรือว่าแปลงเกษตรสาธิตเศรษฐกิจพอเพียงตามรอยศาสตร์พระราชา หรือแปลงเกษตรสาธิตโคกหนองนาในพระราชดำริ ต่อให้ไม่มีเงินไม่มีทองเราก็มีกิน
เพียงแต่ว่าพวกเราเคยชิน เคยชินกับการเอาเงินไปให้เศรษฐี ต้องบอกว่าน่าชื่นใจมาก ทุกคนมีใจเสียสละ มีจาคานุสติเป็นปกติ..! ก็คือเอาสตางค์ไปเข้าร้านสะดวกซื้อ เพื่อช่วยให้เศรษฐีรวยยิ่ง ๆ ขึ้นไป ไข่ไก่ต้มเองกับบ้านอย่างเก่งก็ฟองละ ๓ บาท วิ่งไปซื้อที่เขาต้มแล้วในร้านสะดวกซื้อ เจอไปฟองละ ๖ บาท..! แต่กูจะเอาอย่างนั้นเพราะว่าสะดวกดี กล้วยหอมซื้อทั้งหวีไม่กี่สิบบาท ไปซื้อในร้านสะดวกซื้อผลละ ๘ บาท ได้ยินแล้วจะเป็นลม..! ตอนที่เปิดบ้านเติมบุญใหม่ ๆ กระผม/อาตมภาพเคยนั่งแท็กซี่ แล้วเขามีรถไฟฟ้าสายสีม่วงผ่านบริเวณนั้น ถามคนขับแท็กซี่ว่ามีผลกระทบต่อรถแท็กซี่หรือเปล่า ? คนขับแท็กซี่บอก "ไม่มีหรอกครับ ตราบใดที่รถไฟฟ้าไปส่งคนถึงประตูบ้านไม่ได้ผมก็ยังไม่เดือดร้อน เพราะว่านิสัยคนไทยขี้เกียจครับ สองเสาไฟฟ้าก็หาเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างแล้ว ถ้ารถไฟฟ้าวิ่งไปส่งถึงหน้าประตูบ้านไม่ได้ รถแท็กซี่ยังหากินได้ตลอดเวลา" กระผม/อาตมภาพพิจารณาดูแล้วก็จริงของเขา..! เมื่อไรคนไทยเราจะขยันเสียบ้าง ? จะได้ช่วยประหยัดได้มากขึ้น เพราะว่าสิ่งที่เราจ่าย อย่างเช่นว่าค่ารถมอเตอร์ไซค์รับจ้างทีละ ๒๐ บาท ๕๐ บาท รวม ๆ กันแล้วมากทีเดียว มากพอ ๆ กับซื้อหวยทุกงวดนั่นแหละ..! แต่พวกเราไม่ค่อยจะคิด เพราะว่าอันดับแรกก็คือ ไม่เคยทำบัญชีรายรับรายจ่าย ในเมื่อไม่ทำ ไม่เห็นรายจ่ายเราจะไม่รู้สึกกลัว แล้วก็ใช้เงินแบบไม่คิดกันต่อไป ถึงเวลาก็เดือดร้อนต้องไปเป็นหนี้บัตรเครดิตบ้าง เป็นหนี้นอกระบบบ้าง เป็นหนี้ไฟแนนซ์บ้าง ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจนว่า อิณาทานัง ทุกขังโลเก การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก แต่เราก็ไม่ค่อยรู้สึกรู้สากัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-09-2024 เมื่อ 02:45 |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
ถ้าใครมีที่มีทาง สามารถปลูกอะไรที่สามารถกินได้ก็ปลูก ๆ เอาไว้บ้าง เพราะว่าสภาวะโลกเราแย่ขึ้นทุกวัน สงครามทำให้ข้าวของแพงทุกอย่างและหายากขึ้น บวกกับภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดภัยพิบัติภัยธรรมชาติต่าง ๆ แม้กระทั่งญี่ปุ่น ตอนนี้ก็ไม่มีข้าวจะกิน..! ต้นเหตุเกิดจากคนไทย "แบน" เกาหลีแล้วแห่ไปเที่ยวญี่ปุ่นแทน ทำให้ญี่ปุ่นมีข้าวไม่พอกิน ต้องเอามาขายให้กับนักท่องเที่ยวจนตัวเองไม่มีจะกิน..! คนละเรื่องกันก็กลายเป็นเรื่องเดียวกันได้ ถ้าตราบใดที่เรายังต้องพึ่งพานายทุน หรือว่าซื้อเขากิน ต่อให้มีเงินซื้อก็จะต้องแพงขึ้นไปเรื่อย ๆ
พระภิกษุสามเณรของเรานี่แหละเป็นบุคคลที่ต้องสำนึกก่อนเพื่อน แต่ไม่ค่อยคิดกัน ถึงเวลาบิณฑบาตมาได้เลือกฉันอีกต่างหาก ทั้ง ๆ ที่ญาติโยมกว่าจะซื้อขาวปลาอาหารมาใส่บาตรได้ ชุดหนึ่งก็ ๗๐ - ๘๐ บาท มีแค่ข้าวถุง กับข้าวถุง น้ำถ้วยหนึ่งเท่านั้น พูดง่าย ๆ ว่าค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาทใส่บาตร ๓ รอบหมดแล้ว แต่เราไม่เห็นความเดือดร้อนของญาติโยม เพราะว่ามองแต่ตัวเอง ก็คือไปบิณฑบาตกลับมาก็ฉัน แล้วลองคิดดูว่าคนที่เขาทำงานด้วยความเหนื่อยยาก ต้องสละเงินทองไปซื้อข้าวปลาอาหารมาถวาย ถึงเวลาถวายมาแล้วยังเลือกฉันอีก คนเห็นเขาจะคิดอย่างไร ? ยังโชคดีที่วัดเราข้าวปลาอาหารที่เหลือ เรานำไปให้คนป่วยติดเตียงบ้าง ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ บ้าง บรรดาทหารตำรวจที่อยู่เวรยามบ้าง พวกข้าวสารอาหารแห้งก็มอบให้กับโรงเรียนต่าง ๆ ดังนั้น..จึงไม่ได้ทิ้งขว้างเหมือนกับที่อื่นเขา เพราะว่าส่วนที่เหลือนอกจากนั้นก็ไม่พอเลี้ยงหมาที่มีอยู่เกือบ ๒๐๐ ตัว..! แต่ละวันต้องหุงข้าวหม้อมหึมาเผื่อหมาด้วย ที่บิณฑบาตมาแบ่งสันปันส่วนให้คนแล้ว เหลือไม่พอให้หมากิน..! ดังนั้น.. เรื่องของทางโลกเขาลำบากและเดือดร้อน พระเราต้องตระหนัก และถ้าสามารถช่วยชาวบ้านได้เท่าไรก็ต้องช่วยเท่านั้น ไม่ใช่ทำตัวเป็นนายชาวบ้านแล้วเสวยสุขอยู่ฝ่ายเดียว คนอื่นเขาหวังบุญหวังกุศลจากเรา ทำอย่างไรที่เราจะเป็นพระให้มากที่สุด เพื่อถึงเวลาญาติโยมทำบุญแล้ว จะได้บุญได้กุศลมากที่สุด ก็ขอฝากไว้เป็นข้อคิดสำหรับทุกท่าน สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-09-2024 เมื่อ 02:48 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|