|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ถ้าเกิดคนเขาฝากเงินมาทำบุญ แล้วเราลืมว่าเขาฝากทำบุญอะไรมา เราจะทำอย่างไร ?
ตอบ : กลับไปถามเขาใหม่ ถาม : ถ้าเราจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนฝากเสียด้วยซ้ำ ? ตอบ : ก็รับผลกรรมจากการกระทำของตัวเองไปก็แล้วกัน จำไม่ได้ก็อย่ารับฝากสิวะ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-07-2011 เมื่อ 12:24 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วัดประตูด่านขอเจ้าอาวาสอีกแล้ว อาตมาหาเจ้าอาวาสให้เขาไม่ทัน มานั่งเซ็งในอารมณ์ วัดในกาญจนบุรีมีตั้ง ๖๐๐ กว่าวัดและอีก ๙๐ กว่าสำนักสงฆ์ เวลาขาดเจ้าอาวาส เขาจะไปขอที่วัดท่าขนุน..!
เจ้านายเขาสรุปว่า ถ้าได้พระจากวัดท่าขนุน เท่ากับได้เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนไปด้วย เพราะอย่างไรอาตมาก็ต้องไปช่วยอยู่ดี..! ตอนนี้ที่พิจารณาอยู่ พระที่อายุพรรษาถึง ความรู้ถึงนั้นมีมาก แต่พระที่รู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควรนั้นมีน้อย ไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้ารีบเร่งจะให้เขายอมรับตัวเราเองมากเท่าไร จะโดนเขาหวาดระแวงมากเท่านั้น นี่เป็นธรรมชาติของเจ้าอาวาสใหม่เลย" ถาม : ต้องระดับไหนจึงรู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควร ? ตอบ : อย่างน้อย ๆ ต้องรู้กาลเทศะ ต้องรู้ว่าเวลาไหนควรจะทำอะไร ไปถึงใหม่ ๆ ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป หักด้ามพร้าด้วยเข่าตามใจตัวเองไม่ได้หรอก เพราะว่าคนอื่นเขาฝังรากลึกมานานแล้ว เราต้องค่อย ๆ ขยับไปทีละน้อย จนกระทั่งมั่นใจว่าอำนาจการควบคุมอยู่ในมือแน่ ๆ แล้ว คราวนี้จะทำอะไรก็เชิญ ซึ่งบางทีอาจจะต้องใช้เวลา ๕-๑๐ ปี ถาม : ความรู้แบบนี้จะไปหาที่ไหนคะ ? ตอบ : ประสบการณ์ชีวิต หรือไม่ก็ดูจากคนอื่น ส่วนใหญ่แล้วหลายคนมักจะใจร้อนใจเร็ว เก่งนิติศาสตร์โดยไม่สนใจรัฐศาสตร์เลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-07-2011 เมื่อ 14:51 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
![]()
ทางปักษ์ใต้มีอยู่วัดหนึ่ง อาตมาตั้งใจจะเอากฐินไปให้ แต่ว่าเป็นสำนักสงฆ์ ไม่รู้ไปเอาความรู้ที่ไหนมาว่าสำนักสงฆ์รับกฐินไม่ได้ พอได้ยินว่าอาตมาจะทอดเป็นกฐิน ท่านก็บอกว่ารับไม่ได้ ขอเปลี่ยนเป็นผ้าป่าได้ไหม ?
