|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#121
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ขอพรหน่อยค่ะ จะแต่งงาน
ตอบ : ไม่ต้องขอพรอะไรหรอก อดทนให้มาก ๆ ก็พอ รับประกันซ่อมฟรี ชีวิตคู่เหมือนลิ้นกับฟัน เรื่องที่จะไม่กระทบกระทั่งกันไม่มีหรอก เพราะฉะนั้น..ต้องอดทนให้มาก ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2012 เมื่อ 20:44 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#122
|
||||
|
||||
![]()
มีโยมนำพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของพระธาตุ ถึงแม้จะสร้างขึ้นมาเลียนแบบก็ตาม แต่ก็อยู่ในลักษณะเดียวกับพระพุทธรูป เป็นของที่สำคัญมาก เราจะทำเล่น ๆ ไม่ได้
พระบรมสารีริกธาตุของจริงนี่ วัตถุใดสัมผัสถูกเทวดาก็รักษาหมด เพราะฉะนั้น..ภาชนะที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไม่ใช่เราจะไปทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ได้ ถ้าเจอเทวดาท่านที่ปล่อยได้วางได้ปลงได้ก็แล้วไป เจอเทวดาท่านที่ไม่ชอบใจแล้วลงไม้ลงมือด้วยเราจะเดือดร้อน..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2012 เมื่อ 20:47 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#123
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาตั้งราคาตะกรุดมหาสะท้อนไว้แพง เพราะว่าเป็นของอันตราย ไม่อยากให้เอาไปใช้ เห็นผลมาเยอะต่อเยอะจนอาตมาสยดสยองเองแล้ว
พวกเราส่วนใหญ่สร้างบารมีมามาก บุคคลที่สั่งสมบารมีใน ศีล สมาธิ ปัญญา ไปถึงระดับหนึ่ง จะเกิดเป็นบุญฤทธิ์ขึ้น ในเมื่อเป็นบุญฤทธิ์ขึ้นมา คนคิดร้ายก็แย่แล้ว แถมเรายังไปเล่นตะกรุดมหาสะท้อนด้วย คนนั้นก็เดี้ยงสถานเดียว..! ฉะนั้น..จริง ๆ แล้วไม่ต้องมีตะกรุดหรอก ภาวนาคาถา เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา ไว้ทุกวัน กำลังใจทรงตัวก็คุ้มได้เหมือนกับมีตะกรุดนั่นแหละ ถ้าเรารู้สึกว่าราคาแพงก็ไม่ต้องห่วง..ของฟรีมี ภาวนาเอาเองก็ได้ แต่พวกเราส่วนใหญ่พอบอกให้ไปภาวนาก็ไม่มั่นใจ ท้ายสุดก็มาเอาตะกรุดไปจนได้ มีหลายท่านสงสัยว่าพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านรุ่น ๑ ที่อาตมาเผลอใส่ตะกรุดมหาสะท้อนไป มีเนื้อไหนบ้างที่ใส่ ก็มีเนื้อทองคำ เนื้อเงินและเนื้อนวโลหะ เพราะฉะนั้น..ถ้าใครใช้พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน ๓ เนื้อนี้ คนหรือสัตว์กำลังคลอดอยู่ อย่าเข้าไปใกล้นะ โปรดเมตตาเขาหน่อย ถ้าเขาคลอดไม่ได้แล้วจะยุ่ง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2012 เมื่อ 20:50 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#124
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์อ่านหนังสือเรื่อง ปริศนาเอสกิโม แล้วเล่าให้ฟังว่า "พวกเอสกิโมพอไปเจอสบู่อาบน้ำของฝรั่ง อยากรู้ว่าอร่อยหรือเปล่า ก็เอาใส่ปาก อาตมาเลยนึกถึง อ.โมเช่ของเรานี่แหละ อาตมาพาท่านเสียคน กลายเป็นกะเหรี่ยงที่ทันสมัยไปเลย
