|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#121
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระแก้วมรกตเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูฝนไปเมื่อวานนี้ ใครเคยชินกับทรงเครื่องฤดูร้อน ถ้าไปกราบระยะนี้ ๔ เดือน ก็จะเห็นเครื่องทรงฤดูฝน พอไปแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๒ ก็จะเป็นเครื่องทรงฤดูหนาว
เครื่องทรงพระแก้วเป็นชุดใหม่แล้ว ชุดเก่าเขาจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ ก็คือพิพิธภัณฑ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญกษาปณ์ ไม่ทราบว่าโยมเสียเงินหรือเปล่า ? ส่วนพระนั้นเข้าฟรี ด้วยความประณีตของศิลปกรรมและการแบ่งลำดับชั้นตามศักดิ์ ทำให้เครื่องประกอบยศต่าง ๆ ของบรรดาเชื้อพระวงศ์แตกต่างกัน เครื่องราชอิสริยาภรณ์แต่ละชั้นก็แตกต่างกันไป พวกเราถ้ามีโอกาสก็ไปศึกษาดู อะไรเก่า ๆ จำได้ก็เอาไปเล่าให้ลูกหลานฟังบ้าง เดินวนรอบวัดพระแก้วสักรอบหนึ่ง แล้วเอาไปบอกลูกหลานได้ว่าประตูมีชื่อว่าอะไรบ้างก็พอแล้ว ไล่ตั้งแต่พิมานเทเวศน์ วิเศษไชยศรี มณีนพรัตน์ สวัสดิโสภา เทวาพิทักษ์ ฯลฯ จะเห็นความประณีตของคนโบราณ แม้กระทั่งชื่อประตูยังตั้งชื่อเอาไว้คล้องจองไพเราะเพราะพริ้ง แม้บรรดาป้อมค่ายต่าง ๆ ที่เอาไว้ป้องกันข้าศึกก็ยังมีชื่อไพเราะ สมัยก่อนเขามีป้อมป้องปัจจามิตร ปิดปัจจานึก ฮึกเหี้ยมหาญ ผลาญไพรีราบ ปราบศัตรูพ่าย ทำลายปรปักษ์ หักดัสกร พระนครรักษา ฯลฯ ปัจจุบันเรารู้จักแต่ป้อมปราบศัตรูพ่าย เหลือแต่ชื่อ ตัวป้อมหายไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ป้อมมหากาฬอยู่ใกล้ ๆ วัดสระเกศ มีเวลาก็ไปศึกษาดูบ้าง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-08-2012 เมื่อ 10:40 |
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#122
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านใดที่จะตั้งชื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิกเว็บวัดท่าขนุน กรุณาใช้ชื่อเป็นภาษาไทยที่ถูกต้อง ถ้ามีชื่อพิลึกพิลั่นเข้าไป ต่อให้เป็นชื่อจริงก็โดนลบออกจากระบบ
สมัยนี้เป็นสมัยที่อาตมาอึดอัดใจมาก เพราะว่าญาติโยมจำนวนมากถือมงคลกันเกินเหตุ ตั้งชื่อมาแปลไม่ได้ หรือแปลได้ความหมายก็พิลึกพิลั่น เพราะต้องการให้เลขรวมกันแล้วเป็นมงคลอย่างเดียว ก็เลยมีชื่อที่อาตมาอ่านไม่ออกเยอะแยะไปหมด หรืออ่านออกก็สะดุ้งว่าเขาตั้งมาได้อย่างไร อย่างเช่น ณภัทร แปลว่าไม่เจริญ ณเดช แปลว่าไม่มีอำนาจ ณพล แปลว่าไม่มีกำลัง ตั้งชื่อมาได้..แสดงว่าเขาเป็นผู้ปล่อยวางแล้ว ไม่เห็นความสำคัญของชื่อ ถ้าไปปฏิบัติธรรมน่าจะก้าวหน้าเร็ว..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-08-2012 เมื่อ 10:42 |
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#123
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่นี้อาตมาขึ้นไปข้างบน ตั้งใจจะนอนพัก ปรากฏว่ามีนักเลงดีมาผลักประตูเพื่อจะเปิด เสียงดังโครม อาตมาก็เลยตื่น เมื่อกลางวันอาตมาจะพัก ก็มีรถมาขายผลไม้ เสียงจากลำโพงดังใส่ห้องพอดี ส่วนเมื่อเช้าจะพัก คณะสิงโตก็มาซ้อมกัน ตีกลองดังสนั่นหวั่นไหว
เพราะฉะนั้น..ใครที่ขึ้นไปผลักประตูเมื่อครู่โปรดทราบ ท่านทำให้อาตมาได้งานเยอะเลย เพราะอาตมาเป็นคนตื่นง่าย ในเมื่อนอนไม่ได้ก็นั่งเตรียมการสอนไปเรื่อย อาจจะเป็นเพราะเคยชินว่า ถ้าตื่นแล้วต้องลุกเลย จึงทำให้นอนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพอตื่นแล้วไม่ลุกก็จะนอนเลื้อยไปเลื้อยมา ตามใจกิเลสจนเคยตัว เดี๋ยวก็เคยชินในทางที่ไม่ดี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-08-2012 เมื่อ 10:43 |
สมาชิก 228 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#124
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ขอปรึกษาเรื่องปัญหาการซื้อขายที่ดิน ?
