|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#81
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านอนุสาวรีย์ที่คับแคบ แต่ดูอบอุ่นกว่า เขาชอบนั่งเบียด ๆ กัน บ้านวิริยบารมีกว้างกว่ามากกลับนั่งกันได้ไม่นาน พอมาทำบุญเสร็จก็กลับ (หัวเราะ) แปลกดีนะ..บ้านนี้พื้นที่เหลือเฟือ อยากจะนั่งตรงไหนก็ได้ กลับไม่นั่ง บ้านก่อนที่แคบ ๆ ไม่ค่อยมีที่จะนั่ง กลับเบียดกันเข้าไป"
ถาม : ที่กว้าง ๆ รู้สึกว้าเหว่ค่ะ ตอบ : เพราะเราปล่อยให้ความรู้สึกมานำ ใจไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน พอเริ่มนึกคิดปรุงแต่ง รัก โลภ โกรธ หลง ก็เกิดขึ้น ความเหงาเป็นปฏิฆะ พอปฏิฆะกระทบเข้ามาแล้ว ก็อยู่ที่ว่าเราจะปรุงไปด้านดีหรือด้านร้าย ถ้าปรุงไปในด้านดีก็เป็นราคะ ถ้าปรุงไปด้านร้ายก็เป็นโทสะ ถาม : ความเหงานี่นะคะเป็นโทสะได้ ? ตอบ : ใช่..ถึงเวลาก็โกรธ น้อยใจคนอื่น ทิ้งเราอยู่คนเดียว กลายเป็นโทสะ หรือว่าเหงาคิดถึงแฟน กลายเป็นราคะไปแล้ว บอกแล้วว่าอยู่ที่การปรุง และสภาพจิตของเรานี่สุดยอดเลย ปรุงมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน พอจะให้หยุดจึงหยุดยาก ถาม : ถือว่าเป็นฝีมือของมารหรือเปล่าคะ ? ตอบ : เป็นฝีมือของมารโดยตรง ที่จะรั้งเราให้ติดอยู่ในวัฏสงสาร ปกติธรรมชาติมนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น แต่เราต้องมีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่า ท้ายสุดทุกคนก็ตาย ไม่มีใครอยู่ร่วมกับเราได้ตลอดกาล ถ้ารู้อย่างนี้ก็ต้องมีปัญญามองเห็นว่า ทำอย่างไรจึงจะรักษาตัวรักษาใจของเราไว้ได้ ก็คือรักษาใจให้ผ่องใส ไม่ให้เศร้าหมองกับสิ่งรอบข้าง ไม่อย่างนั้นพอคนนี้จากไป คนนั้นตายไป ก็จะเกิดความเศร้าหมองทับถมมาเรื่อย ๆ กลายเป็นกดให้เราตกต่ำ จมอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องไปไหน แต่ถ้าเราสามารถชำระใจของเราให้ผ่องใสขึ้นมาได้ มีสติรู้เท่าทัน มีปัญญาเห็นสภาพความเป็นจริงว่า ธรรมดาของโลกเป็นอย่างนั้นเอง ถ้าเราไม่รักษาใจของเราเองไว้ ถึงเวลาเราก็เดือดร้อนเอง ให้กลับมารักษาตัวรักษาใจของเรา ดึงใจของเรากลับมาอยู่กับปัจจุบัน ชำระใจของเราให้ผ่องใส รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ และท้ายสุดกินเราไม่ได้เลย เราก็รอด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 02:27 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#82
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เราฟังคำสอนมาว่า เราคือตัวคนเดียวท่องเที่ยวไป พอเกิดอารมณ์รักขึ้นมา เราก็มาคิดว่า เออ..ผลสุดท้ายก็ตัวคนเดียว แต่มีความรู้สึกว่าเป็นแค่สัญญา ยังไม่ใช่ปัญญา
ตอบ : ไม่ใช่ปัญญา นั่นอยู่ในลักษณะประชด ถ้าประชดชีวิตลักษณะนั้น ผิดพลาดขึ้นมาจะกลายเป็นโทสะ ถาม : ทำอย่างไรจึงจะเป็นปัญญาจริง ๆ ? ตอบ : ถ้าใจยอมรับโดยไม่กำเริบใหม่ ถึงจะเป็นของจริง ถาม : เวลาคิด..? ตอบ : ต้องคิดไปก่อน คิดย้ำบ่อย ๆ เป็นจินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิดไปก่อน ถือว่าช่วยได้ระดับหนึ่ง หลังจากนั้นจะเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญารู้แจ้งเพราะเห็นตามความเป็นจริงแล้วจิตยอมรับ ถ้าอย่างนั้นก็จะถอนตัวหลุดออกมาได้ ถาม : คิดบ่อย ๆ ใช่ไหมคะ ? ตอบ : คิดบ่อย ๆ ก่อน พอกำลังสมาธิถึง ก็จะช่วยปัญญาตรงนั้นตัดขาดเลย แต่ถ้ากำลังสมาธิไม่ถึง ปัญญาดีแค่ไหนก็ไปไม่รอด ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเชือก ๓ เกลียว ฟั่นอยู่ด้วยกัน แยกกันไม่ได้ แยกกันเมื่อไรก็ใช้งานไม่ได้ ถาม : หลายครั้งจัดการตัวเองไม่ได้ค่ะ แก้ไขอะไรไม่ได้ ก็ใช้วิธีเอาตัวรอดว่า เออ..เราโง่ที่เกิดมาเอง เดี๋ยวก็จบ เดี๋ยวก็ตาย ตรงนั้นจะตัดได้ไหมคะ ? ตอบ : อย่างนั้นถือว่าเป็นการตัดระดับหนึ่ง ในเมื่อเรื่องใหญ่เกินกำลังของเรา เราต้องมีปัญญารู้ว่าแก้ไขไม่ได้ ก็ต้องวาง จัดเป็นอุเบกขา ถือว่าเป็นการตัดในระดับหนึ่ง จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าเราไม่ไปแบกไว้ตั้งแต่แรก เราก็ไม่ต้องวาง ส่วนใหญ่จะไปแบกกันเสียเยอะ ก็เลยต้องมาวาง ถาม : ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา เราไม่มีปัญญาจะจัดการ เราก็ตัดไปเลย ? ตอบ : เหมือนกับเรารู้ว่าไฟนั้นร้อน จะต้องไหม้เราแน่ ๆ เราก็ไม่แหย่มือเข้าไป เราก็ไม่ไปยุ่งกับไฟ แต่ถ้ามีปัญญามากกว่านั้น รู้ว่าไฟเกิดจากอะไร เราไม่ไปยุ่งกับสาเหตุนั้น ไฟก็ติดขึ้นมาไม่ได้ ก็ทำอันตรายเราไม่ได้ ถ้ามีปัญญาขึ้นไปอีกระดับหนึ่งก็จะไปตัดที่ต้นเหตุอย่างนี้ เหมือนรถม้าที่วิ่งจนจะตกหน้าผา เราก็รั้งไว้สุดชีวิต เราจะได้ไม่ตาย แต่หลังจากนั้นก็อย่าทะลึ่งไปขึ้นรถม้า จะได้ไม่ต้องไปตกหน้าผาแบบนั้นอีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 02:30 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#83
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ตอนนั้นหนูขับรถอยู่แล้วภาวนา รู้สึกว่าเรานิ่ง เพลงก็ได้ยิน รอบข้างก็เห็น แต่สงสัยว่าเราขับไปเอง โดยที่เราไม่ได้คิดหรือจากการสั่งงานของสมอง ?