เวลาเอาข้าวของแปลก ๆ พวกกาแฟซอง มีโอวัลตินซองเข้าไป อ.โมเช่ก็จะถาม พอไปเจอผงซักฟอกซองเข้า ท่านถามว่าอันนี้กินอย่างไร ?(หัวเราะ) ยังดีนะว่าท่านเป็นคนฉลาด ถามก่อนทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องยา อ.โมเช่จะระวังมากเป็นพิเศษ ถ้าไม่ถามจนละเอียดจริง ๆ ท่านจะไม่กินเด็ดขาด เพราะรู้ว่ายาฝรั่งอันตราย ท่านยอมใช้สมุนไพรดีกว่า เป็นคนล้าสมัยแต่รอบคอบมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งไปค้างกัน ๗-๘ วัน ท่านต้มยาชนิดหนึ่ง ซึ่งผีบอกว่ากันเอดส์ได้ พวกเราก็แห่กันไปกิน พอกินแล้วจะเกิดผลหรือไม่ ตอนกลางคืนมืด ๆ ให้เอาฝ่ามือมาถูกันดู ถ้าเกิดผลจะมีประกายไฟแลบลั่นไปหมด ยาของท่านแปลกดีเหมือนกัน คราวนี้พวกเราไปก็ทำอาหารเลี้ยงท่านบ้าง เพราะที่ผ่านมาให้ท่านเลี้ยงอยู่ฝ่ายเดียว ข้าง ๆ กระต๊อบมีดงไผ่ พวกเราไปเจอหน่อไม้เข้าก็เก็บมาเผา ปอกเปลือก ต้มใส่ใบย่านาง ต้มไว้ค้างคืน รุ่งขึ้นก็เอามาผ่าแล้วซอยหมักใบย่านางไว้ รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง อ.โมเช่เห็นว่ายังหมักน้ำใบย่านางอยู่ ท่านก็เอาขึ้นมาเพื่อที่จะทำอาหาร พวกเราก็บอกว่า ยัง ๆ..โมเช่..ยังกินไม่ได้ ท่านโมเช่ว่า โอโฮะ..๒ วันยังกินไม่ได้อีก..! ท่านไม่เคยเจออาหารอะไรที่ทำช้าอย่างนี้มาก่อน ความจริงหน่อไม้ถ้าหมักใบย่านางแล้วจะอร่อย พวกเราทำอย่างใจเย็น ส่วนท่านประเภททำเดี๋ยวนั้นกินเดี๋ยวนั้นเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2012 เมื่อ 09:25 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#125
|
||||
|
||||
![]()
"ตอนนี้ท่านไปเป็นเจ้าอาวาสวัดกู่ไจ้ที่เมียวดี ทางฝั่งพม่า เวลาขาดแคลนอะไรท่านก็จะมาบอกว่าต้องการเงินไปทำอะไร อาตมาก็ควักให้ ท่านปลื้มใจมากเพราะว่าในบริเวณ ๒ เมืองนั้น ทั้งโกกะเร่ย (กรุกกริก) และเมียวดี มีแต่ส้วมของวัดท่านที่ไม่เหม็น
ปกติส้วมพม่ามีลักษณะเหมือนส้วมซึมบ้านเรา แต่เป็นรูลงไปเฉย ๆ ไม่มีท่อกักน้ำกันกลิ่นย้อนขึ้นมา เพราะฉะนั้น..ต่อให้ส้วมพม่าอยู่ห่าง ๑๐๐ เมตรก็ยังได้กลิ่น แต่ อ.โมเช่ท่านอุตส่าห์แบกหัวส้วมจากเมืองไทยข้ามไป ทำส้วมได้ ๓ ห้อง ท่านบอกว่าต่อไปอาจารย์ไปเที่ยววัดผมได้สบายแล้ว เพราะส้วมไม่เหม็น อีกครั้งหนึ่งหลังจากท่านหายไป ๓ ปี โผล่มา “อาจาง..ขอเงินสองหมื่น” อาตมาถามว่าจะไปทำอะไร ท่านบอกว่าจะไปติดไฟฟ้าที่เจดีย์ หายไป ๓ ปีไปสร้างเจดีย์เสร็จแล้ว อาตมาก็ถามว่าจะเอาไปเอาไฟฟ้าที่ไหน ท่านบอกว่า “เดี๋ยวไปซื้อไอ้แผง ๆ มันทำไฟได้” ท่านทันสมัยขนาดนั้น ถามว่ามีขายหรือ ท่านบอกว่า “มี ๆ ไปดูมาแล้ว” ถามว่าไฟพอใช้หรือ ? ท่านบอกว่าถ้าใช้เฉพาะไฟที่ประดับเจดีย์ก็พอใช้ สรุปว่าท่านซื้อโซลาร์เซลล์ไป ๒ แผงจากฝั่งแม่สอด แล้วก็แบกข้ามไป อาตมาเองยังไม่รู้เลยว่าแถวนั้นมีโซลาร์เซลล์ขาย ส่วนท่านโมเช่หายไปปีกว่าแล้วยังไม่โผล่มาเลย ถ้าโผล่มาก็ยังไม่รู้จะให้ช่วยทำอะไรอีก ท่านเป็นคนที่สร้างบุญอย่างเดียว หมู่บ้านไหนจะสร้างเจดีย์มาบอกท่าน ท่านจะไปสร้างให้ มีเงินหรือไม่มีเงินท่านก็ทำจนเสร็จ ระยะหลัง ๆ นี่สร้าง ๓-๔ แห่ง อาตมามีหน้าที่เป็นนายทุนควักเงินให้ท่านไป ท่านจะไปหาคนเอง พวกชาวบ้านที่อยู่ตามชายแดนไทยพม่าเขานิยมสร้างเจดีย์กันมาก ชอบสร้างบนยอดเขา ยิ่งสูงยิ่งดี เขาบอกได้บุญเยอะดี ท่านไม่เคยขาดแรงงาน นอกจากขาดเงินก็มาขอที่อาตมา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 23-01-2012 เมื่อ 07:40 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#126
|
||||
|
||||
![]()
"อาตมาก็คิดว่า แล้วเขาจะเอากรวดเอาทรายที่ไหนไปสร้าง ปรากฏว่าเขาลงไปในลำห้วย เก็บก้อนกรวดก้อนหินที่เป็นหินน้ำตกลื่น ๆ กลม ๆ มาผสมปูน คนละถังสองถัง อาตมาก็มองว่าเข้าท่า ซื้อแต่ปูนอย่างเดียว หินทรายไม่ต้องซื้อ
ตอนไปช่วยสร้างเจดีย์ที่วัดห้วยหินดำ อาตมาก็ว่า เอ๊ะ..ท่านโมเช่ เจดีย์เอียงนะ ท่านมาเล็ง ๆ ดูแล้วบอกว่า เอียงจริง ๆ แหละอาจาง..ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ? "ก็พวกเราเล่นเทปูนข้างเดียว ทำนั่งร้านขึ้นข้างเดียวแล้วเทปูนลงไปแบบนั้น น้ำหนักก็ถ่วงข้างเดียว จนแบบเอียงนะสิ" ท่านถามว่าจะทำอย่างไร? อาตมาบอกว่า "เดี๋ยวรอให้ชั้นนี้แห้ง แล้วสกัดเอาส่วนที่เอียงออกค่อยเทต่อ ต่อไปจำไว้ว่า ให้เทปูนรอบ ๆ องค์เจดีย์ ไม่ใช่ไปเทข้างเดียวแบบนั้น" งานนั้นสนุกเพราะว่าพาพวกท่านกอล์ฟ ท่านยุ้ย มหาเคไปช่วยด้วย ทิ้งให้อยู่กับท่านโมเช่เป็นเดือน ๆ งานของพระศาสนา ไม่ว่าจะทำที่ไหนก็เป็นงานของพระศาสนา โดยเฉพาะว่าถ้าพระสงฆ์ของเราช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างที่อาตมาทำ จะเป็นมอญ พม่า กะเหรี่ยง กะหร่าง ฝั่งไทยฝั่งพม่าช่วยเขาหมด ขอให้มีแรงช่วยได้เป็นช่วยหมด แบบนี้พระศาสนาก็จะเจริญ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2012 เมื่อ 15:14 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#127
|
||||
|
||||
![]()
"แต่ทางฝั่งพม่ามีจุดบกพร่องอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อถึงเวลาเขาจะประดังกันมาขอความช่วยเหลือ ถึงเราบอกว่ากำลังช่วยวัดนี้อยู่ เขาไม่สนใจหรอกเพราะวัดเขาจะเอา อาตมาบอกว่า ตูไม่ได้บ้านี่หว่า ทำทีละวัดสิวะ ไม่ใช่ทำให้มั่วไปหมด เล่นประดังกันมาขอทีละ ๓-๔ วัดใครจะไปทำให้ไหว
อย่างท่านอาจารย์เต้ก็เหมือนกัน พออาตมาถามท่านว่าไปทอดผ้าป่าให้เขาได้เท่าไร ท่านบอกว่า "ได้เจ็ดหมื่น เขาจะทำหรือไม่ทำก็ไม่รู้ ให้ไปแล้ว" ท่านอาจารย์เต้ก็ช่วยงานทั้ง ๒ ฝั่งเหมือนกัน ถ้าจะไปเที่ยวแถวมะริด ทวาย ตะนาวศรีไปขอใบผ่านจากท่านได้ อาตมาว่าจะไปดูบ่อน้ำมันเมืองมะริดตั้งแต่ยังไม่มีถนน จนตอนนี้มีถนนแล้วก็ยังไม่ได้ไปเลย ตอนยังไม่มีถนนถามท่านอาจารย์เต้แล้ว ท่านบอกว่าเดิน ๓ วัน ตอนมีถนนคาดว่าน่าจะวันเดียวก็ถึงแล้ว บ่อน้ำมันเมืองมะริดอยู่ริมทะเล อาตมาต้องการไปดูแค่นั้นเองว่าอยู่ตรงไหน เป็นบ่อน้ำมันดิบแต่สีออกสนิมเหล็ก ไม่ใช่น้ำมันดิบดำปี๋เหมือนยางมะตอย ใช้จุดไฟได้เลย แสดงว่าข้างใต้จะต้องมีความร้อนใต้ดินผ่าน เพราะเท่ากับกลั่นน้ำมันขึ้นมาในตัว ถ้าน้ำมันดิบแท้ ๆ จะเหนียวหนึบ ขว้างใส่หัวนี่ติดหนับแกะไม่ออกเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2012 เมื่อ 15:18 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#128