อาตมาก็แจ้งไปว่า ทางนี้ประกาศเป็นกฐินปลดหนี้ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผ้าป่าเท่ากับไปเปลี่ยนเจตนาเขา เดี๋ยวจะมีโทษเท่ากับย้ายพระเจดีย์ ท่านก็บอกถ้าอย่างนั้นท่านรับไม่ได้เพราะรับได้แค่ผ้าป่า อาตมายังสงสัยว่าครูบาอาจารย์ที่ไหนอบรมมา..! ท่านมีหนี้อยู่ ๖ แสน ขนาดอาตมาประกันว่าให้ล้านหนึ่ง ท่านยังต้องการแค่ผ้าป่าไม่ต้องการกฐิน หลายต่อหลายแห่งยังเข้าใจผิดอยู่ว่า กฐินต้องมีพระอยู่ครบ ๕ รูป ขึ้นไปถึงจะรับได้ ความจริงพระที่ครบ ๕ รูป ภาษาบาลีเขาเรียกคณปูรกะ คืออยู่ให้สมบูรณ์เต็มคณะเท่านั้น ไปยืมจากวัดอื่นมาได้ แต่พระที่เรายืมมามีหน้าที่แค่มาเป็นคณปูรกะเท่านั้น สิ่งของที่เกิดขึ้นต้องทิ้งไว้ให้เจ้าของวัด พูดง่าย ๆ ว่ามาให้เต็มคณะเพื่อจะได้รับกฐินได้ แต่พอรับแล้วไม่ได้มีสิทธิ์ในกองกฐินนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-07-2011 เมื่อ 14:53 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ป่วยค่ะ
ตอบ : เหมือนกันเลย อาตมาก็ป่วย พวกเดียวกัน ถาม : จะมีอาการป่วยช่วงวันพระ ไม่หายสักที ตอบ : ดีแล้วจ้ะ เราจะได้รู้ว่าวันนี้เราต้องทำบุญใส่บาตร เขาอุตส่าห์เตือนให้เราทำบุญทุกวันพระ ดีจะตายไป พลิกวิกฤตเป็นโอกาส อาการขึ้นเมื่อไรแปลว่าเขาเตือนให้เราทำบุญ ลองดูปีหน้า ถ้าหากว่ามีงานเป่ายันต์เกราะเพชรไปลองเข้าพิธีดู เพราะว่าเวลาเป่ายันต์เกราะเพชรถ้ามีสิ่งที่ไม่ดีแฝงอยู่ พุทธานุภาพจะขับไล่ไป เพียงแต่ว่าอยู่ให้ถึงปีหน้านะจ๊ะ ห้ามตายก่อน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-07-2011 เมื่อ 14:54 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เคยมีคนพูดว่า ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นต้องท่องปาฏิโมกข์ได้ก่อน หลวงปู่มั่นท่านจึงจะรับหรือครับ ?
ตอบ : ไม่จริง..แต่อาตมาก็ไม่กล้ายืนยันนะเพราะว่าเกิดไม่ทันท่าน ถาม : ไม่เคยได้ยินคำนี้หรือครับ ? เห็นท่านวิ่งไปวิ่งมาสายพระป่าพอสมควร ตอบ : ไม่เคยได้ยิน..ได้ยินแต่ว่าต้องเป็นตาผ้าขาวประมาณ ๒ ปี ยกเว้นว่าใครที่อาจารย์เห็นว่าความประพฤติสมควร อาจจะเหลือเพียงปีเดียว เป็นผ้าขาวรักษาศีล ๒๒๗ นะไม่ใช่เป็นผ้าขาวรักษาศีล ๘ ก็คือให้ปฏิบัติตัวแบบพระ ทดสอบดูประมาณ ๑-๒ ปี พอเคยชินแล้วบวชเป็นพระจะได้ไม่ทำศีลขาด นับว่าเป็นกุศโลบายที่ยอดเยี่ยมมาก สมัยนี้คนบวช ๗ วัน ให้เป็นผ้าขาว ๒ ปีคงผูกคอตายกันหมด..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-07-2011 เมื่อ 14:55 |
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
![]()
พระรุ่นพิเศษที่บวชวันที่ ๒๑ บางรูป เมื่อสึกมาแล้ว ก็มากราบพระอาจารย์ที่บ้านวิริยบารมี พระอาจารย์จึงถามว่า "ไปสะสมพลังมาหรือว่าพลังหมด ? ปกติการเข้าไปบวชถือว่าไปสะสมพลังงาน แต่บางคนไปบวชแล้วพลังงานหมด"
ถาม : ทำไมคะ ? ตอบ : คุยฟุ้งซ่านระหว่างเพื่อนฝูงก็มี แทนที่จะอยู่กับการภาวนาก็ไปโม้แข่งกัน แล้วจะไปเหลืออะไร ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 23-07-2011 เมื่อ 03:30 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
![]()
ประธานกลุ่มสมาธิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มากราบอาราธนานิมนต์พระอาจารย์ไปบรรยายธรรมในหัวข้อ "แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง"
ในวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๖.๐๐-๑๘.๐๐น. ห้อง๒๑๑ (ห้องสมุดสุภาฯ) ชั้น ๒ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-07-2011 เมื่อ 20:57 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : มูลกัจจายน์เรียนเกี่ยวกับอะไรคะ?