ตอบ : นั่นเป็นความชำนาญ ความชำนาญภาษาพระเรียกว่า "วสี" พอเราเข้าถึงความชำนาญก็เหมือนกับเป็นระบบอัตโนมัติไปเอง แต่จริง ๆ แล้วยังคุมด้วยตัวเราที่เข้าถึงความชำนาญนั้น ก็คือเอาประสบการณ์ที่เคยผ่านมานั้นมาใช้งาน แต่เราใช้งานในลักษณะที่แบ่งความรู้สึกเป็นหลายส่วน จนส่วนนั้นบางมากแล้วเรารับรู้ไม่ได้ หรือไม่ก็รับรู้ได้น้อยจนคิดว่าทำไปเอง ถาม : จิตหนูภาวนาไม่ละเอียดจนถึงขั้นที่จะรับรู้การทำงาน ? ตอบ : ถ้าจิตละเอียดกว่านั้นจะรับรู้ชัดเจนเท่ากันทุกส่วน ถาม : อ่านเจอภาวะบาดเจ็บในสมอง เขาวิจัยว่ามีผลต่อพฤติกรรม แต่ในเมื่อจิตเป็นตัวขับเคลื่อนสมองและพฤติกรรม ถ้าเรารักษาที่จิต อาการจะหายไหมคะ ? ตอบ : จิตเหมือนคนขับรถ ร่างกายเหมือนกับรถ ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน ถ้ารถพังมาก คนขับก็เอาไปไม่ไหวเหมือนกัน ถ้าจะรักษาก็ต้องควบกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 17:23 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#84
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ๑๐ วัน แบบมหาสติปัฏฐาน ยุบหนอพองหนอ ประมาณวันที่ ๕ มีสภาวธรรมเกิดขึ้น รู้สึกว่าใจเป็นสุข สนุกกับการได้กำหนด ความคิดเรื่องอื่น ๆ ไม่ปรากฏ บางทีเผลอคิดบ้างแต่ก็กำหนดว่าคิดหนอ ๆ มีความอิ่มใจมาก บางทีเหมือนรู้วาระจิตคนอื่นค่ะ
ตอบ : สภาพจิตเริ่มอยู่ในอุปจารสมาธิขั้นปลาย จะเกิดปีติสุขขึ้นมาจนเกือบจะทรงเป็นฌานแล้ว แต่ทางสำนักนั้นเขาจะไม่ให้ทรงเป็นฌาน เขาจะให้ทรงในขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิเท่านั้น ก็เลยต้องสกัดด้วยคิดหนอ ๆ ทำให้ไม่สามารถที่จะดำเนินไปมากกว่าจุดนั้นได้ ขั้นแรกที่ทำมีประโยชน์สำหรับคนหัดใหม่ แต่ถ้าต้องการตัดกิเลสจริง ๆ กำลังจะไม่พอตัดกิเลสเพราะสมาธิไม่ได้ลึกไปกว่านั้น ถาม : บางทีไม่ได้กำหนดภาวะคิดหนออย่างเดียว ไปคิดถึงเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาค่ะ ตอบ : นั่นเรียกว่าแหกคอกเขา ไม่ได้ไปตามเขา แต่แหกคอกแบบนี้ถูกแล้ว เพราะถ้าเราไม่ได้คิดให้เห็นในเรื่องความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นตัวตนเราเขา การเข้าถึงวิปัสสนาญาณที่แท้จริงจะไม่มี เราต้องเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นตามความเป็นจริงแล้วสภาพจิตยอมรับ ในเมื่อยอมรับแล้วก็ปล่อยวางว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น ตอนแรกที่ทำมีประโยชน์ก็ทำไปเถอะ ถาม : มีอาการตัวโยกตัวโคลง สะบัดออกท่าฤๅษีดัดตน ตอบ : พวกนั้นเป็นส่วนของปีติทั้งหมด พอเริ่มก้าวเข้าสู่อุปจารสมาธิจะเกิดปีติขึ้นมา จากนั้นจะเป็นความสุข ไม่อิ่มไม่เบื่อไม่หน่าย แต่ไม่เข้าไปถึงเอกัคตารมณ์เพราะต้องคิดหนออยู่เรื่อย น่าเสียดายตรงที่ว่าการปฏิบัติสายพองหนอ ยุบหนอ ถ้าหากว่าคนที่ทำเข้าไม่ถึงจริงก็จะทำให้ติดอยู่แค่นั้น ไปต่อไม่ได้ เมื่อไปต่อไม่ได้ ไม่สามารถที่จะบอกทางต่อได้ เราก็เสียประโยชน์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 17:25 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#85
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ผมชอบกำหนดพุทโธควบกับลมหายใจครับ พอมีความคิดแทรกขึ้นมาพุทโธก็จะไม่จับ ผมใช้หลายวิธีครับ บางทีก็ชอบนึกเป็นตัวอักษรว่าพุทโธ บางทีก็นึกคำขึ้นมาเฉย ๆ พอทำไปเรื่อย ๆ พุทโธก็หายไปครับ บางทีก็ฟุ้งซ่าน บางทีหลับก็มีครับ ผมอยากจะขออุบาย