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้ว่าถ้าเป็นพระ อย่าไปเป็นเจ้าอาวาสใกล้บ้านตัวเอง ญาติจะมากวนตายชัก ไปให้ไกล ๆ เลย ถ้าเขาอุตส่าห์ตะกายตามไปหาถึงที่ แล้วค่อยให้เขากวน เป็นเจ้าอาวาสใกล้บ้านเดี๋ยวญาติข้างนั้น เดี๋ยวญาติข้างนี้มาเต็มไปหมด ถ้าไม่เด็ดขาดพอก็เอียงกระเท่เร่ โดยเฉพาะถ้าเขาเห็นเราสงเคราะห์ใครมากกว่าก็จะมองตาเขียวปั๊ด
พวกบรรดาญาติโดยเฉพาะพวกผู้ใหญ่ เขาไม่ได้เห็นเราเป็นเจ้าอาวาส ไม่ได้เห็นเราเป็นหลวงปู่หลวงพ่อเหมือนคนอื่นเขาหรอก เขาเห็นเป็นลูกเป็นหลานเขาอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่อยากให้เขาลงนรกก็หนีไปให้ไกล ๆ เลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2012 เมื่อ 15:21 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#129
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ครุกรรมหนักฝ่ายกุศล คือในส่วนของสมาบัติ ๘ และมรรคผลนิพพานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : นิพพานไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล พ้นจากนั้นไปแล้ว ครุกรรมฝ่ายกุศลจริง ๆ เขาเน้นที่สมาบัติ ๘ ถาม : ถ้าได้สมาบัติ ๘ คือฌานโลกีย์ เวลาสิ้นชีวิตก็ไปบังเกิดเป็นอรูปพรหมฝ่ายเดียวใช่ไหมครับ ? ตอบ : ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานเดิม ถ้าเคยปรารถนาพุทธภูมิมา จะไม่ไปเกิดที่นั่น เพราะกติกาของความเป็นพระโพธิสัตว์จะไม่ไปเกิดในอรูปพรหม เนื่องจากว่าระยะเวลานานเกินไป ทำให้สร้างบารมียาก ถ้าหากว่าไม่ใช่พระโพธิสัตว์ก็อยู่ตรงนั้นแหละ อีกอย่างก็คือ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปแล้วได้สมาบัติ ๘ ก็ไปตามกำลังของตัวเอง ถ้าเป็นโลกียฌานก็อยู่ตรงนั้นแหละ ถาม : ถ้าคนได้สมาบัติ ๘ แล้วไม่ปรารถนาจะไปอยู่อรูปพรหม พอก่อนตายก็ไม่เข้าสมาบัติ ๘ ได้ไหมครับ ? ตอบ : ได้..แต่ส่วนใหญ่มักจะไปอยู่ตรงนั้น เพราะว่าเผลอเมื่อไรกำลังใจก็จะไปที่จุดสูงสุดที่ตัวเองเคยชิน มีอยู่อย่างเดียวคือต้องประกอบไปด้วยวุฎฐานวสี คือมีความคล่องตัวในการออกจากฌาน ถึงเวลาก็หลบลงมาที่สมาธิระดับต่ำ ๆ ถาม : อยู่ในฌาน ๔ หรือครับ ? ตอบ : ใช่..อย่าให้เกินนั้น หลบมาอยู่ในรูปฌาน แต่ส่วนมากแทบจะไม่มีใครรอด ถาม : ยากนะครับ ตอบ : เหมือนอย่างกับคุณสร้างทางใหญ่เป็นซูเปอร์ไฮเวย์ แล้วให้หลบลงทางเล็ก ๆ คุณก็ไม่ชิน มักจะไปตามซูเปอร์ไฮเวย์ของคุณนั่นแหละ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2012 เมื่อ 15:25 |
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#130
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : คำว่าสัมมาสมาธิมีความหมายว่าอะไรครับ ? ต้องเป็นสมาธิระดับสมาบัติ ๘ หรือไม่ครับ?