ตอบ : มูลกัจจายน์ ก็คือการเรียนต้นเค้าของภาษาบาลีว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เราจะสามารถแยกแยะได้ว่าศัพท์คำหนึ่งมีที่มาอย่างไร เพราะเหตุใด จะมีที่มาเป็นสูตรเลยจ้ะ ถาม : แต่ไม่ใช่ว่าเป็นวิชาบาลี ? ตอบ : เป็นบาลี แต่ว่าปัจจุบันนี้บาลีตั้งแต่ประโยค ๑ ถึงประโยค ๙ เรียนในลักษณะบังคับให้เราจำว่าต้องเป็นอย่างนั้น แต่ไม่บอกว่ามาอย่างนั้นได้อย่างไร แต่ในส่วนของมูลกัจจายน์เขาจะอธิบายให้ละเอียดว่า ที่มาของสูตรนี้มาอย่างไร อย่างเช่น ทุกขูปสมคามินัง มาจาก ทุกขะ+อุปะสะมะ+คามินี แค่ ๒ คำแรก ทุกขะ+อุปะสะมะ ทำไมเป็นทุกขูปสมะ ? เขาก็จะมีว่า สูตรแรกคือให้แยกสระหน้าออกจากสระหลัง ก็คือ ทุกขะ มี อะ ของขะเป็นสระหลัง แล้วก็อุปสะมะ มี อุ เป็นสระหน้าหน้า แล้วก็มาสูตรที่ ๒ ลบสระหน้าออกคงไว้แต่สระหลัง อะจะหายไป ก็เหลือเป็นทุกข แล้วก็บวกอุปสะมะเข้าไปก็จะเป็น ทุกขุปะสะมะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2011 เมื่อ 02:52 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
![]()
คราวนี้เขาก็ยังมีสูตรอีกว่า ถ้าหากว่าเสียงสั้นกับเสียงสั้นรวมกันจะเป็นเสียงยาว ก็คือ รัสสะ(เสียงสั้น)+รัสสะ(เสียงสั้น) จะเป็นทีฆะ(เสียงยาว) แทนที่จะเป็น ทุกขุปะสะมะ ก็กลายเป็น ทุกขูปะสะมะ
เขาจะบอกที่มาละเอียดยิบเลย เราสามารถเจาะหาได้เลยว่าคำนี้ที่มาที่ไปอย่างไร ทำไมถึงมาอย่างนี้ แต่ปัจจุบันนี้เขาบังคับให้จำอย่างเดียว อย่างเช่น แปลงอะกับสิ เป็นโอ เขาบังคับเลยว่าคุณต้องจำอย่างนี้ แต่เขาไม่บอกว่าทำไมถึงต้องแปลง แล้วแปลงอย่างไร ถาม : ไม่มีให้เรียนวิชานี้หรือคะ ? ตอบ : ทางด้านวิทยาลัยบาฬีศึกษาพุทธโฆสเขาเอาพวกนี้กลับเข้ามาเรียนใหม่ อาตมาก็บังเอิญได้เรียนไปหน่อยหนึ่ง ถาม : เคยอ่านเจอประวัติว่ามูลกัจจายน์คืออะไร ? ตอบ : จะมีบาลีที่มาเป็นสาย ๆ มีสายพระโมคคัลานะ สายมหากัจจายนะ สายพระสารีบุตร คราวนี้สายของเรานี่เป็นสายพระมหากัจจายนะ ก็เลยเรียกมูลกัจจายน์ คือ มีต้นเค้ามาจากพระมหากัจจายนะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2011 เมื่อ 02:47 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : อ่านประวัติหลวงปู่ปาน สมัยก่อนไม่มีบาลี เขาให้เรียนมูลกัจจายน์
ตอบ : มูลกัจจายน์ก็คือบาลีนี่แหละ แต่จะเรียนละเอียดกว่านี้หลายเท่า ถ้าปัจจุบันประโยค ๙ ไปเรียนวิชานี้อาจจะสอบตกหมด เพราะว่ามีสูตรตั้ง ๑๖๐ กว่าสูตร เราต้องแม่นสูตรจึงจะรู้ที่มา แล้วถามว่าอาตมาแม่นไหม ? วิชานี้อาตมาได้ a ถาม : วิชานี้จะมีอาจารย์สอนหรือคะ ? ตอบ : เขาขุดกลับมา แล้วเขาก็มาศึกษากัน จนกระทั่งมั่นใจก็มาถ่ายทอดต่อ ถาม : เวลาสวดมนต์จะมีภาษาที่เขารวมกันอย่างนี้แล้ว ? ตอบ : จ้ะ..ภาษาที่สวดมนต์ก็คือภาษาที่ใช้กันทั่ว ๆ ไป แต่ถ้าเราจะแยกแยะว่าแต่ละศัพท์มีที่มาอย่างไร ควรจะแปลว่าอย่างไร จะไปเข้าสูตรพวกนี้ แล้วก็จะได้คำแปลที่ถูกต้องมา ไม่อย่างนั้นบางทีเราอาจจะแปลผิดได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2011 เมื่อ 02:48 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : อาฏานาฏิยสูตร เราสวด..?
