|
#1
|
||||
|
||||
|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๘
|
| สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#2
|
||||
|
||||
|
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ อากาศยามเช้าที่โรงแรม RAMADA By Wyndham อยู่ที่ ๑๑ องศาเซลเซียส กระผม/อาตมภาพเก็บข้าวของเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนตี ๕ ของประเทศเนปาล จึงลงไปทางด้านล่าง แล้วก็ถ่ายรูปสถานที่ต่าง ๆ ตามเคย หลังจากนั้นสักครู่หนึ่ง ญาติโยมทั้งหลายก็ทยอยกันลงมาพร้อมกับกระเป๋าของตนเอง ไม่ต้องลำบากพนักงานทางด้านนี้ไปช่วยเก็บกระเป๋าจากหน้าห้อง
กระผม/อาตมภาพต้องมานั่งจารพระพุทธรูป ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อองค์ดำก็ดี หลวงพ่อปางปรินิพพานก็ตาม ที่พระเดชพระคุณพระพรหมวชิรโพธิวงศ์ (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ, ดร.) ประธานคณะธรรมทูตสายอินเดีย - เนปาล เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา ท่านถวายมา และของวัดอื่น ๆ ที่ไปร่วมกันทอดผ้าป่า ก็ถวายข้าวของอย่างโน้นอย่างนี้มา แต่ด้วยความที่ว่าพระพุทธรูปหลายองค์ก็เริ่มหนัก จึงได้นั่งจารและอธิษฐานจิต เพราะว่ามีบุคคลอยากได้ไปบูชา ว่าแล้วก็จ่ายเป็นเงินไทยมาค่อนข้างจะแพงเลยทีเดียว..! ครั้นตี ๕ ครึ่ง พวกเราก็ไปยึดห้องอาหาร รับประทานเป็นการใหญ่ เสร็จแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ไล่แจกรางวัลให้กับพนักงานทุกคนของโรงแรม แม้กระทั่งเวรยาม หรือพนักงานเปิดประตู ได้ไปคนละ ๑๐๐ บาทไทย ยิ้มกว้างไปตาม ๆ กัน แล้วก็ไปแจกรางวัลให้กับพลขับรถบัสทั้ง ๒ คัน ๆ ละ ๓,๐๐๐ รูปี เด็กรถ ๒ คนอีกคนละ ๑,๐๐๐ รูปี ส่วนผู้ประสานงานของเรา ทั้งคุณวิชาญและคุณกูเป้ ให้ไปคนละ ๓,๐๐๐ รูปีเช่นกัน เพราะว่าถ้าไม่ให้ตอนนี้ เดี๋ยวเงินจะหมดเสียก่อน..! ส่วนที่เหลือก็มอบให้น้องการ์ตูน (นางสาวศรันย์พร บุรินทรโกษฐ์) ซึ่งดูแลรถคันของกระผม/อาตมภาพ ๕,๐๐๐ รูปี ให้น้องหนึ่ง (นางสาวณิชารีย์ จั่นแก้ว) ที่ดูแลรถบัสคันที่ ๒ จำนวน ๕,๐๐๐ รูปี แล้วพวกเราก็มาดูข้าวของที่ร้านทางด้านหน้าโรงแรม กระผม/อาตมภาพสนใจสร้อยประคำ ๒ เส้น คนขายบอกว่า "เส้นละ ๑,๐๐๐ บาทไทยครับ" กระผม/อาตมภาพบอกว่า "แพงเกินไป ถ้า ๒ เส้น ๑,๐๐๐ บาทถึงจะซื้อ" ทำเอาอีกฝ่ายทำท่าคิดหนัก แต่เมื่อพวกเราเดินวนรอบหนึ่ง มีแต่ของแพงทั้งนั้น ก็เลยเดินออกมา ทำเอาพนักงานขายตามมาบอกว่า "อาจารย์ครับ ๒ เส้น ๑,๐๐๐ บาทก็ได้ครับ" กระผม/อาตมภาพก็เลยต้องย้อนกลับไปจ่ายสตางค์จนได้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 03:22 |
| สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#3
|
||||
|
||||
|
เสร็จแล้วก็ขึ้นรถเพื่อที่จะตรงไปยังลุมพินีสถาน ซึ่งเป็นที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยที่รถของเราใช้เวลาในการเดินทางประมาณ ๒๕ นาที คุณนวลจันทร์ เพียรธรรม ประธานคณะกรรมการบริษัทเอ็นซีทัวร์ ซึ่งงวดนี้ขอมาเป็นลูกทัวร์ด้วย ทำการโฆษณาหนังสือ ๒ เล่ม ที่ใช้สำหรับแจกในงานศพตัวเอง..!