ตอบ : ไม่ต้องขอ..ที่ทำอยู่นั้นดีแล้ว เพียงแต่เราไม่เข้าใจอารมณ์นั้น จริง ๆ แล้วถ้าฟุ้งซ่านขึ้นมาให้ดึงกลับมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกใหม่ รู้ตัวเมื่อไรให้ดึงกลับมาอยู่ที่ลมหายใจทันที แต่พอทำไประยะหนึ่ง พอจิตเริ่มทรงตัวมากขึ้น ลมหายใจจะเบาลง บางทีคำภาวนาก็หายไป เรามีหน้าที่กำหนดรู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างนั้น อย่าอยากให้เป็นและอย่าอยากให้หาย เรามีหน้าที่ตามดูอย่างเดียว สมาธิจะดำเนินไปเอง มีลมหายใจก็รู้ว่ามีลมหายใจ ลมหายใจเบาลงก็รู้ว่าลมหายใจเบาลง ไม่มีลมหายใจก็รู้ว่าไม่มี ลมหายใจ ถ้าเริ่มต้นอะไรไม่ถูกให้กลับมาอยู่ที่ลมหายใจใหม่ ถาม : ถ้าเราใช้ความคิดพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ว่า วันนี้เราทำอะไรบ้าง จะได้ไหมครับ ? ตอบ : ได้อยู่..แต่บางอย่างเราควบคุมได้ไหม ? ถ้าเราควบคุมไม่ได้ เวลาเราคิดก็จะเตลิดเปิดเปิงไม่รู้จบ คือคิดไปตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ พอค่ำเสร็จหมดวันแล้วก็เริ่มต้นคิดใหม่ตั้งแต่เช้าอีก ความรู้สึกของเราจะวนรอบไปเรื่อย ๆ ถ้าจะคิดก็ให้คิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เช่น คิดถึงคุณความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คิดว่าศีลมีคุณอย่างไร ? ทานมีคุณอย่างไร ? คิดถึงว่าสภาพร่างกายของเรานี้ไม่ดีอย่างไร ? คิดว่าท้ายสุดแล้วเราก็ตาย ตายแล้วเราจะไปไหน ? หรือไม่ก็พิจารณาให้เห็นว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยงอย่างไร ? เกิดขึ้นมาค่อย ๆ โตขึ้น เดี๋ยวก็แก่ลง ท้ายสุดแล้วก็ตาย เป็นทุกข์อย่างไร ? ระหว่างที่เราดำรงชีวิตอยู่ เกิดก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ แก่ก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจก็ทุกข์ เศร้าโศกเสียใจก็ทุกข์ ปรารถนาไม่สมหวังก็ทุกข์ แล้วท้ายสุดมีอะไรเป็นเราเป็นของเราบ้าง หัวหูหน้าตาทั้งหมดนี้เราลองชี้ดู..มีอะไรที่เป็นของเรา จิ้มไปตรงไหนก็ไม่ใช่ทั้งนั้น ตรงนี้ก็หน้า ตรงนั้นก็ตัว ตรงนั้นก็นิ้ว ตรงนี้ก็เท้า สรุปว่าร่างกายนี้เกิดจากธาตุ ๔ รวมกันขึ้นมาให้เราได้อาศัยอยู่ชั่วคราว ท้ายสุดก็พังไป ยึดถือเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ เหมือนรถยนต์คันหนึ่ง พอรถหมดอายุก็พัง เราที่เป็นคนขับรถก็ต้องไปหารถยนต์คันใหม่ ถ้าเราทำความดีไว้มากก็ได้รถดี ๆ ก็คือเป็นมนุษย์ที่ดี เป็นเทวดา เป็นพรหม ถ้าทำความชั่วไว้มาก ก็ได้รถห่วยแตกใช้การไม่ได้ เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอย่างนี้ไม่รู้จบ ในเมื่อเราอยากจบมีที่เดียวคือพระนิพพาน คราวนี้พระนิพพานเราเองก็ไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ก็ต้องเอาสิ่งที่แทนพระนิพพาน ก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหนนอกจากอยู่ที่พระนิพพาน เราก็นึกถึงพระองค์ท่าน เอาใจเกาะพระองค์ท่านไว้ ว่าพระองค์ท่านอยู่ที่ไหน ถ้าเราตายก็ขอไปอยู่ที่นั่นด้วย พอความคิดมาลงตรงจุดนี้เราก็ภาวนาต่อ ภาวนาจนกำลังใจไปต่อไม่ได้ก็คลายออกมาคิดใหม่ ถ้าเราไม่หาเรื่องดี ๆ ให้ใจคิด เดี๋ยวใจก็จะคิดเอง ถ้าใจคิดเองก็จะฟุ้งซ่านไป รัก โลภ โกรธ หลง แล้วจะฟุ้งซ่านแรงมาก เพราะได้กำลังจากสมาธิของเราไปฟุ้ง เพราะฉะนั้น..ถึงเวลาภาวนาเสร็จทุกครั้ง ควรจะพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราไว้ด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 17:29 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#86
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : การตั้งสติอยู่กับหน้าที่การงานเป็นสมาธิไหมครับ ?
