|
#1
|
||||
|
||||
|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๘
|
| สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#2
|
||||
|
||||
|
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๔ ธันวาคม ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ก่อนอื่นก็ขอให้ทุกท่านอนุโมทนา กระผม/อาตมภาพนำคณะไปทอดผ้าป่าทั้งที่อินเดียและเนปาล ไล่ตั้งแต่วัดไทยพุทธคยา วัดไทยป่าฝ้าย วัดไทยสารนารถ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ วัดสิทธารถราชมณเฑียร วัดไทยนวราชรัตนาราม วัดไทยนิโครธาราม ตลอดจนกระทั่งวัดไทยลุมพินี อาจจะมีการข้ามชื่อวัดไปบ้าง แล้วก็ไม่ได้เป็นไปตามเส้นทาง แต่ขอให้รู้ว่าการไปครั้งนี้ การทอดผ้าป่าถือว่าเป็นบุญที่เล็กที่สุด เนื่องเพราะว่าพวกเรารักษาศีล สวดมนต์ ไหว้พระ เจริญภาวนาทุกที่ที่เราไป ซึ่งในส่วนของสมาธิและภาวนา เป็นส่วนที่มีอานิสงส์มากกว่าทานหลายเท่า
สำหรับวันนี้ กระผม/อาตมภาพไปฉันเช้าที่วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร ตำบลยกกระบัตร อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ในงานตรวจข้อสอบนักธรรมชั้นตรี ได้ถวายปัจจัยร่วมเป็นเจ้าภาพงานครั้งนี้ไป ๓๐,๐๐๐ บาท ได้เรียนถวายพระเดชพระคุณพระราชวชิรโมลี (สมชาย พุทฺธญาโณ ป.ธ. ๗) รักษาการเจ้าคณะภาค ๑๔ ว่า พอดีไปทอดผ้าป่าทั้งอินเดียและเนปาล แล้วกลับมาก็เลยเหลือเงินติดกระเป๋าอยู่หน่อยเดียว พอดีว่าวันก่อนไปปลุกเสกวัตถุมงคลในพิธีสถาปนาพระพิชัยสงคราม ทางด้านหลวงพ่อพระครูปลัดพิจารย์ วิจารโณ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ผักไห่ และคณะศิษย์ ถวายปัจจัยมา ๒๐,๐๐๐ กว่าบาท กระผม/อาตมภาพจึงเติมให้เต็ม ๓๐,๐๐๐ บาท มาถวายในงานครั้งนี้ ขณะที่กำลังอยู่ในพิธีเปิด ทางด้านคุณอาลัย พรหมชนะ ซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ปัจจุบันทำหน้าที่ อสส. ก็คือ อาสาสมัครส่วนกลางโครงการทุนการศึกษา ของท่านองคมนตรี พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา โทรมาบอกว่า "ท่านองคมนตรีบ่นถึงหลวงพ่อ เนื่องจากว่านอกจากช่วยสร้างหอพักชายโรงเรียนทองผาภูมิวิทยาไปแล้ว ยังสร้างหอพักหญิงอีก ท่านจึงอยากจะพบเพื่อกล่าวคำขอบคุณ" กระผม/อาตมภาพจึงต้องวิ่งออกจากงานมา ซึ่งกำหนดการของท่านก็คือบ่ายโมงครึ่ง ทำให้มีเวลาเดินทางมากหน่อย ไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะมาไม่ทันก็ได้..! เมื่อมาถึง ท่านก็นำเดินดูสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ในวิทยาลัยการอาชีพทองผาภูมิ ซึ่งจะว่าไปแล้ว ตามที่ท่านกล่าวในพิธีก็คือ นอกจากงบประมาณจากทางด้านกรมอาชีวศึกษาแล้ว ท่านก็ยังควักย่ามพระมาเติมอีก ท่านก็เลยนิมนต์กระผม/อาตมภาพกับหลวงพ่อพระครูวรกาญโชติ, ดร. เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ เจ้าอาวาสวัดปรังกาสี ไปทำหน้าที่ประธานในการกดเปิดป้ายวิทยาลัยการอาชีพทองผาภูมิแทนท่าน ก็เป็นอะไรที่ตลกดี..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:37 |
|
#3
|
||||
|
||||
|
แต่ว่าในส่วนที่ท่านกล่าวมีหลายอย่างที่ตลกแต่หัวเราะไม่ออก ก็คือที่ท่านปรารภว่า ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้าง ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐานบ้าง หรือแม้กระทั่งอธิบดีกรมวิชาการ แต่ละคนเหมือนอย่างกับมาว่ากินตำแหน่งเพื่อให้ผ่านงานเท่านั้น ๖ เดือน ๑ ปีก็ชิงย้ายกันหมดแล้ว..!