ตอบ : เอาอย่างนี้..ไปบนเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ให้ท่านช่วยสงเคราะห์เรื่องนี้ให้จบลงโดยง่ายด้วย แต่การบนเสด็จในกรมฯ นี่แปลก เวลาบนเราต้องจัดของบนท่าน ๑ ชุด เมื่อสำเร็จต้องจัดของแก้บนท่านอีกชุดหนึ่ง สรุปว่าได้หรือไม่ได้ก็จ่าย ๑ ชุดก่อน ของบนเสด็จในกรมฯ ต้องใช้หมูต้ม ๑ ชิ้น อย่างน้อยครึ่งกิโลกรัม ถ้าได้หัวหมูยิ่งดี ไก่ต้ม ๑ ตัว ข้าวปากหม้อ ๑ ถ้วย ขนมจีนน้ำพริก ๑ ชุด ทองหยิบ ฝอยทอง แล้วแต่มากน้อย ของทั้งหมดวางบนผ้าขาวที่ปูกลางแจ้ง จะตั้งโต๊ะกลางแจ้งก็ได้ การบนถ้าเป็นช่วงเช้าต้องเป็นเวลา ๐๗.๕๐ น. ช่วงบ่ายต้องเวลา ๑๔.๕๐ น. ต้องตรงเวลาเลยเลยนะ ผิดไม่ได้ แปลว่าต้องเตรียมของไว้ก่อน พอถึงเวลาก็จุดธูปบอกท่าน ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์เรื่องนี้ให้จบลงโดยง่าย แล้วเราจะถวายเครื่องแก้บนให้อีกชุดหนึ่ง ถาม : ไปบนที่ไหนดีครับ ? ตอบ : ทำที่บ้านเราได้ ตั้งโต๊ะกลางแจ้งปูผ้าขาว เอาของทั้งหมดวางข้างบน ถึงเวลาก็จุดธูป ๕ ดอกบอกกล่าวท่าน ขอให้ท่านให้ช่วยสงเคราะห์ ไม่ต้องมีรูปท่านหรอก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2012 เมื่อ 09:57 |
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#125
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอของที่ให้ประมูลหมดแล้ว จะเอาเบี้ยแก้ตัวครูของหลวงปู่เจือมาให้ ขนาดใหญ่กว่ากำปั้นหน่อยหนึ่ง มีปัญญาก็แขวนคอเอา หลวงปู่เจือท่านเมตตาจารไว้ให้ วิชานี้อาตมาทำอย่างไรก็ไม่ขลังเท่ากับสายตรง จึงปล่อยเลยตามเลย ไม่คิดที่จะทำ ปกติเบี้ยตัวครูเขาไม่ได้ให้ใครง่าย ๆ เพราะว่าเอาไว้เป็นต้นแบบ
สมัยก่อนเรื่องของเบี้ยแก้เป็นวิชาของพราหมณ์-ฮินดู เขาจะทำเบี้ยแก้ขึ้นมาสำหรับติดตัวกันฟ้าผ่า มาถึงยุคหลวงปู่รอด วัดนายโรง ท่านขอเรียนวิชาจากพราหมณ์ ไม่ทราบเหมือนกันว่าแลกเปลี่ยนกันด้วยวิชาอะไร แต่พราหมณ์เขายินดีถ่ายทอดให้ เบี้ยแก้แต่เดิมที่เป็นของพราหมณ์เขาเรียก “ภควะจั่น” คำว่าจั่นก็คือเบี้ยจั่น พอมาถึงหลวงปู่รอด วัดนายโรง ท่านก็มาแปลงเป็นเบี้ยแก้แบบไทย เพราะเสกด้วยพุทธคุณแทน เมื่อติดตัวไว้สามารถเป็นมหาอุตม์ได้ ท่านบอกว่าเสกได้ ๓ ระดับ ระดับแรกคือปืนยิงไม่ออก ระดับที่ ๒ ยิงออกไม่ถูก ระดับที่ ๓ ยิงถูกไม่เข้า แล้วแต่ว่าคน ๆ นั้นมีคุณความดีมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อนส่วนใหญ่ท่านได้ทิพจักขุญาณ ท่านรู้ก็จะสงเคราะห์ให้ตามกำลังใจของคนนั้น ๆ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2012 เมื่อ 12:13 |
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#126
|
||||
|
||||
![]()
"การทำเบี้ยแก้จะเอาเบี้ยขนาดไม่ใหญ่มาก พอที่จะบรรจุปรอทได้หนัก ๑ บาท โดยเบี้ยแก้จะต้องมีฟัน ๓๒ ซี่ ต้องไปนั่งเล็งแล้วนับเอา ปรอทส่วนใหญ่ก็ดักเอาจากธรรมชาติ ชั่งน้ำหนักให้ได้ ๑ บาท กรอกใส่เบี้ยไปแล้วอุดด้วยชันโรงใต้ดิน ชันโรงเป็นแมลงตระกูลผึ้ง แต่ว่าเป็นผึ้งที่ตัวเล็กมาก
