| 
		 
			 
			#21  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระที่มาทางสายอภิญญา  ถึงจะยังไม่ได้มรรคผล พอความดีปรากฏชัด ญาติโยมก็จะให้ความศรัทธามาก ทำให้กิจนิมนต์ท่านเยอะ จึงไม่มีเวลาปฏิบัติเป็นของตัวเอง กำลังของกิเลสก็จะเพิ่มขึ้น  พอสักพักเสือทะลายกรง รัก โลภ โกรธ หลงก็ไหลมาเทมา  
		
		
		
		
		
		
			เราเสียพระนักปฏิบัติไปเยอะแล้ว บางทีท่านปฏิเสธศรัทธาญาติโยมไม่เป็น เลยไม่มีเวลาในการปฏิบัติ เสียแบบฆราวาสไม่เท่าไร แต่เสียแบบพระ..เสียแล้วเสียเลย แก้ตัวใหม่เอาชาติหน้า ถึงเวลาให้พิจารณากลับมาที่ตัวเอง เราสงวนเวลาสำหรับการปฏิบัติตัวเองไว้ได้เท่าไร เรามีเวลาสำหรับภาวนาเท่าไร เช่น เช้าครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง แล้วระหว่างวันกำลังมันพอไหม ? พอทำงานก็โดนกระทบ กำลังใจตก..เครียด ต้องหัดสังเกตตัวเองตรงจุดนี้ให้เป็น เราจะต้องสร้างกำลังใจให้ต่อเนื่อง เร่งทำตอนเช้าเอาความดีเข้ามาในใจเรา อย่าให้ความเลวเข้ามาได้ “ให้ตื่นก่อนกิเลส” พวกเราที่เป็นฆราวาส การกระทบจะมีมากกว่า จึงต้องรีบปฏิบัติ ต้องสร้างกำลังใจเอาให้อยู่ 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-05-2010 เมื่อ 03:48  | 
| สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#22  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม :  เวลาสวดมนต์แล้วคาถาหรือบทสวดมนต์เปลี่ยนไป 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ถ้าสติดี รู้ตัวว่ากำลังจะเปลี่ยนคาถา..ก็เปลี่ยนตาม แต่ถ้าขาดสติ..หลุดไป ให้ดึงกลับมา 
				__________________ 
		
		
		
		
		
	
	........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม  | 
| สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#23  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสร้างพระแบบหลวงปู่ปานไหม? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ท่านไม่ทำพระวัดรอยครูบาอาจารย์ เพราะถ้าเก่าไปแล้ว จะแยกไม่ออกว่าพระองค์ไหนเป็นของใคร พวกที่อ้างชื่อวัดไปขายมีเยอะแยะ 
				__________________ 
		
		
		
		
		
	
	........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม  | 
| สมาชิก 111 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#24  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : วัตถุมงคลต่าง ๆ ป้องกันให้เราแคล้วคลาดจากสิ่งที่ไม่ดีได้ใช่ไหม ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : วัตถุมงคลก็จะช่วยผ่อนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นหาย เหมือนโจรจะปล้นบ้านเรา แต่เรายืนคุยกับตำรวจอยู่ แล้วใครจะกล้าปล้น..! การอาศัยคุณพระรัตนตรัยถือเป็นกรรมฐานที่ใหญ่มาก เมื่อใจเรายึดมั่นก็จะเกิดกำลัง ทำให้ปัจจัยแปรเปลี่ยน ทำให้สิ่งที่ไม่ดีนั้นทำอะไรเราไม่ได้ หรือเลื่อนออกไป หรือรอส่งผลใหม่ ยึดมั่นวัตถุมงคลเป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติช่วยได้ แต่ถ้าเผลอเมื่อไรก็โดน..! 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-05-2010 เมื่อ 09:27  | 
| สมาชิก 114 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#25  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : โสดาปัตติมรรค และโสดาปัตติผล ต่างกันอย่างไร 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : มรรคคือเข้าถึง ผลคือได้แล้ว โคตรภู กำลังใจมุ่งหน้าอย่างเดียว ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนี ยึดพระนิพพานเป็นที่พึ่ง โคตรภูแต่ละระดับก็เหมือนขาก้าวข้ามไปหนึ่งข้างแล้ว โอกาสเสื่อมถึงจะมี แต่ถ้าถึงขั้นนั้นมีแต่วิ่งขึ้นหน้าแล้ว เสื่อมไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจ เสื่อมในที่นี้คือ ฌานเสื่อม อาจเนื่องมาจากร่างกายป่วยมาก หิวมาก ฌานจึงเสื่อม แต่กำลังใจไม่เสื่อม ถ้าหล่นอย่างไรก็ไม่เกินนี้ เหมือนกับมีตัวกั้น ถ้าเข้าถึงผลแล้วจะเป็นการทรงตัวแบบอัตโนมัติ กติกามีอย่างไรก็ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป พิจารณาธรรมเพื่อความอยู่เป็นสุข กิเลสจะเบาบางลง สมาธิจะทรงตัวอัตโนมัติ เป็นสมาธิใช้งาน จะเบากว่าปกติเยอะเลย แต่กิเลสกินไม่ได้ 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-05-2010 เมื่อ 14:26  | 
| สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#26  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ตอนที่อาตมาป่วย พอใกล้หายจะมีนิมิตปรากฏให้เห็น  มีครั้งหนึ่งเคยเกิดเป็นสิงโตตัวเมีย  ถ้าลงมือเมื่อไรไม่เคยพลาดเป้า ตอนที่ล่าเหยื่อ  จะรู้เลยว่า ถ้าเหยื่อหนีแล้วเราจะกระโดดใส่ตรงไหน  งับคอ ขาหนึ่งตะปบจมูก  อีกขาตะปบเข้าคอ กระดูกลั่นดังกร๊วบเลย ตอนเป็นสิงโตฆ่าไป ๒๐๐ กว่าศพ สิงโตมีกำลังสูงมาก สามารถพาวัวกระโดดข้ามรั้วสูงได้สบาย ๆ  ตรงนั้นเราต้องหากินตามประสาสัตว์ กรรมเลยไม่หนักมาก 
		