ตอบ : เป็น..แต่เป็นโลกียสมาธิ ความก้าวหน้าทางการปฏิบัติจะไม่มี ถาม : ต้องอยู่ในพุทโธหรือครับ ? ตอบ : อย่างน้อย ๆ อนุสติ ก็คือนึกถึงให้อยู่ในด้านดีเข้าไว้ อยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่กับทาน อยู่กับศีล อยู่กับพระนิพพาน เป็นต้น ถ้าหากว่าได้มากกว่านั้นก็ทำ พิจารณาให้เห็นจริงเลย เกิดมาชาตินี้เราก็ไม่เหมือนคนอื่นเขา อวัยวะก็ไม่ครบถ้วน ๓๒ (พิการทางสายตา) ถ้าเราเกิดมาเป็นอย่างนี้อีก เราก็ทุกข์อย่างนี้อีก ขึ้นชื่อว่าทุกข์อย่างนี้เราไม่เอาอีกแล้ว พยายามพิจารณาให้เห็นจริง ท้ายสุดเอาใจเกาะพระ เอาใจเกาะพระนิพพานแล้วภาวนาไป ให้ทำสลับกัน ภาวนาแล้วมาพิจารณา พิจารณาแล้วกลับมาภาวนา ถาม : ทำสลับกันได้หรือครับ ? ตอบ : ไม่ใช่ว่าทำสลับกันได้ แต่ต้องทำสลับกัน เหมือนคนผูกขาติดกัน ต้องผลัดกันก้าวทีละขาถึงจะไปได้ เพราะก้าวขาเดียวไปไม่ได้ ต่อไปให้ภาวนาแล้วพิจารณา พิจารณาแล้วภาวนา ทำสลับกันไปเรื่อย ๆ ถึงจะก้าวหน้า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 17:31 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#87
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า ปัญหาใหญ่ปัจจุบันของเด็กไทยคือสมาธิสั้น ต้องเร่งแก้ไขด่วน
ถ้าจะเร่งแก้ไข อาตมาอยากจะเสนอว่า ให้ลดอาหารบำรุงทุกอย่างที่แม่กินตอนตั้งท้องลง เท่านี้ปัญหานี้ก็จะจบเลย เพราะที่เด็กทุกวันนี้พลังงานล้นเกิน เนื่องจากแม่บำรุงมากเกินตั้งแต่เด็กอยู่ในท้อง พอคลอดออกมา สติสมาธิของเขาเท่ากับเด็กทั่ว ๆ ไป แต่พลังงานล้นเกินจึงอยู่นิ่งไม่ได้ พออยู่นิ่งไม่ได้ ความสนใจจึงไม่ได้อยู่กับที่ กลายเป็นเด็กสมาธิสั้นไปด้วย รุ่นที่เกิดมาแล้วก็ช่างเถอะ ส่วนรุ่นใหม่ถ้าไม่อยากมีปัญหา คุณแม่อย่าไปบำรุงขนาดนั้น รุ่นที่เกิดมาแล้วก็จับฝึกสมาธิ จับเล่นกีฬา ใช้พลังงานให้หมด จะได้มีสมาธิมากขึ้น ไม่อย่างนั้นเราจะมีลูกลิงอยู่ในบ้าน นิ่งไม่ได้ แล้วก็โทษเด็กไม่ได้ด้วย เพราะเด็กเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาเป็นอย่างนั้น คนเป็นพ่อเป็นแม่พอรู้ว่าเด็กอยู่ในท้องก็รีบบำรุงเต็มที่เลย พอบำรุงมากเกิน พลังงานล้นเกิน การแสดงออกก็เกิน ๆ อย่างที่เห็น รุ่นของอาตมาไม่มีหรอกที่พลังงานล้นเกิน เพราะได้กินแต่กล้วยกับข้าวบด สมัยนี้มีสารพัดนม ผสมน้ำผึ้ง ผสมวิตามิน โฟเลทสูง แอลลีนสูง ฯลฯ คาดว่าปัญหานี้พวกบริษัทที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เขารู้อยู่ แต่ไม่มีอะไรที่จะขายง่ายไปกว่าขายให้กับความรักของพ่อแม่ ในเมื่อรู้สึกว่าดีต่อลูกก็พยายามซื้อกันใหญ่ ถ้าไปบอกว่ากินแล้วไม่ดีต่อลูกใครเขาจะไปซื้อ เพราะฉะนั้น..ต่อให้รู้เขาก็ไม่พูด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 17:33 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#88
|
||||
|
||||
![]()
"ช่วงการปฏิบัติธรรมที่ผ่าน ๆ มา ดีใจที่มีเด็กหลายคนไปปฏิบัติด้วย แม้จะอยู่ในลักษณะที่อยู่นิ่งไม่ได้ แต่เขาก็พยายามควบคุมตนเอง ต้องบอกว่าพวกนี้บุญเก่าเขาดี ถึงได้เลี้ยวไปถูกทาง ถ้าพยายามฝึกฝนดีตั้งแต่เล็ก ๆ โตไปจะเป็นคนที่มีสมาธิมั่นคง ส่วนคนที่ไม่เคยได้รับการฝึกฝนเลยก็กรรมใครกรรมมัน โดยเฉพาะกรรมของพ่อแม่นั่นแหละ ทำเองก็รับไปเถอะ..!
ผู้ใหญ่สมัยนี้โดนแรงโฆษณาทำเสียเยอะ โดยเฉพาะพวกกินนมแคลเซียมสูง กระดูกผู้ใหญ่งอกไม่ได้แล้วเหมือนกับเด็ก เมื่อเป็นดังนั้นก็จะไปงอกอยู่ ๒ ที่ ที่หนึ่งคือภายในโพรงฟันตัวเอง ถ้างอกมาก ๆ เข้าก็จะไปบีบประสาทฟัน แล้วจะปวดฟันโดยหาสาเหตุไม่ได้ ที่สอง ก็คือจะไปงอกตรงโคนเล็บ เพราะเล็บยังงอกได้อยู่เรื่อย ๆ เมื่อมากเกินกว่าที่จะงอกออกมาเป็นเล็บ กระดูกนิ้วมือของพวกที่กินนมแคลเซียมสูงก็จะบวมเป็นก้อน ดังนั้น..ระมัดระวังด้วยนะจ๊ะ กระดูกจะแข็งแรงขึ้นอยู่ว่าได้รับแสงแดดพอไหม ? ออกกำลังพอไหม ? ไม่ใช่กินแต่นมแคลเซียมสูงอย่างเดียว ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าว่า อะไรที่พอดีเป็นทางสายกลางถึงจะดี ถ้ามากเกินเมื่อไรย่อมเป็นโทษเมื่อนั้น กินอาหารที่มีแคลเซียม อย่างเช่น พวกปลาเล็กปลาน้อยบ้าง ออกกำลังบ้าง รับแสงแดดบ้าง กระดูกจะแข็งแรงพอ ปู่ย่าตาทวดมีบ้างไหมที่เขากินนมแคลเซียมสูง ? ก็เห็นเขาแข็งแรงดี อายุยืนอีกต่างหาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 17:33 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#89