เมื่อตอนที่ซ่อมกุฏิเรือนไทย รื้อผนังกุฏิลงมามีชันโรงเพียบเลย รังของชันโรงจะทำเรียงไว้กับพื้นลักษณะหมือนเป็นถ้วย แต่ละถ้วยใส่น้ำหวานไว้เต็ม คราวนี้ชันโรงชอบทำรังบนต้นไม้ หรือไม่ก็ตามรอยซอกแตกของบ้าน แต่ท่านให้ใช้ชันโรงใต้ดิน เขาถือว่าของอะไรที่ผิดธรรมชาติจะขลัง เอามาอุดไว้ หลังจากนั้นก็หุ้มด้วยผ้าแดงที่จารอักขระ แล้วตีหุ้มด้วย ตะกั่วถ้ำชา คำว่าตะกั่วถ้ำชา ก็คือตะกั่วที่เอามาทำเป็นที่บรรจุกาน้ำชา ส่วนใหญ่เขาจะใส่นวมหุ้มเอาไว้ เพื่อที่จะให้ชาร้อนอยู่ได้นาน ๆ สมัยนี้เด็กไม่ค่อยจะรู้แล้วว่าถ้ำชาหน้าตาเป็นอย่างไร คำว่าถ้ำในภาษาโบราณ เขาหมายถึง สิ่งที่เอาไว้เก็บของเล็กของน้อยได้ อย่างในขุนช้างขุนแผน ที่นางทองประศรีบอกว่า “ฯลฯ..ขมิ้นดินสอพองเอาไว้ไหน เมื่อวานกูใส่ไว้ในถ้ำ..ฯลฯ” ถ้ำชาถ้าสมัยนี้ก็ต้องบอกเป็นว่าภาชนะที่บรรจุกาน้ำชา ระยะหลังทำจากโลหะอย่างอื่น สมัยก่อนเขาใช้ตะกั่วเพราะว่าตีขึ้นรูปได้ง่าย เมื่อหุ้มด้วยตะกั่วถ้ำชาเสร็จแล้ว ก็มีการจารอักขระซ้ำอีกทีหนึ่ง หรือจะไม่จารก็ได้ หลังจากนั้นก็มักจะเอาไปถักเชือกหรือชุบรักปิดทองก็แล้วแต่ นำติดตัวเอาไว้ ท่านบอกว่าสามารถพลิกดวงชะตากลับร้ายกลายเป็นดีได้ กันไสยเวทย์อาคมวัตถุอาถรรพ์ได้ ผีเจ้าเข้าสิงเอาทำน้ำมนต์อธิษฐานรดให้ออกได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2012 เมื่อ 12:12 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#127
|
||||
|
||||
![]()
"รุ่นต่อจากหลวงปู่รอด วัดนายโรง ก็เป็นหลวงปู่แขก วัดบางบำหรุเรียนต่อมา แล้วก็แยกสายออกมามีของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่บุญไปมาหาสู่กับหลวงปู่แขกและหลวงปู่รอด ก็น่าจะได้รับการถ่ายทอดวิชาไป เพราะทำมาจากตำราเดียวกัน หน้าตาเหมือนกัน ตามสายหลวงปู่บุญก็ถ่ายทอดต่อให้หลวงปู่เพิ่ม หลวงปู่เพิ่มถ่ายทอดต่อให้หลวงปู่เจือ
ส่วนสายหลวงปู่แขกก็ถ่ายทอดมาถึง หลวงปู่ม่วง วัดคฤหบดี จากหลวงปู่ม่วงแตกสายออกไปที่ใครบ้างก็ไม่ทราบ แต่ทางอ่างทองมีหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ ท่านทำเบี้ยแก้ดังเหมือนกัน แต่ว่าเบี้ยแก้สายวัดโบสถ์เวลาเขย่าจะดังซ่า ๆ เหมือนกับมีทรายอยู่ข้างใน ไม่ทราบว่าท่านใส่ปรอทกรอไว้หรือเปล่า ? ปรอทกรอคือปรอทที่เขาทำจนแข็งเป็นตัว แล้วตะไบเป็นผง ถ้าเป็นปรอทกรอนี่ถือว่าแน่กว่า เพราะต้องใช้น้ำปรอทเยอะกว่า น้ำปรอท ๑ บาท เวลาทำแข็งเป็นตัวแล้วอยู่ไม่ครบบาทหรอก ดังนั้น..ถ้าหากว่าใช้ปรอทกรอ ๑ บาท ต้องใช้น้ำปรอทมากเกินบาท ฉะนั้น..จากภควะจั่นที่ขออำนาจพระผู้เป็นเจ้าของทางสายฮินดูมา ก็มาเสกด้วยพุทธคุณแบบไทย กลายเป็นเบี้ยแก้ สมัยก่อนลูกศิษย์หลวงปู่ม่วงที่เป็นผู้ชายมาขอเบี้ยแก้ ออกจากวัดแล้วเจอดีทุกราย พวกลูกศิษย์รุ่นพี่จะไปดักลอง ส่วนใหญ่จะฟันกบาลด้วยดาบ อาจจะเป็นคำสั่งหลวงปู่ก็ได้ ที่จะให้คนรับไปมั่นใจว่าของท่านดีจริง ก็เลยให้รุ่นพี่ไปลอง ส่วนใหญ่โดนเข้าไปเต็ม ๆ แล้วไม่เข้า เมื่อหนังเหนียวแบบนั้น คนที่รับไปก็ค่อยมั่นใจหน่อย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2012 เมื่อ 10:03 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#128