ตอบ : สัมมาสมาธิ หมายความว่าเราตั้งสมาธิไว้ในทางที่ถูกต้อง ก็คือเป็นสมาธิที่หนุนเสริมให้เกิดปัญญา ถ้าหากว่าหนุนเสริมให้เกิดปัญญาได้ ไม่ว่าจะเป็นสมาธิระดับไหนก็เป็นสัมมาสมาธิทั้งนั้น ถาม : ถ้าเราทำให้สมาบัติ ๘ เสื่อมก่อนตายล่ะครับ ? ตอบ : ลองดูซิว่าจะทำได้ไหม ? ระหว่างที่เราดำรงชีวิตอยู่ก็ดีบ้างเสื่อมบ้าง แต่หากว่าความคล่องตัวมีจริง ๆ จิตสุดท้ายจะไปเกาะตรงนั้นทันที แล้วความซวยจะมาเยือน ถ้าเกิดในอรูปพรหมอย่างน้อย ๆ ก็สองหมื่นมหากัป..! ถาม : แต่ถ้าเสื่อมแล้วเสื่อมหมดนี่ครับ ? ตอบ : ตอนเสื่อมนั้นเสื่อมหมด แต่คนที่คนเคยได้แล้ว แวบเดียวก็ตีคืนได้แล้ว ถาม : (ไม่ชัด) ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นอรูปพรหมหรือรูปพรหมต้องทรงฌาน ถ้าหากว่าหลุดมาข้างนอกเมื่อไรก็อยู่แค่ชั้นจาตุมหาราช ถาม : บุคคลที่ได้มโนยิทธิ จิตเกาะพระนิพพานได้ เป็นโลกุตรฌานไหมครับ ? ตอบ : ไม่ใช่..ยังเป็นโลกียฌานเต็ม ๆ อยู่ ถ้าสามารถสัมผัสพระนิพพานได้ อารมณ์ตอนนั้นเทียบเท่าพระโสดาปัตติมรรค จนกว่าคุณจะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันจริง ๆ จึงจะเป็นโลกุตรฌาน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2012 เมื่อ 15:27 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#131
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เวลาเข้าอรูปฌาน ถ้าเกิดคนที่ไม่เคยผ่านรูปฌานมาในชาตินี้ แต่ว่ามีปัจจัยมาก่อน สามารถจะทำอรูปฌานให้เกิดได้เลยไหมครับ ?
ตอบ : ยากจนแทบไม่มีทางเป็นไปได้..เพราะว่าอย่างน้อยเราต้องซักซ้อมรูปฌานให้คล่องตัวก่อน แล้วทรงกสิณกองใดกองหนึ่งที่ไม่ใช่อาโลกกสิณหรืออากาศกสิณขึ้นมา จึงสามารถจับเป็นอรูปฌานต่อได้ ถ้ารูปฌานไม่คล่อง โอกาสที่จะเข้าอรูปฌานเลยทีเดียวแทบเป็นไปไม่ได้เลย ยกเว้นว่าชาติก่อนเราเป็นประเภทสุดยอดฝีมือมาจริง ๆ พอชาตินี้เผลอมองฟ้าหน่อยเดียวก็ได้เลยอะไรอย่างนี้ สรุปว่า ต้องมีพื้นฐานมาจากรูปฌานทั้งหมด อรูปถ้าไม่มีรูปเป็นพื้นฐานก็ทำไม่ได้ ถาม : ไม่ว่าจะมาจากอรูปพรหม ก็ต้องได้รูปฌานก่อน ? ตอบ : เริ่มต้นที่รูปฌานก่อน ยกเว้นว่าท่านที่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า กำลังของท่านเกินแล้ว ของเก่าจะฟื้นคืนมาเอง แต่ก็ต้องซักซ้อมความคล่องตัว เพื่อที่จะใช้งานอย่างเต็มที่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 23-01-2012 เมื่อ 01:21 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#132
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ปีนี้เป็นชง ควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : เหมือนเดิม ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ทรงตัวเข้าไว้ กำลังพวกนี้สูงอยู่แล้ว จะชงขนาดไหนก็ไปได้ ถาม : เราต้องไปทำพิธีอะไรอย่างคนอื่นเขาไหมครับ ? ตอบ : เพื่อความสบายใจก็ไปทำเสีย เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ได้กำลังใจเพิ่มขึ้น แต่ถ้ามั่นใจตัวเองก็ไม่ต้องหรอก อย่างอาตมานี่แหกคอกมาตลอด ใครว่าอะไรไม่ดี กูจะทำให้ดู ทำให้ดีจนได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2012 เมื่อ 15:32 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#133
