|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#121
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ปัญหานี้อิสลามถามอาตมามาแล้ว ครั้งนั้นนั่งรถไฟไปสายใต้ด้วยกัน ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นอิสลาม เพราะเขาแต่งตัวเหมือนคนทำงานบริษัท นั่งไปครึ่งค่อนชั่วโมงเขาก็ยกมือไหว้ "อาจารย์ครับ..ผมเป็นอิสลาม ทางพระพุทธศาสนามีหลักการปฏิบัติหรือหลักธรรมอะไรที่ช่วยให้หมดทุกข์ได้บ้าง เพราะตอนนี้ผมมืดแปดด้าน แก้ความทุกข์ตัวเองไม่จบ" อาตมาจึงอธิบายให้เขาฟัง เขาเกิดศรัทธาอย่างไรก็ไม่รู้ สั่งอาหารมาเลี้ยง อาหารบนรถไฟมีข้าวต้มกับอาหารฝรั่ง อาตมาบอกว่า "เอาอาหารฝรั่งมาแล้วกัน เพราะอย่างน้อยก็มีขนมปังคู่หนึ่ง แต่ของโยมเขาไม่ต้องเอาหมูแฮมมา" ปรากฏว่าตู้เสบียงกลัวเขาจะขาดทุน เอาหมูแฮมมาจนได้ พอมาถึงเขาก็นั่งมองตาปริบ ๆ อาตมาจึงเอาส้อมจิ้มหมูมาไว้จานตัวเอง บอกว่า "ที่เหลือคุณกินไปก็แล้วกัน" ไปสายใต้บางทีก็เจออะไรที่ตลกมาก อย่างโยมที่เป็นการ์ดรถ มีหน้าที่ดูแลรถแต่ละตู้ เขาก็บอกว่า "เช้านี้ผมเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารนะครับพระอาจารย์ พระอาจารย์ฉันเนื้อหมูได้ไหมครับ ?" อาตมาได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ นี่เขาเห็นอาตมาเป็นอิสลามมาบวชใช่ไหมนี่ ? เนื่องจากเขาเองอยู่สายใต้ เขาถามผู้โดยสารเสียจนชิน แต่เขาลืมดูไปว่าอาตมาห่มจีวรมา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 29-06-2011 เมื่อ 14:00 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#122
|
||||
|
||||
![]()
เนื่องจากมีคนพิการมาที่บ้านวิริยบารมี พระอาจารย์จึงกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "ถ้าหากบุคคลพิการมีกำลังใจที่เข้มแข็ง เขาสามารถที่จะพัฒนาส่วนอื่นขึ้นมาใช้งานแทนได้ อย่างเด็กฝรั่งคนหนึ่งเกิดมาไม่มีแขนเลย แต่เขาใช้เท้าทำหลายสิ่งหลายอย่างได้ โดยเฉพาะตอนกินไอศกรีมช็อกโกแลต น่าอิจฉามากเลย เขาใช้เท้าคีบ ดูแล้วมีความสุขมาก
ก่อนหน้านี้ก็มีคุณจุ๋ม คุณจุ๋มไปวัดท่าซุงเป็นประจำ นั่งรถเข็นไป เพราะเป็นโปลิโอมาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นคนที่มีสุขภาพจิตดีมาก ร่าเริงเบิกบานได้ทั้งวัน เขาไม่รู้สึกว่าตนเองพิการเพราะไปไหนมาไหนได้ อย่างเวลาขึ้นรถสองแถว อาตมาก็คิดว่าเขาจะขึ้นได้อย่างไร ? แต่ที่ไหนได้ เขาใช้มือหนึ่งเหนี่ยวตัวเองขึ้นรถ ส่วนอีกมือหนึ่งหิ้วรถเข็นขึ้นตามไป เราเองมือเดียวไม่รู้จะยกไหวหรือเปล่า ? ตกลงเขาไม่ต้องพึ่งใครเลย ไปได้สบาย การที่เราเกิดมามีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ ถือว่าเราสร้างกรรมดีแต่เดิมมาเพียงพอแล้ว จึงต้องใช้ให้คุ้มกับความดีที่เราทำมา อย่าเป็นอย่างที่โบราณเขาบอกว่า "เสียชาติเกิด" เกิดมาแล้วไม่ได้ทำความดี ไม่ได้ทำความดียังพอทน กลับไปทำความชั่วอีกต่างหาก ถ้าอย่างนั้นกลายเป็นซ้ำเติมตัวเองมากขึ้น ชาติต่อไปอาจไม่ได้เกิดเป็นคน แต่ไปลงอบายภูมิแทน เพราะฉะนั้น..แม้ว่าบุคคลสภาพร่างกายจะพิการ แต่ถ้าสภาพจิตมุ่งมั่นอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา เกิดใหม่เขาดีกว่าเราแน่นอน เรื่องเหล่านี้เราดูเปลือกนอกไม่ได้ ต้องดูใจเขา กำลังใจเป็นอย่างไร ถ้าเป็นเราก็มานั่งตัดพ้อต่อว่าตัวเอง ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ? เวรกรรมอะไรก็ไม่รู้ ทำไมเป็นแค่เราคนเดียว ? แบบนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-06-2011 เมื่อ 03:31 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#123
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ...เป็นเนื้องอกในสมอง ?