|
||||
|
||||
![]()
"พอมาถึงหลวงปู่เจือนี่เน้นหนักไปทางด้านเมตตา ค้าขาย น่าจะอยู่ในลักษณะว่า ถ้าทำให้เหมือนเดิมเดี๋ยวลูกศิษย์ไปเป็นโจรกันหมด เพราะคนรุ่นใหม่มีอารมณ์ร้อน ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ คนรุ่นเก่าส่วนใหญ่รับวัตถุมงคลจากครูบาจารย์ไปแล้วต้องรับสัจจะด้วย อย่างเช่นจะไม่กินเหล้า ไม่ด่าแม่เขา ไม่ผิดลูกเมียเขา เท่ากับบังคับให้รักษาศีลไปโดยปริยาย
อย่างตามสายหลวงปู่ปานของเราที่รับยันต์เกราะเพชร ก็ห้ามกินเหล้ากับห้ามลักขโมย เพราะฉะนั้น..ในเรื่องเครื่องรางของขลัง จริง ๆ แล้วโบราณท่านทำขึ้นมาก็เพื่อดึงคนให้หาพระศาสนา อย่างที่บอกว่าพวกคริสต์ที่บางนกแขวกแขวนพระหลวงปู่ปานกันทั้งนั้น ทางปักษ์ใต้ก็หลวงพ่อซัง วัดวัวหลุง อิสลามขึ้นเต็มวัดเลย ของท่านขลังจริง ลองได้ทุกเวลา ของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็มีแก้วมณีรัตนะกับผ้ายันต์ ทางด้านนั้นเขาถือว่าเป็นผ้ายันต์ไม่ใช่รูปพระ เขาแขวนได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2012 เมื่อ 10:04 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#129
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ลูกชายเจ็บตัวบ่อยมากค่ะ
ตอบ : ไปหาน้ำมันชาตรีของวัดท่าซุง แล้วให้เขาเจิมหัวตัวเองทุกวัน แม่เจิมให้เขาก็ได้ ท่องนะโมพุทธายะแล้วก็ลุยไปได้เลย สิบล้อชนก็ไม่เป็นไร บางทีเขาไปวัดท่าซุงกันไม่เป็น แต่น้ำมันชาตรีเป็นเรื่องสำคัญ ต้องรอพระท่านอนุญาตจริง ๆ จึงทำได้ อาตมายังเฮี้ยนมากไปหน่อย เอาให้ความเฮี้ยนลด ๆ ลงหน่อย เดี๋ยวท่านก็อนุญาตให้ทำเอง ถ้ากำลังใจยังประเภทดุเดือดอยู่ น้ำมันจะออกไปทางอื่น พาคนให้ไปตีเขา เดี๋ยวคนอื่นจะเดือดร้อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2012 เมื่อ 10:05 |
สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#130
|
||||
|
||||
![]()
มีพ่อแม่พาลูกอ่อนมาทำบุญ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "แม่ซื้อมาด้วยเพียบเลย ไม่ต้องเลี้ยงก็ได้ ปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ ก็ไม่ตายหรอก จำไม่ได้ว่าประวัติของใคร ที่เขาบอกว่าตอนเด็กไม่กินอะไรเลย พอพาไปให้หมอตรวจ หมอเขาบอกว่าแข็งแรงดี ไม่ขาดสารอาหาร
จนกระทั่งเด็กรู้ภาษาแล้วจึงเล่าให้ฟังว่า มีแม่ที่แต่งชุดไทยสวย ๆ มาป้อนอาหารให้ทุกวัน เด็กกินอิ่มแล้วจะไปกินอะไรอีกล่ะ ? แต่คราวนี้คนอื่นเขาไม่เห็นนะสิ" ถาม : บรรดาแม่ซื้อเขาจะมาดูแลนานแค่ไหนคะ ? ตอบ : แล้วแต่เขา บางคนก็อยู่ถึง ๑๐ ปี หรือ ๒๐ ปีเลยก็มี บางคนก็อยู่แค่พักเดียว พอเด็กวิ่งเล่นได้ก็ไปแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2012 เมื่อ 10:06 |