		
		
		
		
		
			ตอนที่เป็นหมูป่าจ่าฝูง ก็รู้สึกถึงรัก โลภ โกรธ หลงหมดเลย พาลูกฝูงเดินหาอาหารอยู่กลางป่า มีเสือโคร่งตามหลังอยู่ตัวหนึ่ง เสือจะมาคว้าหมูตัวท้ายแล้ววิ่งหนีไป จ่าฝูงอย่างเราก็โกรธ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยหาทางล่อเสือเข้าไปในหุบเขา เป็นหุบที่มีลักษณะเป็นหน้าผาตัดทุกด้าน ทางเข้าก็แคบ หมูทั้งฝูงเข้าไปซุ่มอยู่ ๓ วัน เสือที่ตามมาก็หิว ทนไม่ไหวเลยถูกล่อเข้าไป พอเสือรู้ว่าไม่รอด ก็ยอมสู้ โดนเสือตบเข้าไป ๗ - ๘ ครั้ง เจ็บมาก ๆ แต่ปกติหมูหนังเหนียวอยู่แล้ว ตอนนั้นเสือเป็นแผลจากการต่อสู้จึงเลยหาทางหนี ปะทะกันครั้งสุดท้าย ตัดใจว่ายอมตายแล้ว ปรากฏว่าเสือพลาดท่าเพราะหมูเร็วกว่า หมูเข้าขวิดใต้ท้องสะบัดทิ้งไปเลย มั่นใจว่าเสือตายแน่ ๆ แล้วหมูมือรองอีก ๘ - ๑๐ ตัวก็มารุมยำ กินเสือกันด้วย ไม่น่าเชื่อว่าหมูป่าก็กินเนื้อเหมือนกัน สัตว์ทั้งหมดก็คือคนนั่นแหละ รู้จักวางแผน เห็นสถานที่ก็รู้เลยว่าต้องทำการ ณ ที่นี้ 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-05-2010 เมื่อ 14:29  | 
| สมาชิก 101 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#27  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระราหู โดยสภาพแท้จริงแล้วท่านเป็นพระโพธิสัตว์ แปลว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า พระราหูเป็นพี่น้องกับพระอาทิตย์และพระจันทร์ ในสมัยนั้นสามพี่น้องได้ข่าวว่าพระพุทธเจ้าลงมาเกิด ก็เลยตั้งใจจะไปทำบุญ พระอาทิตย์ถวายข้าวด้วยขันทอง เลยสว่างเหมือนทองคำ ส่วนพระจันทร์ถวายข้าวด้วยขันเงิน เลยสว่างเหมือนแผ่นเงิน ส่วนพระราหูถวายข้าวด้วยกะบุง 
		
		
		
		
		
		
			ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระราหูเป็น ๑ ใน ๘ จอมอสูร มีร่างใหญ่มาก ระหว่างคิ้วซ้ายไปขวากว้าง ๑ โยชน์ พระราหูได้ยินคุณของพระพุทธเจ้า อยากจะไปหา แต่ตัวเองตัวใหญ่ กลัวว่าไปแล้วต้องก้มมองพระพุทธเจ้า เป็นการไม่เคารพ พระพุทธเจ้าทรงทราบ เลยเสด็จไปขวางทาง เนรมิตพระวรกายท่านใหญ่กว่าราหูอีก พระพุทธเจ้าอยู่ที่ใดก็มีความพอดีอยู่เสมอ ไปไหนท่านก็ไม่ต้องก้มพระเศียรให้ใคร ราหูจึงตรัสสรรเสริญพระพุทธเจ้าว่า “ตัสสะ ตัสสะ” จึงเป็นที่มาของคำว่า ตัสสะ ในบทบูชาพระพุทธเจ้า (นะโมตัสสะฯ) 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-05-2010 เมื่อ 14:30  | 
| สมาชิก 111 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]()  | 
	
	
		
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
		
  | 
	
		
  |