ตอบ : ถ้าเราทำได้ก็มีแต่ดีจ้ะ แต่มีอยู่บางบท อย่างเช่น อาฏานาฏิยสูตร ที่เขาขึ้น นะโมเม สัพพะพุทธานังฯ แล้วก็ วิปัสสิสะนะมัตถุฯ นักขัตตะ ยักขะภูตานังฯ จะมีอำนาจในการขับไล่พวกภูตผีปิศาจต่าง ๆ ได้ ถ้าเราตั้งใจไปสวดไล่เขา ก็จะเป็นโทษ แต่ถ้าเราตั้งใจสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยก็ไม่เป็นไร ถ้าตั้งใจไปสวดไล่เขาเดี๋ยวก็จะโดนเขาไล่บ้าง ถาม : สวดเฉย ๆ ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ? ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ถ้าไปอ่านประวัติหลวงปู่ปาน อาจารย์สำราญ วัดเขาวงพระจันทร์ สวดทุกวันตั้งใจไล่ วันนั้นเผลอสวดไม่ทัน โดนเจ้าพ่อขุนด่านท่านล่อซะน่วมเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าตั้งใจสวดไล่เขา ระวังจะโดนเขาไล่บ้าง ถาม : อาฏานาฏิยสูตรมีพระพุทธเจ้าหลายพระองค์มาก ตอบ : กล่าวถึงพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์จ้ะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2011 เมื่อ 02:51 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวถึงหลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตรวิทยาราม ว่า "กินเนสบุ๊กเขาบันทึกว่า หลวงพ่อทองคำเป็นปูชนียวัตถุสำหรับการบูชาที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก เป็นทองคำน้ำหนักกว่า ๕ ตัน ทองเยอะขนาดนั้นอย่างน้อยต้องเอารถ ๖ ล้อมาบรรทุกจึงจะหมด
เป็นที่น่าเสียดายว่า เขาไม่ได้ดูของเก่าสมัยที่หลวงปู่ไสว (ท่านเจ้าคุณพระวิสุทธาธิบดี) เจ้าอาวาสเก่าท่านทำไว้ ฉากหลังหลวงพ่อทองคำจะเป็นผ้าม่านสีแดง ซึ่งขับให้องค์พระเด่นมาก พอมารุ่นหลังเปลี่ยนเป็นฉากสีน้ำเงินดูไม่ค่อยได้ ตอนนี้ฉากหลังกลายเป็นสีซีด ๆ ยิ่งดูไม่ได้ใหญ่เลย สีทองต้องตัดกับสีแดง ถ้าด้านหลังเป็นสีแดงสด องค์พระจะเด่นมาก โบราณบอกว่า "ทองบ่รองรับพื้น ห่อนแก้วมีศรี" ก็คือถ้าไม่มีทองมารองรับ แก้วก็คือบรรดาเพชรพลอยก็ไม่เด่น อันนี้ต้องบอกว่า "แดงบ่รองรับพื้น ห่อนทองมีศรี" ไม่มีสีแดงรองรับ ทองก็ไม่เด่น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2011 เมื่อ 03:07 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : หลายคนบวชเข้ามาเพื่อมาเรียน เรียนจบแล้วก็สึกไปทำงาน แทนที่จะได้กำไร..?