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#131
|
||||
|
||||
![]()
มีโยมนำน้ำมนต์ชาตรีมาถวาย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เรื่องของน้ำมนต์ชาตรีนี่เป็นอะไรที่อาตมาหัวเราะไม่ออก จะบอกว่าหลวงพ่อท่านดัดสันดานความมักง่ายของอาตมาก็ได้ เพราะเมื่อพระสารีบุตรท่านมาเตือนหลวงพ่อเรื่องทำน้ำมนต์รักษาโรค หลวงพ่อท่านก็นำมาบอกกล่าวพระในวัด ปรากฏว่าไม่มีใครสนใจ แต่อาตมาคัน ได้ยินแล้วอดไม่ได้ จึงรวบรวมเงินทองไปซื้อแผ่นทองได้ ๖ แผ่น แผ่นเงินได้ ๖ แผ่น
พอเขียนยันต์เสร็จเรียบร้อย เอาไปถวายให้หลวงพ่อเสก หลวงพ่อท่านบอกว่า “วิธีก็รู้ทุกอย่างแล้ว ไปเสกเอง..!” คาถาเสกยันต์ทำน้ำมนต์เขาใช้อิติปิโส ฯ ๑๐๘ จบ แล้วก็นะมะพะทะ ๑๐๘ จบ กว่าจะเสกเสร็จ ๒ ชั่วโมงครึ่ง เหนื่อยแทบตาย เพราะต้องเข้าสมาธิตลอด พอถึงเวลาท่านทำพุทธาภิเษก อาตมาแอบเอาไปซุกเข้าพิธี หลวงพ่อท่านรู้ ท่านก็หัวเราะ..บอกว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็เหมือนแกนั่นแหละ ร่ำเรียนวิชาอะไรมาก็ไม่เคยมั่นใจตัวเองหรอก แต่พอสิ้นหลวงพ่อปานแล้วเขามาหาข้า เขาบอกว่าข้าอยู่กับหลวงพ่อปานต้องทำได้ ข้าก็เลยต้องมั่นใจตัวเอง” ท้ายที่สุดพวกที่ขยับตัวไม่ทันก็มาปล้นอาตมาไปหมด เหลือไว้ใช้งานอยู่ชุดเดียว ยันต์ทำน้ำมนต์ชุดนี้ไปบุกดงกะเหรี่ยงมาหลายยกแล้ว เวลาใครโดนไสยศาสตร์มาแล้วแก้ไม่ตก น้ำมนต์นี้ช่วยมานับไม่ถ้วนแล้ว เป็นเรื่องแปลก..ยันต์ทำน้ำมนต์เงินกับทองเลี่ยมพลาสติกหันหลังชนกัน บวกพลาสติกแล้วหนักมากเลย แต่เวลาเสกทำน้ำมนต์แล้วกลับลอยน้ำได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2012 เมื่อ 10:09 |
สมาชิก 233 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#132
|
||||
|
||||
![]()
"เรื่องยันต์ทำน้ำมนต์ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “นึกถึงภาพยันต์ หรือนึกชักยันต์ด้วยใจ แล้วปลุกเสกไว้ทุกวัน จะช่วยลดกฎของกรรมได้” อาตมาลองทำดูตลอดระยะเวลา ๒๐ ปีไม่เคยว่างเว้นเลย ช่วยได้จริง ๆ คืออาการเจ็บไข้ได้ป่วยเบาลง เพียงแต่มานึกดูว่าโดนหลวงพ่อท่านหลอกอีกแล้ว..! ท่านบอกให้เรานึกถึงพระแล้วภาวนาทุกวัน แล้วบุญใหญ่คือศีล สมาธิ ปัญญานี่จะตัดกฎของกรรมได้ดีมาก ๆ เลย เมื่อทำต่อเนื่องมา ๒๐ กว่าปี แล้วมุ่งจะเอาเรื่องเดียวก็เลยกลายเป็นว่าเห็นผล
หลวงพ่อท่านตั้งใจทำน้ำมนต์ชาตรีไว้ให้เด็กนักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานฯ ได้มีเงินเอาไว้ใช้ในการทำกิจกรรม ท่านจึงสั่งทำแท็งก์น้ำ แล้วเอาแผ่นยันต์ทำน้ำมนต์แขวนไว้ตรงที่น้ำไหลลงพอดี สรุปก็คือเปิดใช้ได้ทั้งปีทั้งชาติ เขาก็เลยติดเครื่องกรองน้ำ ผลิตน้ำมนต์ขายกันอุตลุตไปเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2012 เมื่อ 10:10 |
สมาชิก 228 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#133
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระกับพระอุปคุต ใช่องค์เดียวกันหรือเปล่า ?