กระผม/อาตมภาพได้อ่านเล่มแรกไปแล้ว กำลังรออยู่ว่าเล่ม ๒ เมื่อไรจะออก ปรากฏว่าพิมพ์มาเป็นเล่มเรียบร้อยแล้ว ต้องบอกว่าถ้ามีเวลาต้องรีบอ่าน เนื่องเพราะว่าประสบการณ์ของคนอายุ ๘๐ กว่าปี ทั้งการดำรงชีวิตครอบครัว ทั้งการทำหน้าที่การงาน ฝ่าฟันกันมาลักษณะไหน จึงประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เมื่อถึงทางด้านวัดไทยลุมพินี พวกเราก็ไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็ไปนั่งสามล้ออินเดียที่เรียกว่า "ริกชอร์" ที่ปกติแล้วนั่งกันคันละ ๔ คน แต่คันของกระผม/อาตมภาพนั้นนั่งไป ๕ รูป/คน..! เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพไปนั่งคู่กับคนขับ อาศัยว่าตัวเล็กไม่เกะกะ คนขับก็เลยไม่ว่าอะไร แต่ลืมไปว่ารถต้องวิ่งฝ่าความหนาวระดับ ๑๑ องศาเซลเซียส เล่นเอาสะท้านไปเหมือนกัน..! รถวิ่งเข้าไปในอุทยานลุมพินีค่อนข้างจะลึกมาก จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่จอด แล้วก็ต้องเดินเข้าไปอีกเป็นระยะทางไกลทีเดียว ต้องผ่านบรรดาสวาวานรบริวารของพระรามจำนวนมาก ซึ่งออกมาจับเห็บจับเหากัน หลายตัวก็จ้องดูว่านักท่องเที่ยวจะมีอาหารให้หรือเปล่า ? เมื่อพวกเรามาถึงบริเวณทางด้านหน้า ซึ่งมีดวงไฟที่จุดมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยประมาณ ยังไม่เคยดับเลย เรียกกันว่า "เปลวไฟแห่งสันติภาพ" เมื่อหันไปทางซ้ายก็จะเห็นพระพุทธเจ้าปางประสูติ ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่แต่ไกล พวกเราที่ทยอยกันมาถึง เข้าไปฟังคำบรรยายว่า พระพุทธรูปองค์นี้สร้างโดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แต่ว่าทำไม่สำเร็จ เนื่องเพราะว่าไปสั่งหินแกรนิตจากประเทศจีนมาทำฐาน ซึ่งทางด้านอินเดียนั้นไม่ชอบใจ เนื่องจากมีการกระทบกระทั่งกับจีน จนกระทั่งต้องมาปรึกษาพระเดชพระคุณพระพรหมวชิรโพธิวงศ์ ท่านแนะนำว่าให้สั่งจากประเทศไทย เท่านั้นแหละ งานทุกอย่างก็สำเร็จลงด้วยดี..! เมื่อฟังบรรยายและถ่ายรูปหมู่แล้ว ต้องเดินเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกลเข้าไป แล้วก็เลี้ยวขวาเอารองเท้าไปฝากไว้ก่อน ใครที่มีถุงสวมเท้าที่ยังไม่ได้ทิ้งจากวันก่อนที่พุทธคยา ก็เอามาสวมกันใหม่ตรงนี้เอง จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปข้างในจนถึง "วิหารมหามายาเทวี" ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 03:27 |
| สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#4
|
||||
|
||||
|
พวกเราต่อคิวนักท่องเที่ยวต่าง ๆ เข้าไปสักการะยังด้านใน สถานที่ภายในนี้เขาห้ามถ่ายรูป แต่เมื่อกระผม/อาตมภาพไปถึง เจ้าหน้าที่เขาเปิดทางแยกให้ไปสักการะอีกด้านหนึ่ง ทำเอาลูกศิษย์มือไวถ่ายรูปกระผม/อาตมภาพที่กำลังเงยหน้ามองภาพและอธิษฐานอยู่พอดี กลายเป็นว่าได้รูปสวยมาโดยไม่ได้ตั้งใจ..! จากนั้นพวกเราก็เดินทะลุออกไปทางด้านหลัง ชม "สระโบกขรณี" ตลอดจนกระทั่ง "ต้นโพธิ์ตรัสรู้" ที่ "ริปุมัลละ" ได้ไปนำเมล็ดมาจากพุทธคยามาขยายพันธุ์ปลูกไว้ที่นี่ อายุได้นับพันปีแล้ว..!