ตอบ : ลักษณะนั้นต้องทำใจอย่างเดียวจ้ะ ทำใจให้สบาย ถึงเวลาเราก็รับ อาตมาเองเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ พอใกล้หายจะมีภาพนิมิตบอกให้รู้ว่าไปทำอะไรมาแล้วถึงเป็น ดังนั้น..โยมที่เจ็บป่วยอยู่ให้รู้ไว้เลยว่า ในอดีตเราต้องไปทำไม่ดีมาแน่นอน ถึงเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ต้องไปเสียใจ ไม่ต้องไปน้อยใจ เพราะส่วนใหญ่เราทำเขาถึงตาย เขาทำเราได้ถึงพิการถือว่าดีมากแล้ว ช่วงที่อาตมาทุ่มเททำรายงานส่งอาจารย์สามวันสามคืน พอสบายใจที่งานเสร็จแล้วจึงไปล้างหน้า เตรียมสวดมนต์ทำวัตร ตั้งใจว่าทำวัตร บิณฑบาต ฉันเช้าแล้วจะนอนให้ยันเย็นเลย แต่ตอนที่ล้างหน้าอยู่ เส้นหลังจมกึ้ก..! เส้นจมชนิดปวดแทบขาดใจ ยืดตัวไม่ขึ้น ก็เลยเดินเอียง ๆ ไปทำวัตร หลังทำวัตรบอกกับพระท่านว่า "ใครมีความสามารถ ช่วยมานวดผมหน่อย เส้นหลังผมจม ผมปวดจนกระดิกไม่ได้" พระท่านก็มานวดให้ อาตมาบอกว่า "เส้นหลังเส้นนี้จมให้กดด้านหน้าตรงนี้แล้วจะขึ้น" พระที่ท่านเชื่อฟังมาตลอด วันนั้นเกิดไม่ฟังขึ้นมาเสียอย่างนั้น ท่านไปกดแต่ข้างหลังตรงที่เจ็บ ยิ่งกดก็ยิ่งเจ็บหนักขึ้น ท้ายสุดเห็นว่าท่านไม่ทำตามที่บอก จึงบอกให้ท่านเลิกนวด เพราะยิ่งกดก็ยิ่งเจ็บ จึงทนกัดฟันเดินเอียงข้างไปบิณฑบาต กลับมาบอกกับน้องเล็กว่า "โทรเรียกป้ามิดให้หน่อย บอกว่าเส้นจมจะให้มานวด" ป้ามิดเป็นคนมอญ เขานวดเก่ง ฉันเช้าเสร็จแล้ว เราถามน้องเล็กว่า "ตกลงป้ามิดจะมากี่โมง ?" น้องเล็กก็ยืนเอ๋อ "อะไร..ให้เรียกป้ามิดด้วย ?" นี่วาระกรรมที่ยังไม่เปิด สั่งไปแล้วเขายังลืมหรือคิดว่าพูดให้ฟังเฉย ๆ พอโทรไป ปรากฏว่าป้ามิดบอกวันนี้ไม่นวด เพราะพวกมอญพม่าเขาจะถือวันลอยวันจมกัน ถ้าเป็นวันไม่ดีของเขา เขาจะไม่ทำงาน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 29-06-2011 เมื่อ 19:46 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#124
|
||||
|
||||
![]()
อาตมาก็บอกว่าให้เรียกหมอเทียนมา ปรากฏว่าหมอเทียนไม่ว่าง เพราะไปไร่ จึงต้องนอนทนเจ็บจนถึงวันรุ่งขึ้น ปวดอยู่วันหนึ่งกับอีกคืนหนึ่ง
วันรุ่งขึ้นป้ามิดมา อาตมาชี้บอกป้าว่าเส้นสะบักหลังจม ให้กดเส้นคอด้านหน้าให้ที ป้ามิดก็ไม่ทำตาม ป้าเขาบอกว่า "จมข้างหลังต้องดึงข้างหลังเท่านั้น" รู้ดีกว่าอีกแน่ะ..! ป้ามิดแกดึงเส้นอย่างกับหนังสติ๊ก จับได้ก็กระชาก ยิ่งดึงก็ยิ่งจม อาตมาปวดแทบตาย ในเมื่อป้าช่วยไม่ได้ ก็บอกป้าว่า "ป้าพอเถอะ เสียเวลาฉันว่ะ" แม่ชีเห็นสภาพนี้มาสองวันแล้ว ตอนฉันเพลแม่ชีจึงส่งยาให้กำหนึ่ง บอกว่าเป็นยาแก้ยอก ยาแก้ยอกที่พวกมอญพม่าเขานิยมกันนักหนา ความจริงเป็นยาคลายเครียด ตอนนั้นอาตมาเห็นว่ายาแก้ยอก คิดว่าเข้าท่า จึงถามว่ากินแล้วง่วงไหม ? เพราะจะทำงาน แม่ชีบอกว่าไม่ง่วงหรอกเพราะกินประจำ ฟังให้ดีนะประโยคนี้ แกกินประจำ แกเลยไม่ง่วง แต่พออาตมากินลงไปไม่ถึง ๕ นาที สลบหัวไถพื้นเลย ตอนที่เกือบสลบนั่นแหละที่ไปเห็นภาพในอดีตเข้า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 29-06-2011 เมื่อ 19:49 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#125
|
||||
|
||||
![]()
เห็นภาพว่าตัวเองเป็นทหาร กำลังรบกับฝ่ายตรงข้ามอยู่ ด้วยความที่ไม่อยากให้ลูกน้องต้องมาล้มตายเพราะตน ก็เลยท้าดวลกับแม่ทัพของฝั่งตรงข้าม เขาออกมา ๕ คน เป็นพ่อลูกกัน ส่วนของอาตมาก็คนเดียว..!
ตอนช่วงนั้นใจคิดวางแผนรบไว้เรียบร้อยเลยว่าจะทำอย่างไร เริ่มจากพุ่งเข้าหาขุนทัพตัวพ่อก่อน เขาใช้ขวานสองหน้าซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ถ้าเป็นสมัยนี้ก็บังตัวเกือบมิด ส่วนอาตมาใช้ทวน แค่ขนาดอาวุธก็เทียบกันไม่ได้แล้ว แต่สำคัญตรงที่ว่า ถ้ารู้เคล็ดลับเรื่องการใช้แรงก็จะได้เปรียบ พอพุ่งเข้าใส่เขาก็สวนมาด้วยขวาน อาตมารั้งม้ารอจังหวะที่เขาฟันลงมาจนเกินครึ่งค่อยออกทวน จังหวะที่ขวานฟันลงมาครึ่งแรก แรงปะทะจะมาก แต่ครึ่งหลังขวานจะเป็นตัวถ่วง พอออกทวนเท่ากับชักนำขวานที่ออกตัวอยู่แล้วให้ผิดทิศไป จนกระชากเขาเซไปทั้งคนทั้งม้า พอเขาเซไปอาตมาก็กระชากม้ากลับ คนแรกที่อยู่ใกล้ที่สุดโดนเลย แทงด้วยทวนเข้าคอหอยพอดี..! ฝ่ายตรงข้ามมัวแต่ตะลึงอยู่ อาตมาอาศัยจังหวะนั้นเหน็บทวนไว้ข้างขา เพราะเท้ากับโกลนติดกันอยู่ หนีบทวนไว้แล้วดึงเกาทัณฑ์ขึ้นมา เอี้ยวตัวยิงอีกฝ่ายที่กำลังล้อมเข้ามาด้านหลัง โดนคนหนึ่งเข้าเต็ม ๆ ตรงซอกคอทางขวาตกหลังม้าไป แต่เท้าเขาติดอยู่กับโกลนม้า โดนม้าลากไปเป็นทาง รับประกันว่าตายแน่..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-03-2019 เมื่อ 03:42 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#126
|
||||
|
||||
![]()
พอชักม้ากลับก็กระตุ้นม้าพุ่งเข้าปะทะคนที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมาบังคนแรกที่เป็นพ่อไว้ รวบตัวได้แบบจับเป็น ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าสู้ไม่ได้แน่ก็ถอย เพราะว่าเพิ่งจะปะทะกันไม่เท่าไรก็ตายไปสองคนแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งโดนจับเป็นได้
พอเขาถอยไป ทหารของเราก็เอาศพฝ่ายตรงข้ามมาให้ดู สมัยนั้นถ้าไม่ตัดหัวมาก็จะหิ้วมาทั้งตัว อาตมาสำรวจศพ คนหนึ่งคอหอยโดนทวน คนหนึ่งโดนลูกเกาทัณฑ์เข้าตรงข้างคอตรงนี้ อาตมาก็เข้าใจทันที เพราะที่เจ็บก็คือตรงนี้พอดีเลย สิ่งที่ทำไว้ถึงเวลาเขามาเอาคืน เจ็บอยู่แค่สองวันแต่ทำเขาตายไปถึงสองศพ ดังนั้น..ในส่วนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นแค่เศษกรรม เหมือนกับเป็นหนี้เขา ๒๐ ล้าน เขาขอคืน ๒๐ บาทก็ให้ไปเถอะ ถ้ายิ่งสามารถรู้ได้ว่าเราเป็นอย่างนี้เพราะอะไร ใจก็จะสบาย ว่าที่แท้เราทำเขามาเยอะ เขาเอาแค่นี้ก็ให้เขาไป ฉะนั้น..ยถากัมมุตาญาณช่วยได้ดีมากเลย ดีตรงที่เรารู้ว่าสร้างกรรมอะไรไว้ ใจเราจะได้ยอมรับได้ เพราะเราทำเองเราถึงเจอ ลองอย่างอาตมาบ้างไหม ? เกเรเขาไว้มาก ตอนแรกหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกให้ไปปล่อยปลาทุกเดือน จะได้บรรเทากรรมตรงนี้ เพราะเกิดเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขาไว้ทุกชาติ อาตมาก็มาคิดว่า กรรมของเราจะหนักขนาดนั้นเชียวหรือ ? พอป่วยเช้าป่วยเย็นถึงรู้ว่าหนักขนาดนั้นจริง ๆ ที่กล่าวมานี้เพื่อให้นึกถึงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า กรรมเป็นของน่ากลัว ถ้าหากถึงวาระ ไม่ว่าจะไปหลบอยู่ที่ไหนก็หนีกรรมไปไม่พ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-03-2019 เมื่อ 03:42 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#127