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "บุคคลแต่ละคนมีพื้นฐานจิตใจไม่เหมือนกัน เมื่อเข้ามาปฏิบัติธรรมก็ค่อย ๆ ฝึกฝนกล่อมเกลาไปเรื่อย ๆ ลองมานึกดูว่าคนเราเหมือนกับลูกเต๋าลูกหนึ่ง มาถึงก็วางทื่ออยู่ตรงนั้นเลย พอนานไป ค่อย ๆ ฝน ค่อย ๆ ลบ เกลาไปเรื่อย ๆ เหลี่ยมก็น้อยลง..น้อยลง ค่อย ๆ กลม กลิ้งจนเคลื่อนที่ได้ จนกระทั่งกลมเต็มที่ คราวนี้จะกลิ้งไปไหนก็ได้
การปฏิบัติธรรมพอถึงระดับนั้นก็เหมือนกับหยาดน้ำบนใบบัว ก็คือกลิ้งไปกลิ้งมาแต่ไม่ติดอยู่กับใบบัวนั้น นั่นคือสภาพจิตที่ประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเครื่องกันเราไม่ให้ยึดติดอยู่กับโลก ถ้าหากว่าถึงระดับนั้นก็มีโอกาสการก้าวถึงความหลุดพ้นได้ แต่ถ้ายังขัดเกลาตัวเองไม่พอ ยังเป็นเหลี่ยมเป็นมุมอยู่ ก็จะขัดตาอย่างบางคนที่เราเห็น แล้วก็พาให้ขัดใจ เราก็เสียเองเพราะใจเราหมองเอง เพราะเราดันไปคิดว่าเราดีกว่าเขา โดนกิเลสหลอกเอาเต็ม ๆ" ถาม : ถ้าคนที่เข้ามาทางพระไม่นาน แต่คิดว่าตนเองเป็นพระอนาคามีแล้ว ? ตอบ : เขาอาจจะเป็นจริง หรือไม่เขาอาจจะหลงตัวเอง เพราะว่าการเข้าถึงธรรมไม่ได้อยู่ที่ระยะเวลา แต่อยู่ที่ สติ สมาธิ ปัญญา ที่สั่งสมมา ถ้าเขาสั่งสมมาได้ที่ เข้ามาได้เลยก็มีเหมือนกัน ถาม : พระอนาคามีต้องไม่มีการเหยียดหยามผู้อื่น ? ตอบ : ถ้าไม่รู้จริงอย่าไปตั้งกติกาอย่างนั้น เขาอยากเป็นก็ให้เขาเป็นไป อาจจะเป็นพระอนาคามีของเขา แต่ไม่ใช่พระอนาคามีในแบบของพระพุทธเจ้าก็ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 17:35 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#90
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : อารมณ์ของพระโพธิสัตว์ ถ้าจะทรงให้นานที่สุดต้องใช้เมตตาอัปปมัญญาใช่ไหมครับ ถึงจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง ?
ตอบ : ต้องมีสมาธิด้วย เมตตาอย่างเดียวไปไม่รอดหรอก เพราะถึงเวลากระทบแล้วใจไม่มั่นคง เพราะฉะนั้น..สำคัญที่ต้องมีสมาธิ พูดง่าย ๆ ว่าต้องมีกำลังที่จะฝืนกระแสโลก ถ้าไม่มีสมาธิกำลังก็ไม่พอที่จะฝืนกระแสโลก ถาม : อุเบกขาของสาวกกับอุเบกขาของพระโพธิสัตว์ ต่างกันอย่างไรครับ ? ตอบ : อุเบกขาของพระโพธิสัตว์เป็นอุเบกขาในเมตตา วางเฉยแต่ก็พร้อมช่วยเหลือทุกทีที่มีโอกาส ส่วนอุเบกขาของสาวก เบรกทั้งขาทั้งมือ เลิกแล้วเลิกเลย ถาม : การที่ไปเกิดอยู่นอกเขตพุทธศาสนาเป็นเพราะมิจฉาทิฐิใช่ไหมครับ ? ตอบ : เป็นเพราะไม่มั่นคงในพุทธานุสติ เมื่อไม่มั่นคงในพุทธานุสติ ก็มีโอกาสกระเด็นออกไปนอกเขตพระพุทธศาสนา ถาม : เมื่อไปอยู่ตรงนั้นจะทำให้บารมีลดลงหรือไม่ครับ ? ตอบ : อยู่ที่ไหนก็บำเพ็ญได้ การบำเพ็ญบารมีจะมีแต่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ถาม : พระโพธิสัตว์มาเกิดเป็นคริสต์เป็นมุสลิมมีด้วยหรือครับ ? ตอบ : มีเยอะแยะไป ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้นำเขา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-12-2011 เมื่อ 12:01 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#91
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ทุกข์ในอริยสัจกับทุกข์ทั่วไปต่างกันตรงไหนคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คืออย่างเดียวกัน อยู่ที่ว่าเราพิจารณาถึงต้นตอของทุกข์ได้จริงไหม ? ถ้าพิจารณาถึงต้นตอของทุกข์ได้จริง ๆ แม้กระทั่งลมหายใจก็ยังอยากจะโยนทิ้ง เพราะว่าเป็นสาเหตุของทุกข์เหมือนกัน เพียงแต่ว่าพอกล่าวถึงความทุกข์ในอริยสัจ ท่านรวบยอดใช้คำว่า สิ่งที่ทนได้ยากคำเดียว แต่ทุกข์ทั่ว ๆ ไปท่านแยกออกเป็น สภาวทุกข์ ทุกข์ที่เกิดขึ้นตามสภาพ เช่น เกิด แก่ เจ็บ ตาย นิพัทธทุกข์ ทุกข์เนืองนิตย์ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย หนาวร้อน หิวกระหาย การปวดอุจจาระปวดปัสสาวะ ปกิณกทุกข์ ทุกข์จรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เข้ามา อย่างเช่น กระทบกระทั่งกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ ได้สิ่งที่ไม่รัก ไม่ได้ในสิ่งที่รัก ก็แค่แยกแยะละเอียดลงไปเท่านั้นเอง ท้ายสุดก็เลยรวมลงไปตรงคำว่า สิ่งที่ทำให้เราต้องทนลำบาก ถาม : แล้วพวกอภิธรรมที่เขาแยกทุกข์ทั่วไป ? ตอบ : เกินความรู้ของเรา นั่นสำหรับคนที่จะไปเป็นครูสอนเขา คือคนที่จะไปเกิดไปเป็นพระพุทธเจ้าใหม่ ก็ศึกษาให้ละเอียดเข้าไว้ แต่ถ้าเราต้องการแค่บรรลุธรรมก็ไม่ต้องไปศึกษาตรงนั้น ถาม : ทุกข์ทั้งโลกนี่คือทุกข์ในอริยสัจ ? ตอบ : ใช่...