หลังจากนั้นก็ไปนั่งกราบพระ เจริญพระพุทธมนต์ เจริญพระกรรมฐาน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา แล้วมาถ่ายรูปหมู่ร่วมกันที่ริมบริเวณสระโบกขรณี เจอพรรคพวกเพื่อนฝูงอีกหลายคณะที่แห่กันมา ทำเอากระผม/อาตมภาพต้องกลายเป็นดาราหน้ากล้อง ให้บรรดาเพื่อนและลูกศิษย์ถ่ายรูปไปด้วย..! แล้วก็เดินออกมาชม "เสาอโศก" ที่อยู่ข้างวิหารมหามายาเทวี แล้วพวกเราก็ต้องรีบกลับออกมา รับรองเท้าคืน เนื่องเพราะว่าวันนี้จะต้องรีบไปสนามบิน ถ้าหากว่าขืนช้า เดี๋ยวจะทำกิจกรรมอื่นได้ไม่ครบ ต้องขออภัยญาติโยมทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง พวกเรานั่งรถสามล้อกลับมาที่วัดไทยลุมพินี ปรากฏว่าท่านเจ้าคุณสุพจน์ - พระราชโพธิวิเทศวัชรสุธี, ดร. (สุพจน์ กิตฺติวณฺโณ ป.ธ. ๙) ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดไทยลุมพินี ประเทศเนปาล ท่านได้กลับมาจากพุทธคยาในการไปบวชให้กับคณะตำรวจแล้ว พวกเราจึงเข้าไปภายในพระอุโบสถ กราบพระแล้วก็รวบรวมปัจจัยถวายผ้าป่ากับท่าน กระผม/อาตมภาพต้องเติมให้ครบทุกรายการ รวมเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ รูปี ๑๐,๐๐๐ บาทไทย และ ๑๐๐ ดอลลาร์ ท่านเจ้าคุณสุพจน์ขออนุญาตกราบกระผม/อาตมภาพก่อน มีการบ่นด้วยว่าไม่เจอกันนานมาก เนื่องเพราะว่าครั้งสุดท้ายนั่นก็คือ ตอนที่ท่านไปช่วยเหลือแผ่นดินไหวที่ประเทศเนปาล..! เมื่อพวกเราถวายผ้าป่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องรีบเดินทางกลับ เพื่อที่ไปรับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรม แล้วจะได้เดินทางไปยัง "สนามบินไภรวะ" ต่อไป แต่ว่าท่านเจ้าคุณสุพจน์ขอเวลาชั่วคราว ก็คือให้กระผม/อาตมภาพไปช่วยอธิษฐานจิต ให้การสร้างพระมหาเจดีย์ของวัดไทยลุมพินีนี้สำเร็จเรียบร้อยลงโดยเร็ว..! กระผม/อาตมภาพจึงต้องฝากบรรดาเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย ให้ช่วยกันใช้ความสามารถให้เต็มที่ มีโอกาสแล้วจะมาทำบุญให้กับท่านทั้งหลายอีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 03:30 |
| สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#5
|
||||
|
||||
|
พอสวนออกมา ปรากฏว่าเจอคณะพระทั่วประเทศไทย ๑๐๐ กว่ารูป ที่ท่านเจ้าคุณกอล์ฟ - พระวิเทศวัชราจารย์ (เฉลิมชาติ ชาติวโร) เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร เลขานุการธรรมทูตสายอินเดีย - เนปาล ต้องลากระผม/อาตมภาพเพื่อไปต้อนรับคณะนี้เอง หลายท่านที่รู้จักกันก็ทักทายกันด้วยความดีใจ