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ถ้าเรานึกถึงพระ แต่เป็นตอนที่พระกำลังทำไม่ดี เป็นสังฆานุสติหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นสังฆานุสติ แต่จะมีกิเลสมารคอยชักจูงให้เราออกนอกทาง ถ้าใจเราหมองตอนนั้นก็เสร็จเหมือนกัน ถาม : สังฆานุสติสำคัญตรงท่าทางที่เราจับได้หรือเปล่า ? ตอบ : สำคัญที่กำลังใจทรงไว้โดยปราศจากนิวรณ์รบกวน นึกถึงชื่อท่านก็ได้ นึกถึงหน้าตาท่านก็ได้ นึกถึงความดีท่านก็ได้ ถ้านึกถึงความดีได้ถึงจัดว่าเป็นสังฆานุสติจริง ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2011 เมื่อ 03:24 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#128
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : แปลว่ากำลังใจเรายังไม่ทรงตัวจริง ถ้ากำลังใจเราทรงตัวจริง กิเลสตัณหาต่าง ๆ จะแทรกไม่ได้ เพราะฉะนั้น..เมื่อเราแผ่เมตตาทรงอารมณ์จนกระทั่งสบายใจแล้ว ให้ภาวนาต่อไปเลย ภาวนาจนเราสามารถทรงฌานอย่างน้อย ๆ ปฐมฌานละเอียดขึ้นไป แล้วรักษากำลังนั้นไว้ พวกกิเลสตัณหาต่าง ๆ ที่เกิดจากราคะ โทสะ โมหะ จะเข้ามากวนเราไม่ได้ โดยเฉพาะผู้หญิงกับผู้ชายนี่ลำบากมาก พอถึงเวลาเราเมตตาเขา สงเคราะห์เขา ตัวกูของกูต้องโผล่มาทันทีว่า "เขาต้องชอบเราแน่เลย" จากเมตตาก็กลายเป็นตัณหาไป ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีสติสัมปชัญญะก็ให้ความร่วมมือด้วย แทนที่จะพากันขึ้น ส่วนใหญ่ก็พากันลง ดังนั้น..ในเรื่องของผู้หญิงและผู้ชาย ถ้าจะเมตตาสงเคราะห์กัน ต้องมีเส้นแบ่งของตัวเองไว้เสมอ สมัยก่อนตอนเป็นฆราวาสอยู่ เวลาอาตมาไปวัด จะมีน้องผู้หญิงไปด้วย ๘-๑๐ คนเป็นประจำ แต่อาตมาขีดเส้นไว้แน่นอนแล้ว ระบุไว้ชัดเลยว่า เธอจะให้เป็นพ่อก็เป็นให้ เป็นพี่ก็เป็นให้ เป็นน้องก็เป็นให้ เป็นลูกก็เป็นให้ แต่เป็นผัวเธอฉันไม่เอา..! ในเมื่อระบุไว้ชัด เขาก็ไม่กล้ามาตอแยทางนี้ เพราะฉะนั้น..ต้องมีเส้นที่แน่นอนของตัวเองอยู่ ถ้าไม่มีแล้วล้ำเส้นเมื่อไร สิ่งที่เราทำอยู่ก็จะเสียหายมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-01-2019 เมื่อ 20:07 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#129
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จริง ๆ แล้วสำคัญเท่ากันทุกตัว แต่เขาพยายามสร้างสติให้ทรงตัวที่สุด เพื่อใช้สติควบคุมตัวอื่นให้เจริญ ในเรื่องของอินทรีย์ ๕ หรือพละ ๕ ก็ตาม ท่านเปรียบไว้ว่าเหมือนรถม้าที่เทียมด้วยม้า ๕ ตัว ม้าที่ชื่อสติ จะนำหน้า ม้าที่ชื่อวิริยะกับสมาธิจะตีคู่กันไป ม้าที่ชื่อศรัทธากับปัญญาจะต้องตีคู่กันไป ถ้าศรัทธาเกินจะเป็นอธิโมกขศรัทธา ปัญญาไม่มีก็จะเชื่อแบบงมงาย ถ้าปัญญาเกินก็จะจด ๆ จ้อง ๆ ไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัวผิดพลาด ถ้าวิริยะความเพียรมากจนเกินไป สมาธิสูงเกินหนักเกิน จะพิจารณาวิปัสสนาญาณไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ในส่วนของศรัทธากับปัญญาต้องเสมอกันเป็นคู่ที่หนึ่ง ในส่วนวิริยะกับสมาธิต้องเสมอกันเป็นคู่ที่สอง แต่ในส่วนของสติ ท่านบอกว่ายิ่งมีมากยิ่งดี ดังนั้น..ถ้าเราเห็นรถเทียมม้า ๕ ตัววิ่งไป ตัวสติจะนำหน้า ตามมาด้วยคู่ของวิริยะกับสมาธิ และคู่ของศรัทธากับปัญญา แต่ทั้งปวงแล้วต้องเป็นผู้มีปัญญาก่อน จึงจะเห็นว่าอะไรดีแล้วควรทำ หลังจากนั้นต้องประกอบไปด้วยศรัทธาจึงอยากที่จะทำ เมื่อทำดังนั้นได้แล้ว ก็ต้องมีวิริยะคือพากเพียรทำไปจนสมาธิทรงตัว สมาธิที่ทรงตัวนั้นแหละ สติก็จะเกิดขึ้น ปัญญาก็จะเกิดขึ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2011 เมื่อ 03:27 |