รวมอยู่ในทุกข์ของอริยสัจ ถาม : แล้วตัวอวิชชาที่ท่านอธิบายว่า รู้ไม่จริงในทุกข์ ท่านแยกเป็นฉันทะกับราคะ ตัวฉันทะพอเข้าใจ แต่ตัวราคะไม่เข้าใจ ? ตอบ : ดอกไม้สวยไหม ? ถ้าสวยก็เกิดความพอใจขึ้นมาก็คือฉันทะ ในเมื่อเกิดความพอใจขึ้นมาก็เกิดความอยากมีอยากได้ ราคะก็คือความอยากมีอยากได้ ถาม : นั่นคือตัณหา ? ตอบ : ก็คือสิ่งที่เรากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วเกิดไปยินดีพอใจ อยากมีอยากได้ขึ้นมา หรือไม่ก็กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วไม่พอใจ ก็ผลักไสไม่ต้องการ..เจ๊งทั้งคู่ ถาม : ฉันทะกับราคะแยกกันไม่ได้ ตอบ : ถ้าจิตไม่ละเอียดจริงก็แยกกันไม่ได้ เพราะทันทีที่เกิดฉันทะ อารมณ์ใจจะปรุงเร็วมากเลย ชอบหรือไม่ชอบ ชอบก็เป็นราคะ ถ้าไม่ชอบก็เป็นโทสะ แต่ว่ารวมแล้วก็คือ ความไม่รู้ทำให้จิตไปปรุงแต่ง จึงได้บอกว่า ต้องสักแต่ว่าเห็น ต้องสักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส อย่าให้เข้ามาในใจของเรา ถ้าเข้ามาเมื่อไรก็จะทำอันตรายเราทันที ดีแล้ว...รักษาอารมณ์ไว้ เพียงแต่ลดความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่รู้แล้วไม่ช่วยให้ตัดกิเลส ทางเราก็จะไปสะดวกขึ้น ถาม : เวลาฟังธรรมหรืออ่านหนังสือของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ รู้สึกเกิดความเคารพรักท่าน เป็นเพราะว่าเราฟังแล้วเรายึดติดในตัวท่าน ทำให้เราเข้าใจมากขึ้น หรือเป็นเพราะจิตเราคล้อยตามเพราะเราพัฒนาขึ้น ? ตอบ : ถ้าพัฒนามากขึ้นจะสังเกตว่า เรายิ่งอ่าน เราก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้น ขณะเดียวกัน บางส่วนอาจจะรู้สึกว่าคราวที่แล้วเราอ่านไม่พบ คราวนี้ทำไมเราอ่านพบ ก็คือว่าสภาพจิตตอนนั้นยังหยาบอยู่จึงมองข้ามไป แต่พอจิตเราละเอียดพอ เราอ่านก็สะดุดใจ เข้าใจทันที เป็นพัฒนาการที่มากขึ้น ๆ ในเมื่อเกิดขึ้นจากคำสอนของท่าน เราก็เห็นคุณของความเป็นพระสงฆ์ของท่าน ว่านี่คือสังฆคุณที่แท้จริง ไม่ใช่ร่างกายของท่าน แต่นั่นคือความดีของท่านที่ท่านรู้ธรรมแล้วนำมาสอนเรา เราก็จะเกิดความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจ ไม่ใช่เคารพแต่เปลือก ถ้ามีความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจเมื่อไร ก็แปลว่าบันไดขั้นแรกเราแตะได้แล้ว ให้เหยียบให้มั่นคงโดยเสริมศีลให้ดี สร้างสมาธิให้เกิด ตั้งใจว่าถ้าตายแล้วขอไปพระนิพพาน ถ้าทำอย่างนั้นได้ครบ ก็แปลว่าบันไดขั้นแรกเรายึดได้แน่นอนแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-12-2011 เมื่อ 14:31 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#92
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : สำหรับพระโพธิสัตว์ บารมี ๓๐ ทัศอย่างเดียวไปไม่รอดใช่ไหมครับ จะต้องรู้ธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านเคยทรงปฏิบัติมาก่อนใช่ไหมครับ ?
ตอบ : บารมี ๓๐ ทัศก็เกินพอแล้ว ถาม : ไม่ต้องไปค้นหาธรรมะที่แท้จริงหรือครับ ? ตอบ : ปัญญาบารมีเอ็งเอาไว้ทำอะไรวะ..?! ไม่มีใครตะกายไปทำทั้ง ๓๐ ทัศหรอก ทำอย่างเดียวก็พอแล้ว คนที่จะให้ทานได้ก็ต้องมีปัญญา เห็นว่าการให้ทานนั้นดีถึงจะให้ คนที่จะให้ของคนอื่นได้จิตก็ต้องประกอบไปด้วยเมตตา บุคคลที่จิตประกอบด้วยเมตตาศีลก็ต้องมี ลองไล่ไปดูสิเดี๋ยวก็ครบ ๑๐ ข้อ เพียงแต่ว่าทำจริงให้ได้สักข้อ เดี๋ยวข้ออื่นก็มาเอง ถาม : ที่ผ่าน ๆ มา ความโกรธดับไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ตอบ : ชาติหน้าบ่าย ๆ โน่น..! พระโพธิสัตว์ที่ไหนดับโกรธได้ คนที่จะดับโกรธได้ต้องเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไป พระโพธิสัตว์ท่านจะไปตรัสรู้ดับกิเลสเอาชาติสุดท้าย ตอนเป็นพระโพธิสัตว์ความโกรธของท่านยังมีอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ท่านที่บารมีสูงมาก ๆ จะรู้เท่าทันความโกรธนั้น เห็นว่าสาเหตุของความโกรธนั้นเกิดจากสาเหตุอะไร แล้วท่านก็ไม่ไปยุ่งกับสาเหตุนั้น ไม่เอาไม้ขีดไปแหย่ใส่ แล้วเชื้อเพลิงจะติดไฟได้ไหม ? ก็ไม่ได้..แค่นั้นเอง ท่านยังมีโทสะอยู่เต็ม ๆ เพียงแต่ไม่ไปจุดไฟขึ้นมา ถ้าหากความโกรธของเรายังงอกงามอยู่เป็นปกติ แสดงว่ากำลังของเรายังต่ำอยู่ ต้องเร่งการปฏิบัติให้มากขึ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2011 เมื่อ 13:37 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#93