ตอบ : คนละองค์กัน พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระท่านเป็นประธานในการทำสังคายนา ส่วนพระอุปคุตเป็นหัวหน้าฝ่ายป้องกัน พระเจ้าอโศกมหาราชจัดพิธีงานฉลองพระบรมสารีริกธาตุเป็นเวลา ๗ ปีกว่า กลัวพญามารจะมาทำลายงาน จึงตรัสถามว่ามีพระเถระรูปไหนที่มีความสามารถจะรับอาสาป้องกัน ทุกท่านบอกว่าต้องพระอุปคุตเถระเท่านั้น แต่พระอุปคุตท่านไปจำพรรษาที่สะดือทะเล จะต้องหาคนไปตาม ปรากฏว่ามีพระอรหันต์ ๒ รูปที่ไม่ได้มาเข้าร่วมพิธีสังคายนา โดนคณะสงฆ์ปรับโทษฐานไม่ให้ความร่วมมือ โดยให้ไปตามพระอุปคุตมา เมื่อพระอรหันต์ท่านไปเชิญ พระอุปคุตท่านก็ต้องมา ถาม : คนที่พาพระเจ้าอโศกมหาราชไปดูตามจุดต่าง ๆ คือ พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ หรือพระอุปคุต ? ตอบ : จริง ๆ แล้วเขาบอกว่ามีพระมหาเถระอยู่รูปหนึ่งที่สืบสายมาจากพระอานนท์โดยตรง สามารถชี้ที่ได้หมดเลย ไม่มั่นใจว่าเป็นใคร คาดว่าถ้าไม่ได้รับการบอกเล่าสืบต่อมาจากพระอานนท์ ก็แปลว่าท่านต้องมีทิพจักขุญาณ สามารถบอกได้ว่าพระบรมสารีริกธาตุนั้นอยู่ที่ใดบ้าง โบราณเขาเก่งจริง ๆ พอเปิดห้องศิลาเก็บพระบรมสารีริกธาตุออกมา ลมเข้าไปหุ่นพยนต์ที่รักษาพระบรมสารีริกธาตุก็เริ่มทำงาน ถ้าไม่มีลมเข้าไปหุ่นพยนต์ไม่ทำงาน ถาม : เหมือนในหนังจีนหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ลักษณะกลไกคงคล้าย ๆ กัน ปกติแล้วถ้าเราสามารถบอกได้ว่าหุ่นพยนต์นี้สร้างมาจากอะไรก็จะเสื่อมฤทธิ์ แต่พระเจ้าอโศกมหาราชท่านตั้งสัตยาธิษฐานว่า จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ด้วยอำนาจกุศลผลบุญและความตั้งใจจริงนี้ ขอให้หุ่นพยนต์อย่าได้ทำอันตรายท่าน ท่านจึงเข้าไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุออกมาได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2012 เมื่อ 14:57 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#134
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : พระปฐมเจดีย์เป็นหนึ่งใน ๘๔,๐๐๐ เจดีย์ที่พระเจ้าอโศกมหาราชท่านสร้างขึ้นด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..เพราะตำนานว่าสร้างขึ้นโดยพระโสณะเถระและคณะ เมื่อมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ ถาม : เห็นบางที่เขารวมพระธาตุลำปางหลวงว่าสร้างในยุคนั้นด้วย ? ตอบ : คุณต้องดูประวัติการสร้าง พระธาตุลำปางหลวงเพิ่งจะกี่ปี ? การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ ประวัติท่านบันทึกไว้ชัดเจนว่าประมาณ พ.ศ. ๓๐๐ กว่า มาถึงตอนนี้ ๒,๐๐๐ กว่าปี บางอย่างก็จับแพะชนแกะจนเกินไป ถ้าไม่เอาตัวเลขมาคำนวณก็เชื่อได้ พอเอาตัวเลขมาคิดดูก็รู้ว่าไม่ใช่ ส่วนใหญ่แล้วที่ท่านสร้างจะอยู่ในอินเดีย โดยเฉพาะว่าสมัยนั้นรัฐพิหารรัฐเดียวมีวัดอยู่สามหมื่นกว่าวัด ที่ได้ชื่อว่าพิหารก็เพราะทั้งรัฐแทบจะเป็นวัดไปหมด เราลองมานึกดูว่า พื้นที่ประมาณ ๔ - ๕ จังหวัดของเรารวมกัน แล้วมีวัดตั้งสามหมื่นกว่าวัด จะเดินพ้นวัดไหม ? ส่วนประเทศไทยทั้งประเทศก็เพิ่งจะมีสามหมื่นกว่าวัด ตอนนี้ที่น่าสงสารก็คือ ๓ จังหวัดภาคใต้ พระมหาชรัตน์ อุชุจาโร เพื่อนร่วมรุ่นนักเทศน์ของอาตมา ไปเป็นรองเจ้าคณะจังหวัดปัตตานี แจ้งยอดมาว่าปัตตานีปีนี้มีพระทั้งจังหวัดรวมกันแล้ว ๓๓๓ รูป ตองสามพอดีเลย ทองผาภูมิอำเภอเดียวก็ ๔๐๐ กว่ารูปเข้าไปแล้ว นั่นทั้งจังหวัดเลยนะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2012 เมื่อ 15:00 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#135
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ต้องบอกว่าโชคดีที่อาตมาสร้างเวรสร้างกรรมไว้เยอะ เกิดมาก็เจ็บไข้ได้ป่วยตลอด อายุแค่สองขวบกว่า ๆ ก็ตายไปครั้งหนึ่งแล้ว