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#130
|
||||
|
||||
![]()
ดังนั้น..การปฏิบัติของเราจะต้องทำทุกอย่างให้เสมอกัน แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่พวกเราจะไปหย่อนเรื่องสมาธิ
บางท่านอธิบายไว้ว่า "ใช้แค่อุปจารสมาธิแล้วลดกำลังของตัวอื่นให้มาเสมอกัน เมื่ออินทรีย์เสมอกันความก้าวหน้าจึงจะมี" อาตมาไม่เห็นด้วย เพราะกำลังอุปจารสมาธิต่อต้านราคะกับโทสะไม่ได้ เราควรจะเร่งสมาธิไปจนถึงฌานสี่เลย แล้วดึงเอาตัวศรัทธา วิริยะ ปัญญาตามไปด้วย ถ้าทำอย่างนั้นได้เราจะระงับเรื่องราคะและโทสะลงได้ ตัณหาต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะกินใจเราได้ เพราะกำลังของเราสูงพอที่จะระงับยับยั้งเอาไว้ แล้วค่อยใช้ปัญญาไปพิจารณาตัดละเอาทีหลัง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-01-2019 เมื่อ 20:12 |
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#131
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เราสอนใครสักคน สอนเขาตามที่เราเข้าใจ และเราก็คิดตามไปด้วย จนเราทรงฌาน มีไหมครับ ?
ตอบ : มี..เพราะว่าสอนเขาแล้วเราได้ด้วย เท่ากับสอนตัวเอง ถาม : เป็นกิเลสไหมครับ? ตอบ : ถ้าอยากสอนจะเป็นกิเลส ถ้าสงเคราะห์เพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เป็นไร ถาม : ก็คือสิ่งที่เราปรุงแต่งเอง ? ตอบ : จะปรุงแต่งแต่ก็เป็นในส่วนที่เราชำนาญ ถ้าเขาต่ำกว่าก็ลากเขามาเถอะ ถ้าเขาสามารถไปเหนือกว่าเราได้ ก็ถีบส่งไปเลย ถาม : ถ้าเรานึกถึงสิ่งที่เราทำมาบ่อย ๆ เราก็จะก้าวหน้า ? ตอบ : ไม่ใช่แค่นึก แต่ต้องซักซ้อมของเก่าเอาไว้เสมอ เราจะได้มีความชำนาญและคล่องตัวขึ้น ถ้าอย่างเรื่องสมาธิก็จะปรับมาเป็นฌานใช้งาน จะมีความเบาความสบาย ไม่หนักเหมือนสมาธิที่เราฝึกหัด ถาม : แล้วเราจำเป็นต้องกลับไปทำตามแบบแผนไหมครับ ? ตอบ : ถ้ามีโอกาสทำตามแบบแผนได้ ให้เราทำ เพื่อประกันความเสี่ยง ถ้าไม่มีโอกาสก็ข้ามขั้นไปเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 30-06-2011 เมื่อ 15:13 |
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#132
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : คนที่มีสมาธิมาก ๆ เขาจะมีสติมากหรือเปล่า?
ตอบ : สติจะมั่นคงตามไปด้วย สมาธิยิ่งทรงตัวมากเท่าไร สติจะยิ่งมั่นคงมากเท่านั้น ที่บอกว่านั่งเงียบไปเฉย ๆ ความจริงเขานั่งอย่างมีสตินะ เพราะข้างในรู้อยู่ตลอด เพียงแต่ไม่อยากจะคลายออกมาเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2011 เมื่อ 03:32 |
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#133
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ตัวราคะก่อให้เกิดความทุกข์อย่างไร ?