ตอบ : ถ้าหากว่าเข้ามาแล้วตั้งใจรักษาศีลปฏิบัติธรรมด้วย เรียนด้วย ก็จะได้กำไร แต่ถ้าหากว่าตั้งใจมาเรียนจริง ๆ ไม่เอาเรื่องศีลเรื่องธรรมก็ขาดทุนย่อยยับ ถาม : ถ้าเราไปปรามาส..? ตอบ : ไม่ต้องไปปรามาสท่านหรอกจ้ะ อาตมาเองสมัยก่อนก็เคยคิดว่าต้องเป็นพระสุปฏิปันโนเท่านั้นถึงจะไหว้ได้ พอบวชเองมาได้ ๒-๓ พรรษา เจอสารพัดเรื่องที่ไม่เคยชินจากการถูกบังคับด้วยสภาพของนักบวช จึงเกิดความคิดใหม่ว่า ใครอยู่ในผ้าเหลืองได้อาตมากราบตีนได้ทุกรูปแหละ ต่อให้ชั่วแค่ไหนก็กราบได้ เพราะเขาอดทนได้ขนาดนั้น..! อาตมาปฏิบัติมาแทบตายยังจะอยู่ในผ้าเหลืองไม่ค่อยได้ เวลามีคนบอกว่า “บวชได้แหละดี..สบาย” เอ็งลองมาบวชดูบ้างสิ..ถ้าสบายทำไมเอ็งไม่บวช ? ถาม : ดีกว่าไปอยู่เกะกะ..? ตอบ : อย่างน้อย ๆ ถ้าหากว่ามีจุดมุ่งหมาย อย่างเช่นว่ามาเพื่อการศึกษาก็ยังดี เพราะว่าสิ่งที่เรียนรู้ไปในระหว่างเป็นพระก็ยังเอาไปใช้ได้ในชีวิตฆราวาส บาลีกล่าวถึงการบวชหลายรูปแบบ มี อุปชีวิกา บวชมาเพื่ออาศัยศาสนาเลี้ยงชีพ ประเภทนี้เข้ามาอาศัยกินอย่างเดียวเลย อุปกิฬิกา บวชเอาสนุก เห็นเพื่อนเขาบวช มีแห่ตึงตังโครมครามน่าสนุก ก็เอา..จัดงานบวชบ้าง อุปทูสกา บวชมาทำลายพระศาสนา พวกนี้นอกจากไม่ทำความดีแล้ว ยังทำชั่วทุกระดับชั้นเลย อุปนิสสรณา บวชเพราะต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์ ประเภทนี้หาได้ยาก สมัยนี้เขาว่า "อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เอือมเจ้านาย ยายให้บวชแก้บน" ก็เลยมาบวชไปอย่างนั้นแหละ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2011 เมื่อ 03:11 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : กรุงเทพน้ำจะท่วมไหมคะ ?
ตอบ : กรุงเทพฯ น้ำท่วมเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ปีนี้ประหลาด..ประเทศจีนแล้งที่สุดในรอบ ๑๐๐ ปี อยู่ ๆ ก็น้ำท่วมหนักที่สุดในรอบ ๕๖ ปี พูดง่าย ๆ ว่าแล้งจนชาวบ้านเขาจะตายกันหมดแล้วน้ำค่อยท่วม ถาม : เราจะทำอะไรได้บาง ? ตอบ : จะไปทำอะไรได้ เกิดจากการกระทำตัวเองทั้งนั้น สิ่งที่คุณทำคุณก็ได้ ช่วยกันทำเยอะ ๆ ก็ซวยมากหน่อย การกระทำทุกอย่างเป็นพลังงาน เมื่อเกิดพลังงานขึ้นก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง พลังงานในด้านดีก็ดึงแต่สิ่งดี ๆ เข้ามา พลังงานในด้านที่ไม่ดีก็เอาแต่สิ่งที่ไม่ดีเข้ามา ซึ่งส่วนใหญ่คนทำไม่ดีเสียมากกว่า อย่างวัดท่าขนุนอยู่ปากเขื่อนเลย ถ้าเขื่อนแตกเดี๋ยวนั้น รู้ตัวเดี๋ยวนั้น ก็หนียังไม่ทันเลย..! ถาม : ถ้าเขื่อนแตก กี่นาทีน้ำจะมาถึง ตอบ : ประมาณสัก ๒๐ วินาทีก็ถึงแล้ว จากแบบจำลองคอมพิวเตอร์ ตูมแรกที่มาจะสูง ๓๕ เมตร กี่ช่วงตัวของเราล่ะ ? ก็ประมาณตึก ๑๒ ชั้นหลังจากนั้นประมาณ ๓ ชั่วโมงครึ่ง น้ำจะไปถึงกาญจนบุรีด้วยความสูงที่เหลือ ๑๑ เมตร ถัดจากนั้นอีก ๒ ชั่วโมง มาถึงกรุงเทพฯ เหลือราว ๆ ๖ เมตร คนอยู่กรุงเทพฯ มีเวลาเตรียมตัว ๕ ชั่วโมงกว่า อย่าไปกังวลอะไรในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ อตีตัง นานวาคะเมยยะ นัปปฏิกังเข อนาคะตัง อย่าไปกังวลถึงอดีต