ในเมื่อตัวเองเจ็บไข้ได้ป่วยตลอด ก็เห็นทุกข์ของร่างกายมาก ในเมื่อเห็นทุกข์มาก ความคิดที่ว่าทำอย่างไรเราจะพ้นไปได้ ก็เกิดขึ้นมาในใจเอง พอรู้ว่าการปฏิบัติธรรมสามารถช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ เพราะฉะนั้น..ถ้าหากท่านใดร่างกายแข็งแรงดี เผลอสติเมื่อไรก็จะเพลิดเพลินอยู่กับร่างกายนี้ พอถึงเวลาก็ไหลตามกิเลสไปเรื่อยเปื่อย คิดแบบเข้าข้างตัวเองว่าเกิดมาโชคดีหลายอย่าง อย่างแรกคือ เจ็บไข้ได้ป่วยมาตั้งแต่เด็ก ๆ สมัยนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็ไม่ได้ร้ายแรงกว่าสมัยนี้ แต่เรื่องหมอเรื่องยายังห่างไกลกันมากเลย จากบ้านเดินทางเข้ามาโรงพยาบาลที่นครปฐมระยะทาง ๓๖ กิโลเมตร ใช้เวลาเป็นวัน ๆ สมัยนี้ ๓๖ กิโลเมตรเหยียบคันเร่งอย่างไม่เกรงใจตำรวจแค่สิบนาทีก็ถึงแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือ เกิดมาเป็นเด็กบ้านนอก ต้องทุกข์ยากลำบากกับการทำมาหากินมาตั้งแต่เด็ก ๆ ต้องทนสู้ทุกอย่าง ก็เลยทำให้เห็นว่าชีวิตนั้นทุกข์จริง ๆ ส่วนอย่างที่สามที่เข้าใจว่าเป็นความโชคดีก็คือ เกิดก้ำกึ่งกันระหว่างโลกยุคเก่ากับโลกยุคใหม่ อะไรเก่า ๆ ก็ประสบพบเห็นมา อะไรใหม่ ๆ ก็ได้เห็นในชีวิตเหมือนกัน ในเมื่ออยู่ตรงกลางพอดี เราจะขยับไปทางไหนก็ไม่เก้อเขิน เด็กรุ่นใหม่อยากฟังเรื่องเก่า ๆ ก็เล่าให้ฟังได้ ถ้าเขาเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาโม้ก็พอจะรู้เรื่องบ้าง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2012 เมื่อ 15:02 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#136
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เวลาท่านทำรายงาน แล้วคนอื่นเขาขอไปเป็นผลงานของเขา ท่านคิดอย่างไรคะ ?
ตอบ : อาตมาทำรายงานทุกเล่มจะลงไว้ในคำนำว่า บุคคลใดที่เห็นประโยชน์ สามารถคัดลอกไปใช้งานได้โดยไม่สงวนลิขสิทธิ์แม้แต่ประการใด แต่ถ้าท่านใดเห็นว่ามีข้อบกพร่องตรงไหน โปรดช่วยชี้แจงด้วย จะได้แก้ไขให้สมบูรณ์ต่อไป อาตมาเป็นคนไม่หวงความรู้..เอาไปเถอะ ถ้าจะทำผลงานทางวิชาการเดี๋ยวอาตมาเขียนใหม่เอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-08-2012 เมื่อ 02:31 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#137
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : การปฏิบัตินั้น ทำไมเราเห็นทุกข์ จึงดีกว่าความรู้สึกสงบ ?
ตอบ : การเห็นทุกข์ทำให้เราต้องการที่จะหนีไปให้พ้น การที่เราเห็นความสงบ บางทีเราก็ติดอยู่กับความสงบนั้น ถาม : ทั้งที่อยู่ในอารมณ์สงบเป็นสุขดีแล้ว ก็ยังเผลอออกมาฟุ้งอีก ? ตอบ : "จริง ๆ แล้ว ถ้ามีปัญญาสักนิดหนึ่ง เราเข้าถึงความสงบจริง ๆ จะเป็นรสชาติที่ดิ่งลึกอยู่ในใจ ประเภทที่ว่าอย่างไรเสียเราก็จะไม่ลืม ในเมื่ออย่างไรเสียจะไม่ลืม ต่อให้เผลอไปเพลิดเพลินกับเรื่องอะไรก็ตาม ท้ายสุดก็จะเลี้ยวกลับมาเอง ตั้งแต่เด็ก ๆ อาตมาไปเล่นแพต้นกล้วยแล้วลื่นตกน้ำไป พอหล่นลงไปน้ำก็ปิดหู เงียบสนิททันที เกิดความรู้สึกว่าความสงบเงียบเยือกเย็นแบบนี้เราเคยเจอมาก่อน เป็นสิ่งที่คุ้นเคยมาก แทนที่จะดิ้นรนตะเกียกตะกายขึ้นจากน้ำ ก็นั่งเฉย ๆ อยู่ข้างใต้ ส่วนคนอื่นตกใจ กลัวว่าอาตมาจะตาย ควานหากันใหญ่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2012 เมื่อ 17:31 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#138
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยมีหลวงพ่อท่านหนึ่งทางปักษ์ใต้ เขาใช้ยันต์สุริยันจันทรานี้แหละ เป็นยันต์หลักในเหรียญของท่าน
![]() เหรียญจันทร์เสี้ยว หลวงพ่อโศก วัดปากคลองบางครก คราวนี้เหรียญของท่านไม่มีอะไรเลย นอกจากรูปกนกกับยันต์นี้ พวกอิสลามก็เลยแย่งกันแขวน เพราะถือว่าสุริยันจันทราลักษณะเหมือนกับเดือนโอบดาวของเขา แล้วท่านก็ขลังจริงซะด้วย ก็เลยยิ่งแขวนกันใหญ่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-08-2012 เมื่อ 03:29 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#139
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : วัตถุมงคลให้ผล เขาต้องมีความเคารพในพระพุทธด้วย เขามีความเชื่อมั่น..?
ตอบ : เขาเชื่อมั่น แต่ทางศาสนาเขาห้าม จริง ๆ แล้วก็คือพุทธดี ๆ นี่เอง เพียงแต่ว่าอยู่ในกลุ่มอิสลาม ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ก็ต้องหาของที่ดูแล้วไม่เป็นองค์พระ อาตมาว่าจะสร้างอะไรสักอย่างที่ไม่เป็นองค์พระไว้เผื่อลูกศิษย์อิสลามบ้าง เดี๋ยวนี้ชักจะเยอะขึ้น คนเราเกิดมามีปัญญาทุกคน หลักของศาสนาจุดใหญ่ใจความก็คือ ยึดถือเพื่อความสงบระงับทางใจ คราวนี้หลักการศาสนาของเขาไม่ใช่คำตอบ เขาก็ต้องไปดิ้นรนไขว่คว้าในสิ่งที่เขาคิดว่าใช่ แต่ว่ากรอบของขนบธรรมเนียมประเพณีของเขาครอบมาตั้งแต่เกิด แข็งแรงเกินกว่าที่จะแหวกออกไปได้ ก็เลยต้องวิธีหลบ ๆ ซ่อน ๆ อย่างที่ปากีสถาน มีผู้หญิงอิสลามคนหนึ่งเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ เขาต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศเลย อยู่ที่เดิมไม่ได้ จะโดนรุมเหยียบตาย เขาถือว่าเป็นคนที่ทรยศต่อพระผู้เป็นเจ้าของเขา ประเทศที่เป็นอิสลาม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ อย่างปากีสถาน อยู่ ๆ มีคนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ได้นี่เขาต้องกล้าจริง ๆ ถ้าหนีไม่ทันก็ตายคาที่อยู่ตรงนั้นแหละ แบบนั้นโบราณเขาว่า หักด้ามพร้าด้วยเข่า ถ้าด้ามพร้าไม่หักก็เข่าแตกเอง อย่างที่อาตมาเจอมา เขาแอบมานับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่บอกให้ทางบ้านรู้ หลายคนพอได้หนังสือธรรมะไปแล้วต้องไปฝากเพื่อนที่เป็นพุทธเอาไว้ เพราะมีรูปพระ เขาเอาเข้าบ้านไม่ได้ วัตถุมงคลได้ไปต้องไปฝากเพื่อนเอาไว้ ประเทศไทยของเรา ชาวมุสลิมมีคุณูปการกับประเทศของเรามาอย่างปรากฏชัดเจนเลยตั้งแต่สมัยอยุธยา เพราะว่าเรามีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นมุสลิม อย่างตระกูลบุนนาค ตระกูลบุนนาคมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์แทบจะกุมอำนาจทั้งประเทศ พี่ ๆ น้อง ๆ เป็นสมเด็จเจ้าพระยาตั้ง ๒ - ๓ คน อยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมกลมเกลียวรักใคร่สามัคคีกันดี ศาสนาอิสลามเพิ่งจะมาแสดงผลร้ายตอนที่ส่งนักศึกษาไปเรียนที่ตะวันออกกลาง ไปรับเอาแนวคิดที่จะต้องการตั้งรัฐอิสลามบริสุทธิ์ขึ้นมา ถึงได้มีปัญหากันอยู่ ในพื้นที่จริง ๆ ไทยพุทธกับมุสลิมก็ยังคงรักใคร่สามัคคีกันอยู่เหมือนเดิม แต่ระยะหลังแสดงออกชัดไม่ได้ เพราะว่าพวกนี้เขามีสายแทรกซึมอยู่ในทุกหมู่บ้าน ถ้าใครมีแนวโน้มว่ายังไปมาหาสู่กับพวกพุทธอยู่ อาจจะโดนยิงตายไปเฉย ๆ ป.ล. ไม่อนุญาตให้นำข้อความนี้ออกนอกเว็บวัดท่าขนุนค่ะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-08-2012 เมื่อ 06:22 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#140
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ฟังแล้วเครียด
ตอบ : จะไปเครียดทำไม เราก็คิดว่าเดี๋ยวเขาก็ตายแล้วเหมือนกัน ถาม : เพราะว่าเราทำอะไรไม่ได้ ตอบ : ทำได้..ทำไมจะทำไม่ได้ ทำตัวของเราเกิดผลในการปฏิบัติธรรมขึ้นมา เมื่อถึงเวลาสามารถที่แสดงผลของการปฏิบัติธรรมของเราออกได้อย่างชัดเจน เมื่อคนเห็นเลื่อมใสศรัทธา เข้ามาปฏิบัติตามหลักธรรมในพุทธศาสนามากขึ้น ความเป็นปึกแผ่นเข้มแข็งก็มีมากขึ้น ในเมื่อความเป็นปึกแผ่นเข้มแข็งมีมากขึ้น เขาเองจะรุกรานเขาก็ต้องคิดหนัก คราวนี้สำคัญอยู่ที่พวกเรายังไม่ปฏิบัติจริง ยังทำเล่น ๆ กันอยู่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|