กระผม/อาตมภาพออกมาแล้ว ก็ขึ้นรถกลับไปยังโรงแรม RAMADA By Wyndham เมื่อไปถึง อาหารทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อตักมาแค่สิ่งที่ตนเองชอบใจ ปรากฏว่านายกูเป้ได้เอาแกงถวายมา ๑ ถ้วย บอกว่า "เป็นมัตตั้นแพะครับ อร่อยมาก" กระผม/อาตมภาพตักเข้าปากคำแรก ก็ต้องบอกว่าสมคำร่ำลือจริง ๆ จากที่เคยกิน "แกงกะหรี่มัตตั้นแกะ" อร่อยที่สุดที่ปากีสถานมาแล้ว ขอยืนยันว่า "แกงกะหรี่มัตตั้นแพะ" ของโรงแรม RAMADA By Wyndham นี้ อร่อยที่สุดเท่าที่เคยฉันมา..! เมื่ออิ่มแล้ว พวกเราก็ต้องรีบขึ้นรถตรงไปยัง "สนามบินไภรวะ" หรือที่คนอื่นอ่านไม่ค่อยจะถูกว่า "ไปราว่า" บ้าง "ไพราว่า" บ้างซึ่งความจริงมาจากชื่อของเจ้าแม่นภิสราเทวีส่วนหนึ่ง ก็คือ "พระไภรวะ" ที่บ้านเราเรียกว่า "พระพิราพ" ทุกคนล้วนแล้วแต่คิดว่าเป็นผู้ชาย แต่เจ้าแม่แกยืนยันว่าใครบนพระไภรวะหรือพระพิราพ แกเป็นคนรับทั้งหมด..! เมื่อไปถึง พวกเราก็ต้องเข้าคิวให้เขาตรวจพาสปอร์ตว่ามีรายชื่อตรงกับในตั๋วเครื่องบินหรือไม่ ? แล้วก็ไปสแกนกระเป๋า เจอคณะของหลวงพ่อพระครูประเสริฐ - พระครูโกศลธรรมานุสิฐ เจ้าคณะอำเภอบางปลาม้า เจ้าอาวาสวัดสวนหงษ์ จังหวัดสุพรรณบุรีที่ตรงนี้ ปรากฏว่ากลับเครื่องเที่ยวเดียวกันเสียด้วย..! ผ่านการสแกนเข้าไปแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ก็มีการตรวจร่างกายซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกระทั่งมั่นใจ แล้วพวกเราจึงเข้าไปเช็คอินทางด้านในได้ กระผม/อาตมภาพต้องมอบน้ำหนักทั้งหมดให้กับทางเอ็นซีทัวร์ตามเคย เมื่อได้ตั๋วมาแล้วก็ไปผ่านการตรวจคนออกจากเมือง ซึ่งทาง ตม.ของประเทศเนปาลจะทำการประทับตราพาสปอร์ตและประทับตั๋ว (บอร์ดดิ้งพาส) ให้ด้วย ครั้นเข้าไปข้างในแล้ว ยังมีการสแกนอีกชั้นหนึ่ง เมื่อผ่านเครื่องเอ็กซเรย์แล้ว ถึงจะได้รับตราประทับที่บอร์ดดิ้งพาสเป็นดวงที่ ๒ ถ้าใครมีตราประทับไม่ครบ ก็จะไม่ให้เข้าไปทางด้านใน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 03:35 |
| สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#6
|
||||
|
||||
|
เมื่อเข้าไป ก็ได้คุยกับพรรคพวกเพื่อนฝูงหลายต่อหลายคน ทางด้านทิดดอย (นายภาณุพงศ์ วังประภา) ตรวจสอบแล้วแจ้งว่าเครื่องดีเลย์จากกรุงเทพฯ ๓๐ นาที แต่เจ้าแม่นภิสราเทวี ซึ่งถ้าเรียกแค่ "เจ้าแม่นภิสรา" ปรากฏว่ามีคนพูดไม่ชัดเรียกเป็น "เจ้าแม่น้ำพริกสละ" มาแล้ว ท่านยืนยันว่าไม่ต้องกังวล เครื่องมาถึงตามปกติและกลับได้ตามปกติ..!