และอย่าฟุ้งซ่านถึงอนาคต ปัจจุปันนัญ จะ โยธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ อยู่กับปัจจุบันธรรมเท่านั้นจึงจะรู้แจ้งได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2011 เมื่อ 14:09 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวถึงภาษาบาลีว่า "ภาษาบาลีเป็นภาษาที่ประหลาด ปกติภาษาไทยเราจะมีอดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่ภาษาบาลีมีปัจจุบันใกล้จะเป็นอดีต มีอนาคตใกล้ปัจจุบัน เขาละเอียดขนาดนั้น
แบบเดียวกับเรากำลังนั่ง จะเป็นอนาคตใกล้ปัจจุบันของการนั่ง และเป็นอดีตใกล้ปัจจุบันของการยืน ฟังแล้วบ้าไปเลยไหม ? ภาษาบาลีถ้าเรายกขึ้นมาคำหนึ่งสามารถวิเคราะห์ได้เลยว่าเป็นอย่างไร เป็นเอกวัจนะ เป็นพหุวัจนะ อยู่ในรูปแบบไหน เป็นเพศชาย เพศหญิง หรือไม่ชายไม่หญิง บอกได้หมด จะมี กาล วัจนะ บท บุรุษ วาจก ปัจจัย ฯลฯ เขามีรายละเอียดเยอะกว่าภาษาทั่วไป" ถาม : ปัจจุบันนี้ยังใช้บาลีอยู่ไหม ? ตอบ : เป็นภาษาที่ตายแล้ว แต่การเรียนบาลีในขั้นสูง ๆ ไปอย่างของทางพม่า จะมีบาลีปารคู การใช้ภาษาบาลีในชีวิตประจำวัน พูดคุยกันเหมือนปกติอย่างนี้ แต่ก็เป็นการพูดคุยกันตามรูปแบบเก่า ไม่มีการไปดัดแปลงหรือว่าไม่มีการเปลี่ยนศัพท์เปลี่ยนอะไรเหมือนสมัยนี้ เพราะฉะนั้น..บาลีเป็นภาษาที่ตายแล้ว ความหมายคงตัวไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้รักษาพระธรรมวินัยเอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นพอถึงเวลาแล้วคำหรือความหมายเปลี่ยนไปก็แย่สิ เช่น คำว่า ภุญชะติ เมื่อไรก็แปลว่ากิน ไม่ใช่แปลว่า "รับประทาน ยัดห่า สวาปาม" แบบของเราที่เปลี่ยนไปเรื่อย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2011 เมื่อ 14:11 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวถึงการยกพระพุทธรูปว่า "เห็นโยมบางคนยกพระพุทธรูปแล้วอาตมาใจหาย บางคนมือหนึ่งก็กระเดียดยกเครื่องสังฆทาน อีกมือหนึ่งก็หิ้วคอพระมา เจอมาแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เพราะเขาไม่รู้สึกอะไร
ดังนั้น..เรื่องของการปฏิบัติธรรม ยิ่งทำไปกำลังใจต้องยิ่งละเอียดมากขึ้น ต้องเห็นโทษที่เกิดจาก กาย วาจา ใจ ของเราให้มากขึ้น อย่าทำไปแล้วจิตหยาบเป็นกันเองกับพระไปเรื่อย ยิ่งเป็นกันเองมากเท่าไร โทษก็จะเกิดขึ้นกับเราโดยไม่รู้ตัวมากเท่านั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2011 เมื่อ 12:19 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : การที่เราอยู่กับสังคมหมู่มาก และติดนิสัยโทสะ จะแก้ไขได้อย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ถ้าเรามีสติมั่นคงอยู่เฉพาะหน้า จะรู้ตัวก่อนที่โทสะจะเกิดขึ้น ถ้าเราระงับยับยั้งไม่อยู่ ให้หลีกจากตรงนั้นไปก่อน เพราะถ้าปล่อยจนกระทั่งระเบิดขึ้นมา เราจะเอาไม่อยู่ ให้หลุดจากตรงนั้นไปก่อน จนกระทั่งรู้สึกว่าอารมณ์เย็นลง เราตั้งสติได้ กลับไปหาสมาธิใหม่ พออารมณ์มั่นคงค่อยกลับไปลุยกันใหม่อีกที ตอนแรก ๆ ต้องหนีก่อน หลังจากนั้นพออารมณ์ใจทรงตัวมั่นคงจริง ๆ แล้วค่อยไปพูดกับเขา ที่สำคัญเราต้องพิจารณาให้เห็นว่าตัวเราไม่มีอะไร โทสะส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะยึดมั่นความคิดตัวเอง ไม่ยอมปล่อย ในเมื่อคนอื่นคิดต่าง แย้งขึ้นมา เราก็ไปโกรธ ถ้าเห็นว่าตัวเราไม่มีอะไร ก็จะหมดความโกรธไปเยอะเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2011 เมื่อ 12:20 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราถือว่าเลข ๙ เป็นเลขมงคล ความจริงทุกเลขก็เป็นมงคล ขึ้นอยู่กับความคิดหรือความเชื่อของเรา ฝรั่งกลัวเลข ๑๓ กันนักหนา แต่ไทยเรามีธุดงควัตร ๑๓ ข้อ มีเทศน์มหาชาติ ๑๓ กัณฑ์ ฯลฯ
คนจีนเขากลัวเลข ๔ เพราะเลข ๔ เวลาออกเสียงจะเหมือนคำว่าตาย แต่ไทยเรามีอริยสัจ ๔ อิทธิบาท ๔ สัมมัปปธาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ อะไรที่มีสี่จะมั่นคงเป็นพิเศษ เช่น รถต้องมีสี่ล้อ โต๊ะต้องมีสี่ขา ฉะนั้น..เลขสี่ของคนไทยเรากลับแสดงออกถึงความมั่นคง แต่ของพวกนี้ไม่ใช่มงคลที่แท้จริง ทั้งมนุษย์ เทวดา พรหม ถกเถียงกันอยู่เป็นร้อย ๆ ปี ว่าอะไรเป็นมงคลที่แท้จริง มงคลที่แต่ละท่านยกขึ้นมานั้นล้วนเป็นสิ่งที่คัดค้านได้ ท้ายสุดเทวดาทั้งหมดก็ตัดสินใจว่า ตอนนี้ผู้รู้คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นแล้ว เราไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาเถียงกัน เถียงมาเป็นร้อยปีก็ไม่จบเสียที จึงพากันยกขบวนไปที่เชตวันมหาวิหาร ท่านบอกว่า ยังเชตวันมหาวิหารให้สว่างรุ่งเรืองไปด้วยรัศมีแห่งเทวดาและพรหมทั้งหลาย พหูเทวะมนุสสา จะ มังคะลานิ อะจินตะยุง เทวดาและมนุษย์เป็นจำนวนมาก ต่างก็พาคิดถึงเรื่องที่เป็นมงคล ทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงตรัสมาดังนี้ว่า อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญ จะ เสวะนา การไม่คบคนพาล ๑ การคบบัณฑิต ๑ การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ๑ จัดเป็นอุดมมงคล"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2019 เมื่อ 04:30 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
![]()
"ถัดไปก็เป็น ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ ปุพเพ จะ กะตะปุญฺญะตา อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม ๑ (ถ้ารอบข้างเขาทำความดี เราดีด้วยแน่ ๆ)
การมีบุญอันสร้างสมมาแต่ปางก่อน ๑ (ส่งผลให้แต่ด้านดีอย่างเดียว) การตั้งตนไว้ในทางที่ชอบ ๑ (อยู่ในกรอบของสัมมาทิฐิ อยู่ในทานศีลภาวนา) จัดเป็นอุดมมงคล ฯลฯ มงคลทั้ง ๓๘ นั้น ท่านไล่จากต่ำไปหาสูง ข้อท้าย ๆ นั้นถึงพระนิพพานเลย ตะโป จะ พรัหมะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง การบำเพ็ญตบะ(พากเพียรในการเผากิเลส) ๑ การประพฤติในพรหมจรรย์ ๑ การทำอริยสัจให้แจ้ง ๑ จัดเป็นอุดมมงคล นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ การทำพระนิพพานให้แจ้ง ๑ เป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง ท้าย ๆ ก็แสดงออกซึ่งผลของการบรรลุ คือ ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ จิตอันกระทบโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหว อะโสกัง มีสภาพจิตที่ไม่มีความเศร้าโศก วิระชัง ปราศจากธุลีมาแปดเปื้อน เขมัง มีความเกษมสำราญอยู่เสมอ เอตัมมังคะละมุตตะมัง จัดเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง จะเห็นว่าอุดมมงคลของพระพุทธเจ้านั้น ตรัสมาแล้วเถียงไม่ได้ เป็นของจริงแท้แน่นอน พรหมเทวดาทั้งหลายเป็นอันมากสาธุการชื่นชมในภาษิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 30-01-2019 เมื่อ 20:29 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : สมาธิ...?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว เพียงสมาธิอุปจารฌานก็ใช้ได้แล้ว เพียงแต่กำลังที่จะตัดเด็ดขาดนั้นไม่มี เพราะฉะนั้น..ถ้าจะเอากำลังตัดให้ได้มรรคได้ผลต้องปฐมฌานขึ้นไป หมายถึงว่าเข้าสมาธิเต็มที่แล้วคลายออกมาพิจารณานะ เอากำลังของสมาธิมาช่วย บางท่านไม่ชำนาญในการเข้าออก พอเข้าสมาธิแล้วจิตนิ่งคิดไม่ได้ ก็เลยต้องคลายกำลังใจออกมาเพื่อคิด ส่วนใหญ่พวกเราคิดเฉย ๆ ก็ไม่ได้อะไรสิ คิดแล้วต้องตัดสินใจด้วย เรื่องของมรรคผลสำคัญอยู่ตรงที่การตัดสินใจ บางคนคลำมาเป็นสิบปีไม่ได้อะไรสักที แต่ก็ยังดีที่คลำมาถูกทาง เหลือตอนปลาย ๆ มั่ว ๆ เอาก็ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็ตรงประตูเอง มีโยมบางท่านไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้จริง ๆ สมัยก่อนอยู่บ้านสายลม โยมท่านหนึ่งเสียงดังฟังชัดเลยตั้งแต่ผลักประตูเข้ามา พนมมือพูดเสียงดัง "หลวงพ่อครับ..ผมสร้างโบสถ์มาเท่านั้น สร้างระฆังมาเท่านี้ลูก สร้างศาลามาเท่าโน้นหลัง จนป่านนี้ทำไมผมยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์เสียที ?" หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่า "เดี๋ยว ๆ โยม..รู้ไหมพระโสดาบันเขามีคุณสมบัติอย่างไร ?" "ไม่รู้ครับ" "โยมหันไปข้างหลัง ซื้อหนังสือสักเล่มหนึ่ง ราคา ๒๐ บาท เอาเล่มที่มีอารมณ์พระโสดาบัน ถามคนขายเขานั่นแหละ แล้วก็เอาไปทำซะ..!" โยมเขามาผิดทาง จะเอาทานภายนอกมาเป็นการตัดสู่มรรคผล ก็ได้แค่การตัดความโลภภายนอกเท่านั้น แต่ต้องยอมรับว่าโยมเขาอึดมาก ทำมา ๑๐-๒๐ ปี มั่นใจว่าทำแล้วต้องได้อะไรสักอย่าง แต่หวังสูงจะเอาพระอรหัตผลเลย ถาม : ...... ตอบ : ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา การมีบุญที่สร้างสมมาแต่ปางก่อน ในเมื่อบุญตรงนี้เคยเนื่องกันมาก็จะดึงคนเหล่านี้มา พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า บุคคลที่พบพานกันในปัจจุบันนี้ ในอดีตที่ไม่เคยสัมพันธ์กันมานั้นไม่มี อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเคยรู้จักมักคุ้นกันในฐานะใดฐานะหนึ่ง เป็นพ่อแม่ เป็นปู่ย่าตายาย เป็นลูกหลาน เป็นครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนฝูง ต่อให้เป็นศัตรูก็เช่นกัน ท้ายสุดก็มาเจอกันจนได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 30-01-2019 เมื่อ 20:31 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) | |
|
|