โดยเฉพาะในส่วนของอำเภอทองผาภูมิ ท่านบอกว่า "แล้วอย่างนี้งานของผมจะต่อเนื่องได้อย่างไร ? ในเมื่อคนใหม่มาก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย" ก็เป็นเรื่องจริงของท่าน แล้วขณะเดียวกัน การของบประมาณ ทางด้านกรมอาชีวศึกษาก็ไม่ได้คิดให้รอบคอบ เนื่องเพราะว่าอาคารแต่ละอย่างเขาจะมีแบบที่แน่นอนตายตัว จะมีราคากลางว่าต้องใช้งบประมาณเท่าไรในการก่อสร้าง แต่ท่านบอกว่า "พวกคุณไม่ได้ดูเลยว่าพื้นที่นี้คือที่ไหน ?!" ตัวแทนของท่านอธิบดีกรมอาชีวะศึกษาก็ยังงง ๆ อยู่ กระผม/อาตมภาพก็เลยต้องเรียนท่านไปว่า สมัยที่กระผม/อาตมภาพสร้างสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี ตอนนั้นถ้าจะขนวัสดุก่อสร้างขึ้นสังขละบุรี ทรายหยาบคันละ ๓,๐๐๐ บาท แต่ค่าบรรทุกคันละ ๗,๐๐๐ บาท..! เนื่องเพราะว่าถนนหนทางไปยากมาก ต้องเป็นรถใหญ่สองเพลาเท่านั้น ถึงจะขึ้นสังขละบุรีได้ ทองผาภูมิในยุคนั้นก็ไม่ต่างกัน เพราะอย่างทางเข้าสหกรณ์นิคมตรงไปสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี มีแต่ปลักควายตั้งแต่ปากทางเข้าไปยันโน่น...พื้นที่ของเหมืองสองท่อ..! เนื่องเพราะว่าทางเหมืองมีงบประมาณมาก แล้วอีกอย่างหนึ่งเขาระเบิดหินอยู่ตลอดเวลา เขาก็เลยเอาหินมาถม จนกระทั่งรถแร่หนักเท่าไรวิ่งก็ไม่ทรุดไม่ยุบ แต่พอพ้นเขตออกมาก็เป็นปลักควายไปตลอดทาง..! กระผม/อาตมภาพสั่งวัสดุก่อสร้าง ๑ คันรถ เขาคิดค่าขนส่ง ๖,๐๐๐ บาท ในยุคนั้นทองคำบาทละ ๔,๒๕๐ บาท ค่าบรรทุกวัสดุเที่ยวละ ๖,๐๐๐ บาท..! กระผม/อาตมภาพจึงต้องรอรวมวัสดุให้ได้ใกล้เคียง ๑๘ ตัน แล้วถึงจะสั่งทีหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็จะไม่คุ้มกับค่ารถค่าขนส่ง ท่านองคมนตรีบ่นว่า "พวกคุณให้งบประมาณเท่ากับสร้างในกรุงเทพฯ ในนนทบุรี แล้วรู้ไหมว่าที่นี่ค่าขนส่งเท่าไร ? ผมไปสร้างหอพักให้โรงเรียนบ้านห้วยเสือ ค่าขนส่งแพงกว่าค่าวัสดุไปเท่าครึ่ง..!" ท่านบอกทางโรงเรียนบ้านห้วยเสือไปว่า "ถ้าเชื่อผมก็ทำไป เดี๋ยวผมจะหาเงินมาให้" แล้วการประชุมครั้งก่อนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ท่านก็ปรารภกับกระผม/อาตมภาพว่า "คงต้องขอเงินหลวงพ่อเล็กเพิ่มอีกแล้ว..!" ก็เลยเรียนท่านไปบอกว่า "อ๋อ..ยุคนี้เขาไม่ให้พระมีเงิน..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:41 |
|
#4
|
||||
|
||||
|