ตอบ : โอ้พระเจ้า..ทุกข์หยาบขนาดนี้ยังมองไม่เห็น..!ในเมื่อเรายินดี ก็จะเกิดความอยากมีอยากได้ ก็คือตัวกำหนัดขึ้นมา ก็ต้องไปแสวงหา ขึ้นชื่อว่าการดิ้นรนแสวงหาแม้เป็นความคิดก็ทุกข์แล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงการตะเกียกตะกายไปหามาให้ได้นะ ถาม : แต่การทำให้อยาก ก็ต้องเกิดจากการ..? ตอบ : สำคัญว่าเราไปถูกทางไหม ? ถ้าไปถูกทางก็เป็นฉันทะ ถ้าไปไม่ถูกทางก็เป็นตัณหา สรุปง่าย ๆ ว่า ถ้าความอยากช่วยให้เราพ้นทุกข์เป็นฉันทะ ถ้าความอยากเพิ่มทุกข์ให้เราก็เป็นตัณหา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2011 เมื่อ 03:33 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#134
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : การอยากเป็นพระพุทธเจ้าเป็นตัณหาไหมครับ ?
ตอบ : เป็นตัณหาพาสู่พระนิพพาน เพราะว่าทุกข์หลายชาติเหลือเกิน ถาม : แต่การอยาก บางทีอาจจะเป็นการ..? ตอบ : แค่คิดก็ทุกข์แล้ว ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องอื่นเลย ในเมื่อแค่คิดก็ทุกข์ เรื่องอื่นที่ไม่ทุกข์นั้นไม่มี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2011 เมื่อ 03:34 |
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#135
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เราฝึกสมาธิบ่อย ๆ จับอารมณ์พระนิพพานบ่อย ๆ อารมณ์ก็เบา เย็นใจบ่อย ๆ ทำไมเราถึงไม่มีความรู้สึกอยากไปพระนิพพานเลย?
ตอบ : ผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณอย่างคุณ ศึกษาพระนิพพานเพื่อไปสั่งสอนคนอื่น ยิ่งรู้แจ้งมากเท่าไร ยิ่งสั่งสอนได้ถนัดมากเท่านั้น ผู้ที่ปรารถนาสาวกภูมิ ศึกษาพระนิพพานเพื่อความหลุดพ้น จึงคนละวัตถุประสงค์กัน ดังนั้น..ตราบใดที่คุณยังไม่ตัดใจลาพระโพธิญาณเสีย ตราบนั้นก็ไม่คิดที่จะเลิก ต่อให้รู้จักพระนิพพานช่ำชอง อารมณ์เทียบเท่ากับพระอรหันต์ก็ไม่ตัด เพราะฉะนั้น..จงลำบากต่อไป ขอโมทนาด้วย ถาม : อารมณ์นั้นต้องเกิดขึ้นเองจริง ๆ ด้วยใช่ไหมครับ ? ตอบ : ต้องเกิดจากความเบื่อหน่ายของตัวเอง ไม่อยากไปแล้ว คนอื่นแนะนำไม่ได้หรอก คุณจะเห็นว่ารู้จักกันมา ๒๐ กว่าปี เคยแนะนำให้ลาไหมเล่า ?เปล่า ..อยากไปไหนก็ไปเลย ตรงไหนถีบส่งได้ก็ถีบ ถ้าเข็ดเดี๋ยวก็เลิกเอง ถ้าไม่เข็ดก็เชิญไปต่อ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-01-2019 เมื่อ 20:19 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#136
|
||||
|
||||
![]()
เดือนก่อนไปวัดท่าซุง เจอเพื่อนรุ่นน้องที่เคยบวชอยู่ด้วยกันที่นั่น เพื่อนคนนี้มีคุณูปการมาก เพราะช่วงที่อาตมาบวชใหม่ ๆ ประมาณพรรษาที่ ๒-๓ มีแต่คนมาหาชนิดที่น่ากลัวมาก
ช่วงนั้นอาตมาทำหน้าที่รับโยมเข้าพัก ทุกคนที่มาวัด ถ้าไม่มีที่พักเฉพาะของตัวเองจะต้องผ่านมืออาตมาก่อน คนมาวัดเยอะแล้วดันทะลึ่งมาชอบใจอาตมา มาถึงแล้วไม่ยอมไปไหน ไล่ไปหาหลวงพ่อก็ไม่ไป บางคนถึงกับบอกว่า "ตั้งใจมาหาท่านเท่านั้น" อาตมาก็ซวยเท่านั้น มาวัดแล้วไม่ไปหาหลวงพ่อ หาเรื่องให้อาตมาโดนไล่ออกจากวัดแล้ว พอดีพรรษานั้นท่านนันทชัย มาเกิด (ฉายา สุธมฺมเทวธมฺโม) บวชเข้ามา อาตมาเห็นหน้าก็รู้ว่าเป็นพวกเดียวกันแน่นอน พระโพธิสัตว์แน่เลย วันนั้นนั่งทำวัตถุมงคลอยู่ด้วยกัน ก็คือ วัตถุมงคลของวัดท่าซุง บางส่วนก็ผลิตจากโรงงาน บางส่วนก็แรงงานพระผลิตกันเอง ทำกันไปก็นั่งคุยกันไป บอกท่านว่า "ผมเห็นหน้าคุณก็รู้ว่ามาสายพระโพธิญาณ ผมลาแล้ว..