|
||||
|
||||
![]()
มีเด็ก ๒ คนกำลังนั่งกรรมฐาน พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า "ไปยาวแล้ว (หัวเราะ) นั่งให้ได้คนละครึ่งชั่วโมงเลยลูก เอาอย่างนี้ลูก..พุทโธ ๆ ไปเรื่อย นึกถึงภาพพระไว้บนหัว แล้วค่อย ๆ เลื่อนภาพพระครอบเราลงมา ขอให้โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ หายไป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2012 เมื่อ 15:33 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#134
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวาระสำคัญต่าง ๆ จึงทำให้ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา มอบของสำคัญมาให้ทางบ้านเราได้สักการบูชากัน ซึ่งถ้าตามปกติแล้วเราเดินทางไปจนถึงบ้านเขา ยังไม่แน่ว่าจะได้กราบไหว้บูชาแบบนี้
อย่างพระบรมธาตุข้อนิ้วพระหัตถ์ของวัดหลินกวง ประเทศจีน พระบรมสารีริกธาตุของประเทศศรีลังกา มาครั้งนี้ก็พระทันตธาตุของสมเด็จพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าของประเทศภูฏาน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2012 เมื่อ 13:12 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#135
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เวลานั่งสมาธิแล้วมีแสงสว่างขึ้นมาในตัว เป็นฌาน ๔ หรือเปล่าครับ ? เพราะผมเคยเจออยู่
ตอบ : แค่อุปจารสมาธิก็เป็นแล้ว ถ้าเป็นฌาน ๔ จะสว่างเจิดจ้าและไม่รับรู้อาการภายนอกเลย ถาม : ผมเคยเจอเหมือนกับว่าเวลาไม่นาน แต่จริง ๆ ผ่านไป ๒ ชั่วโมงแล้ว ตอบ : ใช่...รู้สึกว่าครู่เดียว แค่หายใจเข้าออกไม่กี่ที แต่ว่าระยะเวลาข้างนอกจะผ่านไปนานมาก ถาม : ตอนนั้นเหมือนกับพื้นกว้างสุดลูกหูลูกตาเลย ? ตอบ : ตอนนั้นไม่มีอะไรขวางได้แล้ว เพราะว่าทุกอย่างจะสว่างโล่งไปหมด ไปทำใหม่แล้วอย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น คิดว่าเรามีหน้าที่ทำ จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่าง ถ้าเราทำแล้วไปอยากให้เป็นก็จะไม่เป็นอีก เพราะตัวอยากมาขวาง ให้ไปซ้อมใหม่ ถ้าคล่องตัวเดี๋ยวก็สบายแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2012 เมื่อ 16:28 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#136
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "เขามีสูตรว่าหนีช้างให้หนีขึ้นเขา เพราะช้างตัวใหญ่ขึ้นที่สูงลำบาก ถ้าหากว่าอยู่ในที่ราบอย่าวิ่งหนีเป็นทางตรง ให้วิ่งหลบวนไปวนมา ถ้ามีต้นไม้อยู่ก็วน ๆ อยู่รอบต้นไม้ เพราะช้างตัวใหญ่กลับตัวได้ยาก ถ้าวิ่งทางตรง ช้างก้าวยาวกว่าเรา ๓-๔ เท่า ไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวเราแล้ว