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : การแยกพิจารณาร่างกายในอารมณ์ของพระอริยเจ้าระดับต่างกัน จะมีความละเอียดต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : พระโสดาบันเห็นว่าร่างกายนี้ต้องตายแน่นอน พระสกิทาคามีกับพระอนาคามีจะเห็นว่าร่างกายนี้สกปรกโสโครก มีแต่ความน่ารังเกียจ ไม่มีอะไรน่ายินดี พระอรหันต์ท่านจะเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ในเมื่อไม่ใช่ของเรา ของคนอื่นก็ไม่ใช่ของเรา ก็ไม่อยากได้ร่างกายของใครเขา ถาม : ถ้าพิจารณาแล้วมันตายด้านครับ เป็นแค่สัญญา? ตอบ : การพิจารณาต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก จนจิตไม่เถียงเรา พอบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่เลย เมื่อหลายปีก่อนพระสมุห์กอล์ฟ เขามีคำถามว่า พยายามพิจารณาว่าร่างกายสกปรก แต่เวลาสาวมาหาทีไร เขาอาบน้ำแต่งตัวมาเต็มที่ทุกทีเลย ก็เลยไม่เห็นว่าสกปรก แสดงว่าท่านมีปัญญาไม่พอ ติดอยู่แค่เปลือกเท่านั้น ต้องมองทะลุเข้าไปสิว่า ร่างกายประกอบด้วยอะไร มีเลือด มีน้ำเหลือง มีอวัยวะภายในเยอะแยะยั้วเยี้ยไปหมด นั่นแสดงว่าเปลือกบดบังอยู่ ปัญญาไม่พอ แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนที่น่าสรรเสริญ คือว่าตัวเองมองต่อไปไม่ได้ ก็ยังบอกออกมาว่าเป็นอย่างไร เป็นประโยชน์กับคนอื่นด้วย คราวนี้การพิจารณาให้โอปนยิโก คือน้อมนำเข้ามาในกายของเรา ให้เห็นชัดเจนจนใจไม่เถียงแล้ว ว่าร่างกายคนอื่นก็เหมือนเรา สัตว์อื่นก็เหมือนเรา อย่าไปพิจารณาเพศตรงข้าม โดยเฉพาะพวกจิตใจไม่เข้มแข็ง ไม่อย่างนั้นปัญญาจะโดนกิเลสบัง พิจารณาที่ตัวเองก่อนจนช่ำชองชำนาญแล้วค่อยขยายออกไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-12-2011 เมื่อ 15:40 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#94
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : การพิจารณาอสุภกรรมฐาน ถ้าเราไปดูการผ่าพิสูจน์ศพที่โรงพยาบาล จะช่วยได้ไหมคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับสภาพจิต ถ้าสภาพจิตไม่ดื้อมากก็ช่วยได้ ถ้าดื้อมากก็จะเจอประสบการณ์เหมือนอย่างพวกอาตมา พี่สุรินทร์เป็นลูกป้ากิมกี ป้ากิมกีคือลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นแรก ๆ ที่เปิดร้านขายอาหารอยู่ในวัดท่าซุง พี่สุรินทร์เป็นเจ้าหน้าที่นิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ ถ้ามีศพเข้ามาก็จะโทรศัพท์มาบอกพวกเรา พวกเราก็ลาหลวงพ่อไปโรงพยาบาลกันที ๔-๕ รูป ไปพิจารณาศพ ตอนแรก ๆ แค่เหยียบเข้าไปก็อาเจียนแทบไม่เหลือ เห็นครั้งแรกก็แหวะ..! กินข้าวไม่ได้ไป ๓ วัน พอนานไป ๆ ปัญญาไม่ถึง ก็เริ่มตายด้านกับศพ เวลาผ่าศพผู้หญิงเราก็ไม่ดูตรงที่เขาผ่า เราไปดูตรงที่ยังดี ๆ นี่คือปัญหาที่เจอมาด้วยตัวเอง ดังนั้น..ปัญญาไม่ถึงอย่าไปพิจารณาเพศตรงข้าม ไม่อย่างนั้นเจ๊งหมด..! อย่างเรื่องฤๅษีกไลยโกฏิบำเพ็ญตบะมานาน ถึงขนาดทำให้ฝนแล้งไป ๓ ปี ชาวบ้านเดือดร้อนไปหมด ไม่มีใครสามารถทำให้ฤๅษีคลายตบะได้เลย พระราชธิดาจึงอาสาพระราชบิดาไปจัดการให้ พอฤๅษีเจอพระราชธิดาก็สงสัย ถามว่า "เจ้าเป็นตัวอะไร?" เพราะไม่เคยเจอคนมาก่อน พระราชธิดาบอกว่า "ดิฉันเป็นมนุษย์" ฤๅษีถามว่า "ทำไมเจ้าจึงมีเขาอยู่ที่อก ?" พระราชธิดาบอกว่า "ไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่เกิดมาก็มีอย่างนี้แล้ว ประหลาดมาก..เพราะเขานี้ไม่ได้แข็งเหมือนเขาสัตว์ทั่ว ๆ ไป พระคุณเจ้าลองสัมผัสดูก็ได้" พอสัมผัสพระคุณเจ้าก็ตบะแตกเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2011 เมื่อ 15:00 |
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#95
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : มีหนังสือที่กล่าวว่า รัชกาลที่ ๖ กลับมาเกิดใหม่ แล้วจะมาบริหารประเทศให้เจริญ
ตอบ : ตอนนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว ไม่ต้องไปกลุ้มใจ ไม่ต้องไปสงสัย เดี๋ยวท่านก็โผล่มา คนสำคัญขนาดนั้นต่อให้เอาขยะไปกลบก็กลบไม่อยู่หรอก ถาม : ตามพระบรมรูปทั้งหลายมีเทวดาทำงานแทนท่านอยู่ไหมครับ ? ตอบ : ถ้ามีคนไปการกราบไหว้บูชาอยู่ ก็ยังมีเทวดาทำหน้าที่แทนอยู่เป็นปกติ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2011 เมื่อ 13:42 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#96
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เวลาบำเพ็ญบารมีพุทธภูมิไปเรื่อย ๆ ถ้าต้องมีการถอย ?