คุณจะลาไหม ?" ท่านบอกว่า เหมือนกับว่าทำงานบางชิ้นมาจวนจะเสร็จอยู่แล้ว อยู่ ๆ ให้ทิ้งงานไปท่านทำใจไม่ได้ เราบอกกับท่านว่า "ผมเองอยากลา แต่บริวารผมเยอะเหลือเกิน ดูท่าว่าเขาจะตามไม่ทัน ขอฝากท่านไว้ได้ไหม ?" ท่านตอบแบบไม่คิดเลยนะว่า "ได้..ขออย่างเดียว ถ้าหลวงพี่ไปสบายแล้วย้อนกลับมาช่วยผมบ้าง" อาตมารีบสาธุ ถ้าสบายแล้ว เรื่องอื่นเรื่องเล็ก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ คนที่มาสุดเหนือสุดใต้ที่เขามาหาอาตมา หายไปเลย กระแสขาดลงจริง ๆ เขาก็ต้องหันไปตามผู้นำคนใหม่ของเขา เวลาที่วัดท่าขนุนจัดงานแต่ละครั้ง ที่โยมเห็นว่าคนเยอะแยะนั้น คนที่อาตมาต้องรับผิดชอบจริง ๆ มีไม่กี่คนหรอก นอกนั้นส่วนมากเป็นเด็กฝาก มีเด็กฝากของพระศรีอาริยเมตไตรย เด็กฝากของท่านปู่ท่านย่า ที่สำคัญที่สุด ไม่อยากรับไว้เลย ก็คือเด็กฝากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพวกนี้ขนาดพระองค์ท่านยังเข็นไม่ไป อาตมาจะไปเก่งกว่าท่านได้อย่างไร แต่ละคนสุดยอดจริง ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2011 เมื่อ 03:41 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#137
|
||||
|
||||
![]()
ช่วงนั้นที่วัดท่าซุงฝึกมโนมยิทธิ ถ้าคนไหนที่หลวงพี่อาจินต์เอาไม่อยู่ ท่านจะวิ่งรถมารับหลวงตาวัชรชัยไป วันนั้นทั้งหลวงพี่อาจินต์และหลวงตาวัชรชัยนั่งรถมาด้วยกัน "เฮ้ย..เล็ก มาช่วยหน่อยซิ เจ็ดวันแล้วมันยังไปไหนไม่ได้เลย" อาตมาก็คิดว่าจะแน่สักแค่ไหนกัน..ต้องลองดู
โอ้..ตั้งแต่เที่ยงครึ่งยันบ่ายสองโมง เขาไปได้แค่จุฬามณี อาตมาเองแค่วินาทีเดียวก็ทะลุไปจนถึงชั้นไหนแล้วไม่รู้ ? รู้ไหมว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? เขาตามดูบันไดทีละขั้น ทำอย่างกับจะลอกแบบไปสร้างจุฬามณีเอง..! ใครที่เป็นครูฝึกก็รู้สึกหนักหนาสาหัสทั้งนั้น เหมือนกับฉุดรถไฟทั้งขบวนด้วยมือเปล่า ๆ หรือไม่ก็เข็นเรือทรายบนบก ถึงได้เข้าใจที่หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าเป็นคนของสมเด็จองค์ปัจจุบันท่าน เหมือนกับคุณเข็นเรือเกลือบนบก พอดีเป็นวันที่ ๗ วันสุดท้าย ก็เลยพาเขาไปได้แค่นั้น จึงบอกว่า "ต่อไปคุณใช้วิธีนี้ แล้วก็ไปค่อย ๆ ดูเอง เพราะว่าทางวัดเขาให้อยู่ได้ ๗ วัน วันนี้วันสุดท้ายแล้ว" ถ้ามีวันรุ่งขึ้น อาตมาคงตายเอง เข็นไม่ไหวหรอก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2011 เมื่อ 03:43 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#138
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : วิสัยพุทธภูมิต่างจากเรา เราเดินขึ้นบันไดมา บันไดมีกี่ขั้นบางทีเราก็ยังไม่รู้ แต่พุทธภูมินอกจากต้องรู้ว่าบันไดมีกี่ขั้นแล้ว ต้องรู้ว่ากว้างยาวเท่าไร ? สร้างมาจากวัสดุอะไร ? ด้วยวิธีการอย่างไร ? ท่านต้องศึกษาให้ครบเพื่อพร้อมที่จะสร้างบันไดใหม่เลย เจอนันทชัยเมื่อเดือนก่อนที่วัดท่าซุง ยังคงเหมือนเดิม บอกว่า "ไม่เลิกครับ" ทุกข์แค่ไหนก็สู้ ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าไปรษณีย์อยู่ที่อยุธยา บอกว่า ถ้าผ่านไปอยุธยา แวะไปให้เขาเลี้ยงเพลบ้าง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2011 เมื่อ 02:32 |