คราวนี้พวกเราจะเห็นความย้อนแย้งกันในสังคมไทยของเรา โดยเฉพาะต่างจังหวัดไกล ๆ ทุกอย่างต้องพึ่งพาวัดวาอารามทั้งหมด แต่ความคิดของคนในกรุงเทพฯ ที่ประเภทกินแล้วไม่มีอะไรจะทำ ก็คือ "พระรวย" ก็เลยทำให้เกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นมาเยอะแยะมากมาย โดยที่ไม่ได้ดูว่าสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากอะไร? และที่แน่ ๆ ก็คือไม่ได้แยกตัวบุคคลออกจากคณะสงฆ์ หรือว่าไม่ได้แยกตัวบุคคลออกจากพระพุทธศาสนา เป็นการเหมาโหลรวมกันหมด จะดีจะชั่ว ถือว่าเป็นปลาข้องเดียวกัน เน่าตัวหนึ่งก็เหม็นหมดทั้งข้อง..!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ในส่วนนี้ก็คงเหลือแต่ฝากความหวังไว้กับมหาเถรสมาคม และคณะกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งจนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ว่าจะทำอะไรที่เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาบ้าง ยกเว้นอย่างเดียว ที่ล่าสุดตอกย้ำมติมหาเถรสมาคมปี ๒๕๖๒ ห้ามพระภิกษุสามเณรยุ่งการเมืองอย่างเด็ดขาด ซึ่งก็คงจะห้ามได้แบบเท่ ๆ เท่านั้น ท่านที่ยุ่งก็ยังคงยุ่งต่อไป จึงเป็นอะไรที่เราท่านทั้งหลาย ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง มีคำสั่งผู้บังคับบัญชาเราก็ทำไป หน้าที่ของเรามีอะไรก็รับผิดชอบไป แต่ว่าในส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือหน้าที่ในการชำระจิตใจของเราให้เบาบางจากกิเลส หลายท่านเห็นกระผม/อาตมภาพใช้เงินแบบไม่คิด มีเท่าไรใช้แค่หมด คนส่วนใหญ่จะนึกว่ากระผม/อาตมภาพรวย ก็คือมีเท่าไรก็ให้เขาได้ แต่ความจริงนั่นเป็นวิธีการหนึ่งในการ ลด ละ เลิก กิเลสของตัวเราเอง ถ้าเรายังมีความห่วง มีความหวงในปัจจัยไทยธรรมต่าง ๆ อยู่ ก็แปลว่าเราท่านทั้งหลายยังเอาตัวไม่รอด..! สมัยก่อนมาวัดท่าขนุน สังฆทานเน่าคาห้องไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร..! ก็เพราะไอ้ความหวงความห่วงไม่เข้าท่านั่นแหละ..! ทำเหมือนอย่างกับรักษาของสงฆ์ แต่ความจริงก็คือทำให้ของสงฆ์ฉิบหายบรรลัยหมด..! มาปัจจุบันนี้ค่อยดีหน่อย เพราะว่ามีการแจกจ่ายออกไปสารพัดรอบทิศรอบทาง ทางด้านแม่ชีชื่น (อุบาสิกาชื่น ศรีสองแคว) หัวหน้าแม่ชีวัดท่าขนุน ก็มีการนำไปถวายเป็นกฐินหรือผ้าป่าให้กับวัดต่าง ๆ ในที่กันดารทุกปี ส่วนพวกเราก็ช่วยเหลือสาธารณภัยต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งมอบให้กับหน่วยราชการ ทหาร ตำรวจ โดยเฉพาะเด็กนักเรียน ก็คือหลังจากที่พวกเราเรียกว่า "ออกร้านเซเว่น" ในแต่ละเดือนแล้ว ส่วนที่เหลือก็คือพร้อมแจก ไม่อย่างนั้นแล้วก็อาจจะมีการเน่าคาห้องอีกเหมือนเดิม..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:45 |