ตอบ : ไม่ถอย..มีแต่ขึ้นหน้า สันดานแก้ไม่ได้ เหมือนโดนบังคับให้ขึ้นหน้าอยู่ตลอดเวลา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2011 เมื่อ 13:42 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#97
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เมื่อก่อนต้องบริกรรมแล้วถึงจะนิ่ง แต่ตอนนี้ไม่ได้บริกรรมก็นิ่งเลย ต้องย้อนกลับไปบริกรรมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง...ถ้ามีความคล่องตัวแล้ว สมาธิจะกระโดดไปจุดที่ตนเองต้องการเลย ยกเว้นว่าเราต้องการซักซ้อมความชำนาญ ก็ฝึกการลดลงมาหรือขึ้นไป หรือสลับไปสลับมา ไม่อย่างนั้นจะพรวดเดียวไปเลย ถาม : พอระดับสมาธิขึ้นสูงไปแล้ว เราก็ดึงกลับมาบริกรรมใหม่ ? ตอบ : เสียเวลา...ยกเว้นเราจะซ้อมเอาความชำนาญ แต่อยากจะให้ซ้อมเข้าสมาธิสูงสุดให้ชำนาญที่สุด พอถึงเวลารัก โลภ โกรธ หลงมา ทันทีที่เรารู้ตัวให้รีบเข้าไปสู่อารมณ์สมาธิของเรา กิเลสจะกินไม่ได้ ถาม : หนีไปสู่สมาธิระดับสูง ตอบ : เข้าสู่สมาธิของเรา กิเลสก็ทำอันตรายเราไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่อยู่ในลักษณะหนีปัญหา แต่ว่าต้องหนีก่อนเพื่อไม่ให้จิตใจขุ่นมัว หลังจากนั้นค่อยใช้กำลังของปัญญามาพิจารณาตัดเอาภายหลัง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2011 เมื่อ 14:57 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#98
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : อาหารที่เขาตั้งใจถวายพระ ถ้าเราเอามากินก่อนจะเป็นเปรตไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเขาตั้งใจถวายพระ ก็เป็นแน่นอน ตัวอย่างก็กากะเปรต ถาม : อาหารอร่อย ? ตอบ : เราไปทำอย่างนั้นก็จะซวยไม่รู้ตัว สิ่งที่เขาตั้งใจถวายสงฆ์แต่ยังไม่ได้ถวาย เขาเรียกว่า ของกึ่งกลางระหว่างสงฆ์ ของตัวเองก็ไม่ใช่เพราะตั้งใจถวายไปแล้ว จะเป็นของสงฆ์ก็ไม่ใช่เพราะสงฆ์ยังไม่ได้รับ ถ้าไปกินถือว่าติดหนี้สงฆ์เหมือนกัน ถาม : ถ้าชิมละคะ ? ตอบ : ถ้าปรุงอาหารก็จำเป็นต้องชิม ตอนนั้นไม่เป็นไร แต่เมื่อปรุงเสร็จแล้วอย่าไปชิมเพิ่มก็แล้วกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2011 เมื่อ 12:27 |
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#99
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "นักศึกษาญี่ปุ่นเคยทำวิจัยแล้วสรุปว่า ประเทศไทยนอกจากในหลวงแล้วโกงทุกคน นี่เขาเหมาพระไปด้วยนะ..(หัวเราะ)..ความจริงเขาไม่ได้โกงหรอก เขาแค่รับในส่วนที่เขาคิดว่าควรจะได้รับเท่านั้น ความคิดนี้ฝังรากลึกใน dna แล้ว แก้ไม่ได้
ระบบนี้มาจากเมืองจีน สมัยก่อนพ่อค้าจีนต้องการความคล่องตัวในการดำเนินกิจการต่าง ๆ จึงหาของจิ้มก้องไปให้แก่บรรดาเจ้าเมืองหรือข้าราชการ พอคนจีนเข้ามาเมืองไทยก็เอาระบบนี้มาใช้ที่เมืองไทย นาน ๆ ไป คนที่ให้ของขวัญ ให้เงิน ก็ได้รับความสะดวก ส่วนคนที่ไม่ให้ก็ไม่ได้รับความสะดวก จึงต้องให้กันทุกคน จนกลายเป็นอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน ฝังรากลึกอยู่ใน dna ไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นแล้ว ใครจะรับก็ไม่ว่านะ แต่มีนรกขุมหนึ่งที่เป็นยมโลกียนรก มีไว้สำหรับพวกคอร์รัปชั่นโดยเฉพาะ..!" ถาม : พวกที่กินอิฐ หิน ปูน ทราย พอลงไปนรกต้องกินอย่างนั้นไหมคะ ? ตอบ : เปล่า...ยมโลกียนรกขุมนั้นเป็นภูเขาเหล็กลุกแดงโร่ ๒ ลูก หมุนบี้เข้าหากัน แล้วคนพวกนี้ก็อยู่ตรงกลาง เหมือนลูกกลิ้ง ๒ ลูกกลิ้งเข้าหากัน ถ้าหนีทันก็แล้วไป ถ้าหนีไม่ทันก็ถูกบี้ป่นเป็นแป้ง พอไปอีกฝั่งเกิดใหม่ก็มีภูเขาลูกใหม่มาอีก ถ้าเป็นภูเขาธรรมดาก็พอทน แต่ภูเขานี้ลุกเป็นไฟแดงโร่เลย พวกที่อยู่ในนรกแห่งนี้ถ้าเกิดใหม่คงแข่งวิ่ง ๑๐๐ เมตรได้ที่ ๑ ทุกคนเพราะต้องวิ่งหนีอยู่ตลอดเวลา..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2011 เมื่อ 12:31 |
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#100
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เกิดจันทรุปราคาจะมีผลอะไรไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปหนักใจ..ถ้ากำลังใจของเรามั่นคง สิ่งภายนอกจะมีผลกระทบน้อยมาก ถ้ากำลังใจไม่มั่นคงก็จะมีผลเหมือนกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|