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#139
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : พวกบริวารที่ตามผมมา ไม่น่าจะมีนะ
ตอบ : เรายังต้องไปอีกไกล แต่ละชาติจะมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ถาม : พวกที่ลาพุทธภูมิ เขาไม่ได้ตั้งใจหรือเตรียมตัวมาก่อน ตอบ : มาเปลี่ยนใจทีหลังเยอะแยะไป พอเห็นอะไรดีกว่าก็ไปแล้ว แบบที่พระกุมารกัสสปะท่านเปรียบเทียบให้ฟัง ตอนแรกสองสหายไปเจออุจจาระแห้ง สองสหายก็โกยอุจจาระแห้งใส่ห่อทูนศีรษะไป เดินไปเจอเชือกปอ รายหนึ่งก็เทอุจจาระแห้งทิ้ง เอาเปลือกปอไป รายหนึ่งไม่ยอมทิ้งอุจจาระ ยังคงแบกไป พอเดินไปอีกหน่อยเจอด้ายป่าน รายแรกทิ้งเปลือกปอมาเอาด้ายป่าน แต่อีกรายก็ยังประคองอุจจาระต่อไป เดินไปอีกหน่อยเจอผ้า รายแรกก็หอบผ้าไป ส่วนอีกรายยังยึดมั่นในห่ออุจจาระอยู่ จนกระทั่งไปเจอเงินเจอทอง อีกฝ่ายแรกก็เลือกเอา ส่วนอีกรายหนึ่งก็ยังคงแบกห่ออุจจาระไปเรื่อย พระกุมารกัสปปะท่านเปรียบว่า พระเจ้าปายาสิเหมือนคนทูนห่ออุจจาระอยู่ ฝนตกไหลเลอะเปรอะเปื้อนอย่างไรก็ไม่ยอมทิ้ง เหมือนกับพระเจ้าปายาสิที่ไม่ยอมเลิกทิฐิ พระเจ้าปายาสินั่งหัวเราะ ท่านบอกว่าจะเปลี่ยนใจตั้งแต่แรกแล้ว แต่ฟังพระคุณเจ้าเปรียบเปรยแล้วสะใจดี อยากฟังให้เยอะ ๆ เราลองไปดูในปายาสิราชัญญสูตรในพระสุตตันตปิฎก เป็นสูตรที่นักเทศน์หรือนักโต้วาทีควรจะศึกษาไว้ อีกอย่าง คือมิลินทปัญหา พระนาคเสนท่านตอบได้ฉะฉานแจ่มแจ้งจริง ๆ ในชินบัญชรคาถา ท่านกล่าวถึงพระกุมารกัสสปะว่า กุมาระกัสสะโป เถโร มะเหสี จิตตะวาทะโก ผู้เป็นใหญ่ในการใช้วาทะอันวิจิตรพิสดาร ท่านเปรียบเปรยได้สุดยอดมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2011 เมื่อ 02:35 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#140
|
||||
|
||||
![]()
พระเจ้าปายาสิเชื่อว่าคนตายแล้วสูญ จึงสั่งให้นำคนมาชำแหละหาวิญญาณ ก็คือหาดวงจิต หาเท่าไรก็ไม่เจอดวงจิต พระกุมารกัสสปะจึงอธิบายโดยเปรียบว่า อาจารย์บอกลูกศิษย์ให้รักษากองไฟเอาไว้ ลูกศิษย์มัวแต่ไปเล่นกันจนเพลิน พอไฟดับ ทีนี้ไม่รู้วิธีจุดไฟ ก็เลยเอาขวานมาผ่าฟืนเพื่อหาไฟ เพราะไฟเกิดจากฟืน..ใช่ไหม ? แต่ไฟไม่ได้อยู่ในฟืน หาไปคงจะเจอหรอก
ตอนที่พระเจ้าปายาสิเปรียบเทียบได้เจ็บปวดที่สุด ก็คือ "ญาติมิตรสาโลหิตที่สนิทสนมกัน พอใกล้ตายโยมก็ไปสั่งไว้ว่า ถ้าตายแล้วลงนรกให้มาบอกด้วย แต่ไม่มีใครมาบอกเลย โยมจึงเชื่อว่าตายแล้วสูญ" พระกุมารกัสสปะกล่าวว่า "ดูก่อนมหาบพิตร..ถ้ามีนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ต้องนำไปตระเวนบก ตระเวนน้ำ อย่างละเจ็ดวัน เป็นการประจานความชั่วแล้วค่อยนำไปประหาร เขาขออนุญาตลากลับบ้านเพื่อไปบอกลูกบอกเมียก่อน พระองค์จะปล่อยไปหรือไม่ ?" พระเจ้าปายาสิบอกว่า "ปล่อยได้อย่างไร ? มีแต่ต้องเร่งประหารเท่านั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2011 เมื่อ 02:38 |
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|