ถ้าหากว่าหนีต่อหนีผึ้งให้หนีทวนลม แต่เราจะมีสติดูทางลมหรือเปล่า ? ไม่ใช่ไปวิ่งตามลม มีแรงลมส่งผึ้งก็ถึงตัวเราเร็วขึ้น อย่างเราหนีเสือขึ้นต้นไม้ก็พอได้ ถ้าไม่ใช่พวกเสือดาวหรือเสือดำจะขึ้นต้นไม้ได้ยาก แต่ว่าขึ้นต้องขึ้นให้สูงพอ อย่างน้อย ๗-๘ เมตรไปเลย ถ้าต่ำกว่านั้นเสือกระโจนทีเดียวถึง..! แต่ที่หนีไม่ได้คือหมี หมีวิ่งเร็วกว่าเรา ขึ้นต้นไม้เก่งกว่าเรา ว่ายน้ำเก่งกว่าเรา ไม่รู้ว่าจะหนีอย่างไร มีอย่างเดียวคือวิ่งเข้าหาแล้วตะโกนดัง ๆ ใส่หน้า พอเราตะโกนเข้าใส่ หมีตกใจจะกลับหลังหันวิ่งฝุ่นตลบเลย แล้วเราก็วิ่งหนีให้เร็วที่สุด เพราะหมีจะตกใจพักเดียว แล้วจะย้อนกลับมาใหม่ เพื่อดูว่าเมื่อกี้นี้เป็นตัวอะไรกันแน่ ถ้าหากว่าสัตว์ทำอันตรายเราไม่ได้ หรือว่าเราหนีพ้นเขต เขาก็เลิกยุ่ง เขาจะมีเขตหากินของเขาอยู่ ถ้าเราเข้าไปในเขตเขาจะถือว่าเราเป็นฝ่ายบุกรุก เขาก็จะขับไล่เราให้ออกจากเขต คราวนี้ระหว่างสัตว์กับสัตว์ด้วยกัน เวลาลงไม้ลงมือกันยังพอรับได้ แต่สัตว์แรงมากกว่าคน พอมาลงมือกับเราก็อาการหนัก ถ้าเราหนีพ้นเขตเขาก็เลิกไล่ หรือไม่ก็อย่าเข้าไปในเขตของเขาเลย สัตว์แต่ละชนิดจะมีระยะปลอดภัยของเขาอยู่ ถ้าเราไม่ก้าวล่วงระยะปลอดภัย เขาก็จะไม่โจมตีหรอก ยืนมองช้างไปเถอะ เขาไม่ทำอะไรหรอก แต่บางทีเราก้าวเข้าไปอีกก้าวเดียว ช้างอาจจะวิ่งใส่เลย เพราะฉะนั้น..กับสัตว์แล้ว การอยู่นอกระยะปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 23-01-2012 เมื่อ 17:12 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#137
|
||||
|
||||
![]()
"คุณเชน(มล.ปริญญากร วรวรรณ)โดนเสือตบหน้าแหว่งไปแถบหนึ่ง แถมเสียเลนส์เทเลโฟโตยาวเหยียดไปหนึ่งตัวด้วย คุณเชนถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ แม้ว่าเสือจะแยกเขี้ยวขู่อยู่ก็คิดว่าไม่เป็นไร ขยับเกินจุดนิดเดียวเสือโดดเข้าใส่เลย คราวนี้เขี้ยวมาถึงคอหอยแล้วจะให้ทำอย่างไร คุณเชนก็เอาเลนส์กระแทกใส่ปาก เสือเลยงับเลนส์พัง ถ้าไม่มีเพื่อนป่าไม้ ๒ คนช่วยกันเอ็ดตะโร เสือคงขย้ำตายอยู่ตรงนั้น ขนาดนั้นก็ยังเย็บซะหลายเข็ม
พวกสัตว์เวลาเขาโจมตีจะเร็วมาก อาตมาเคยเลี้ยงลูกหมีควาย เขาเพิ่งให้มาใหม่ ๆ ตัวขนาดประมาณหมาไทย แต่เวลายืนขึ้น ๒ ขาสูงเกือบถึงอกเรา แต่ถ้ายืน ๔ ขาก็ประมาณหมาอ้วน ๆ หน่อย อาตมาถือขันใส่นมไปให้ โดนตบผัวะเดียวขันกระจายเลย หมีตบไวจนมองไม่ทัน มาดูทีหลังว่าโดนตบ ๓ ทีทั้ง ๆ ที่เห็นแค่ทีเดียว นึกเอาแล้วกันว่าเร็วขนาดไหน ท่านชาติชายก็เหมือนกัน พยายามที่จะเลี้ยงงูเหลือม เอาตะเกียบคีบเนื้อไก่ไปยัดปาก งูก็ไม่ยอมกิน แหย่ไปแหย่มางูโกรธ ฉกเอาตอนไหนก็ไม่รู้ ตะเกียบกระเด็นหลุดมือไปแล้วเพิ่งจะรู้ว่างูฉก มองไม่ทัน เร็วได้ขนาดนั้น เวลาสัตว์ชาร์จเข้ามา ความเร็วของคนสู้ไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าจะให้ดีอย่าเข้าไปในเขตที่เกินกว่าระยะปลอดภัยของเขา ถ้าเข้าไปแล้วโดนแน่ ๆ เคยเจอกระทิงอยู่ในป่า ตัวเกือบเท่าช้างที่เขาเอามาเดินขายอ้อย น้ำหนักเป็นตัน ๆ เลย ที่ศูนย์เพาะพันธุ์สัตว์ป่าลำสะด่อง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เขาไปได้วัวแดงมาตัวหนึ่ง ชื่อเจ้าเบิร์ด อาตมาเอารถปิกอัพโฟร์วีลล์ไปเทียบ ตัวใหญ่เท่าปิกอัพแต่สูงกว่า ประเภทนั้นถ้าอยู่ในป่าแล้วยิงตายก็นั่งร้องไห้อยู่นั่นแหละ เพราะเอาออกมาไม่ไหวหรอก..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2012 เมื่อ 16:35 |
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#138
|
||||
|
||||
![]()