เนื่องเพราะว่าฤดูนี้ ส่วนใหญ่ถ้ามาถึงแล้วทัศนวิสัยปิด หมอกปกคลุมไปทั้งสนามบิน เครื่องก็จะลงไม่ได้ ปรากฏว่าเครื่องของเราลงได้ แล้วพวกเราก็ผ่านการตรวจตั๋วเพื่อที่จะขึ้นไปข้างใน โดยที่เขาเรียกพระขึ้นก่อน เมื่อนั่งเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วทุกคน ปรากฏว่าเครื่องออกก่อนเวลา ๕ นาที..! เจ้าแม่แกทำได้จริง ๆ แถมยังทำหน้าทะเล้นโบกมือ "บ๊ายบาย" ให้เสียด้วย..! เมื่อเครื่องวิ่งออกมา กระผม/อาตมภาพก็หลับตาภาวนาอุทิศส่วนกุศล และขอบคุณขอบใจทุกท่านที่ช่วยเหลืออนุเคราะห์สงเคราะห์ทั้งขามาและขากลับ ปรากฏว่าทิดเฟิร์ส (นายบัณฑิต เอี่ยมตระกูล) สะกิด "หลวงพ่อครับ ไม่อยากรบกวน แต่นั่นน่าจะเป็นเทือกเขาหิมาลัยครับ" เมื่อกระผม/อาตมภาพมองไปก็ยืนยันว่าใช่เลย เพราะผ่าน North Face พอดี จึงได้ทำการถ่ายรูปไปหลายรูป รอจนกระทั่งถ่ายรูปยอดเขาไกรลาศแล้ว ถึงได้กลับไปเข้าสมาธิต่อ มารู้ทีหลังว่าหลายต่อหลายคนถ่ายแล้วพยายามส่งรูปลงกลุ่มไลน์ แต่เนื่องจากว่าฝีมือไม่ถึง เพราะว่ามือไม่นิ่ง รูปจึงค่อนบ้างเบลอบ้าง ติดปีกเครื่องบินบ้าง กระผม/อาตมภาพจึงต้องส่งรูปของตัวเองลงไปให้ทุกคนดูแทน ที่น่าอัศจรรย์ก็คือเครื่องของเรามาลงที่สนามบินนานาชาติดอนเมืองก่อนเวลา ๒๕ นาที..! เจ้าแม่แกสุดยอดตรงนี้เอง ไม่เชื่อก็ไม่ได้..! เมื่อพวกเราประทับตราพาสปอร์ตเข้าเมืองแล้ว ก็มารอรับกระเป๋า กระผม/อาตมภาพนอกจากรับกระเป๋าแล้ว ยังต้องรับปัจจัยสารพัดที่หลายต่อหลายคนควักกระเป๋าทำบุญส่งท้าย บางคนถึงขนาดประกาศว่าถวายหมดตัวเลย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าต้องเดินกลับบ้านหรือเปล่า !? จากนั้นกระผม/อาตมภาพ น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) และไอ้อ้วน (นางสาวดวงฤทัย ตั้งวรกุลกิจ) ก็ต้องขึ้นลิฟท์ไปยังชั้น ๓ เพราะว่าทิดรอย (นายณพจน์ วิไลรัตน์ ) นำรถมารอรับอยู่ที่นั่น วิ่งฝ่ารถติดเล็กน้อย ไปจนถึงวัดอุทยานซึ่งเป็นที่พักคืนนี้ กระผม/อาตมภาพเองเมื่อเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว จึงรีบมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน หลังจากนี้ก็จะฉันยาและนอนสลบไสลแล้ว สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 03:38 |
| สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 5 คน ) | |
|
|