|
#5
|
||||
|
||||
|
มีหลวงพ่อรูปหนึ่ง ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดกาญจนบุรี เป็นบุคคลที่เก็บสังฆทานทุกชิ้นยัดไว้ในห้อง ท้ายที่สุดก็ไม่มีที่ให้นอน..! ต้องออกมานอนเลี้ยงยุงนอกห้อง จะสมน้ำหน้าท่านก็ใช่ที่ ก็ในเมื่อท่านหวง ไม่ยอมแบ่งไม่ยอมปันใครเลย ก็ปล่อยให้ท่านนอนเลี้ยงยุงของท่านไปก็แล้วกัน..!
ดังนั้น..เรื่องพวกนี้เป็นการฝึกตนของเราอย่างหนึ่ง ว่าสามารถตัด รัก โลภ โกรธ หลง อย่างไรได้บ้าง ไม่ใช่อวดร่ำอวดรวย มีเท่าไรให้เขาได้ แต่ทุกครั้งที่ให้ก็คือต้องสังเกตใจของเราว่า มีความตระหนี่ถี่เหนียวหรือไม่ ? ให้ด้วยเมตตากรุณาแล้ว ถึงเวลาวางอุเบกขาได้หรือไม่ ? ไม่ใช่ให้แล้วก็ยังตามไปดู ตามไปจับ ตามไปจ้อง ว่าเขาใช้ของเราหรือเปล่า ? กระผม/อาตมภาพเจอมามากต่อมากแล้ว ถึงเวลาถามว่า "ถวายข้าวของชนิดนั้นไป หลวงพ่อยังใช้อยู่หรือเปล่า ?" "อ๋อ..ไม่ทันได้ใช้ ให้เขาไปแล้ว..!" คุณจะไม่ศรัทธา เลิกถวาย กระผม/อาตมภาพก็ดีใจ กูจะได้ไม่ต้องรับมาให้รกกุฏิ..! ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายที่พูดมาในวันนี้ก็คือ พระภิกษุสามเณรส่วนใหญ่ของเรา ต้องจัดการกับกิเลสในใจของตนเอง ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยเฉพาะพยายามเคร่งครัดในส่วนของวินัย ก็คือศีลพระเอาไว้ เนื่องเพราะว่าในเบื้องต้น เราจะเป็นพระภิกษุสามเณรหรือไม่ก็อยู่ที่ศีลเท่านั้น ศีลบกพร่อง ความเป็นพระภิกษุสามเณรก็ลดน้อยถอยลง ถ้าไปเจออาบัติหนักเข้า ก็อาจจะขาดความเป็นพระภิกษุสามเณรไปเลย..! เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เราท่านต้องตระหนักด้วยตัวเอง ไม่ใช่รอครูบาอาจารย์ พระพี่เลี้ยง หรือว่าเพื่อนฝูงมาจ้ำจี้จ้ำไชคอยบอกคอยกล่าวให้ คนรักที่จะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จะต้องไม่เบื่อไม่หน่ายในการขัดเกลาตัวเองด้วยประการทั้งปวง ไม่อย่างนั้นแล้วอยู่ไปก็ขาดทุนไปตลอดเวลา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยู่ไปทำอะไร ?! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:47 |
![]() |
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
| ภาณุวัฒน์ สิทธิกูล |
|
|