"สัตว์ที่อยู่ในป่าตัวจะใหญ่มาก ช้างเลี้ยงกลายเป็นตัวเล็ก ๆ ไปเลย เวลาช้างป่าเดินแล้วเอาสีข้างถูต้นไม้ ขี้โคลนจะติดตามต้นไม้ซึ่งเป็นความสูงประมาณเอวของเขา รอยโคลนของต้นไม้มีความสูงขนาดอาตมาพร้อมกับด้ามกลดแหย่ไปไม่ถึง แสดงว่าช้างในป่าสูงประมาณ ๓ เมตร ช้างที่เราเห็นมาเดินให้เราลอดท้องบ้าง มาให้ซื้ออ้อยเลี้ยงบ้าง ถ้าเอาเทียบกับพวกช้างป่า จะเหลือตัวนิดเดียวเอง
พวกกระทิงในป่าตัวเกือบเท่าช้างเลี้ยงแล้ว และความเร็วก็เหลือเกิน วันนั้นอาตมาไปกับท่านโมเช่ และฤๅษีบุญทรง ท่านโมเช่เดินนำหน้า อาตมาอยู่กลาง ฤๅษีบุญทรงปิดท้าย พอเลี้ยวโค้งตรงมุมเขา เพราะลำห้วยโค้งอ้อมภูเขา พอพ้นโค้งก็เห็นท่านโมเช่วิ่งหน้าเริ่ดมา ตะโกนว่า “อาจารย์ หนีเร็ว..!” อาตมามองไปข้างหน้า ลำห้วยช่วงนั้นมีหินก้อนใหญ่เท่าบ้านเท่าตึกเยอะแยะไปหมด แล้วกระทิงกำลังก้มหน้ากินน้ำอยู่ ก็เลยดูเหมือนกับก้อนหินเพราะว่าตัวใหญ่มาก ท่านโมเช่เดินไปเกือบจะชนก้นกระทิง ลมไม่ได้พัดมาทางเรา แต่ลมพัดจากเราไปหาเขา คราวนี้เราเพิ่งจะพ้นโค้งมา กระทิงยังไม่ทันได้กลิ่นก็เลยไปเจอกันอย่างกระชั้นชิด ตอนแรกเจ้ากระทิงหันมาหายใจพรืด..! ประเภทรำคาญ พออาตมาโผล่มาอีกคนเขาก็ชะงัก ยืดคอขึ้นมามอง พอฤๅษีบุญทรงโผล่มาอีกคนหนึ่งเขาเห็นท่าว่าคนเยอะ ไม่เอาด้วยแล้ว ก็กระโดดหนี ๓ ทีถึงยอดเขาเลย ไปอย่างกับลูกธนู..! ตัวเขาใหญ่อย่างกับช้าง แต่ทำไมถึงแข็งแรงและเร็วขนาดนั้นก็ไม่รู้ ? กระโจนพรวด ๆ ๓ ทีถึงยอดเขาเลย ด้วยความเร็วและแรงขนาดนั้น ถ้าพุ่งใส่เราจะเหลือไหมนั่น ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2012 เมื่อ 16:42 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#139
|
||||
|
||||
![]()
"มีนายพรานคนหนึ่งไปเจอหมีเข้า แล้วหมีไล่กวด แกก็วิ่งอ้อมต้นไม้ หมีก็ล้วงกรงเล็บมาตบดักหน้า แกตกใจไม่รู้จะทำอย่างไรก็คว้าข้อมือหมีไว้ พอหมีล้วงอีกข้างหนึ่งแกก็คว้าข้อมือหมีเอาไว้ ยื้อกันไปยื้อกันมา จริง ๆ แล้วหมีแข็งแรงกว่า แต่ต้นไม้ขวางอยู่ ถูกนายพรานดึงตัวติดต้นไม้ หมีก็ออกแรงไม่ได้
ด้วยความกลัวตายแกก็รั้งไว้สุดชีวิต ยื้อกันอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมงจนหมดแรงล้ม หมีหมดความสนใจก็เลยไป ถ้าหากว่าเป็นตอนหมีไล่ใหม่ ๆ นี่คงไม่ยอมนะ เพราะว่าตอนนั้นหมีกำลังโมโห จะไล่ให้พ้นเขตอย่างเดียว แต่ยื้อกันอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมงจนหมดความสนใจแล้ว พอมือหลุดได้หมีก็เลยเดินหันหลังหนีไปเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2012 เมื่อ 16:43 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#140
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นเด็กกับเห็นผู้หญิงแต่งตัวสวย ๆ แล้วเหนื่อยแทน เหนื่อยตรงที่ว่ากว่าที่เด็กจะโตก็ยังอีกนาน เขาต้องทุกข์ยากลำบากอีกเยอะเลย ส่วนผู้หญิงกว่าจะแต่งตัวสวยให้ได้อย่างนั้น และต้องพยายามสวยให้ได้ทุกวันก็ยิ่งเหนื่อยเข้าไปใหญ่
ใครที่มีแฟนไม่แต่งหน้าแต่งตานี่โชคดีมหาศาล ยิ่งกว่าถูกรางวัลที่ ๑ อีก ถึงจะโทรมเป็นยายเพิ้งก็ปล่อยเขาไปเถอะ ไม่เปลืองดี..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2012 เมื่อ 16:44 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|