|
#1
|
||||
|
||||
|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
| สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#2
|
||||
|
||||
|
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เมื่อช่วงสายท่านนายกฯ ปาล์ม (นายศราวุธ ศรีทันดร) นายกเทศมนตรีตำบลทองผาภูมิ มาปรึกษาหารือเพื่อจะจัดงานสวดพระอภิธรรมถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงได้บอกไปว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้นายอำเภอท่านเป็นประธาน แล้วทางวัดของเราจะจัดพระ ๒๐ รูปไปร่วมงานด้วย รวมกับพระที่สวดพระอภิธรรมอีก ๔ รูป ก็เป็น ๒ โหลพอดี
คราวนี้งานวันลอยกระทงของเราในปีนี้ จะบอกว่าโชคดีก็โชคดี โชคร้ายก็โชคร้าย ก็คือนาคไม่สามารถจะทนระบบของวัดท่าขนุนได้ หนีกลับบ้านไปแล้ว วันลอยกระทงปีนี้ไม่มีงานอุปสมบทหมู่ เพราะไม่มีนาคเหลือไว้ให้ แต่ว่าพวกเราก็ลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์ วางผางประทีป ตามประทีปกันตามปกติ แต่หลังจากตามประทีปแล้ว พระทั้ง ๒๔ ก็ห่มคลุมเดินทางไปท่าน้ำเทศบาลข้างตลาดสด เพื่อเข้าร่วมพิธี หลังจากที่กลับมาแล้ว ถึงมาลอยกระทงของเราตามปกติ ก็แปลว่าเราไปสวดพระอภิธรรมถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงแทนการทำวัตรเย็น ในเรื่องของสถาบันนั้น ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยเฉพาะคุณงามความดีของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก ทุกท่านคงไม่ทราบว่า มีประชาชนในประเทศพม่าจำนวนมากที่แต่งกายไว้ทุกข์ให้กับสมเด็จพระพันปีหลวงของเรา ในประเทศมาเลเซียส่วนหนึ่งก็ไว้ทุกข์ให้กับสมเด็จพระพันปีหลวง ประเทศลาวแต่งขาวบ้าง แต่งดำบ้าง ไปครึ่งค่อนประเทศ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่าสงสารคนไทย เนื่องเพราะว่าแม้แต่คนต่างด้าวท้าวต่างแดน เขาก็ยังรู้คุณงามความดีของสถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่ในลักษณะที่ว่าใครทำความดีก็ให้ความรัก ให้การยกย่อง แต่คนไทยของเรากันเองดันมาตั้งคำถามว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มีไว้ทำอะไร หรือไม่ก็ประมาณว่า ตายคนเดียว ทำกูเดือดร้อนไปด้วย กูไม่น้อมส่งละนะ เจ้าพวกนี้ต้องบอกว่าเสียชาติที่เกิดมา แต่ว่าไทยเราก็แสดงความจงรักภักดีเช่นกัน ด้วยการที่กลายเป็น "สีเทา" เกือบจะทั้งประเทศแล้ว ไม่ว่าจะนักการเมือง ทหาร ตำรวจ ล้วนแล้วแต่อำนวยการให้บรรดา "แก๊งสีเทา" ที่มาดูดเงินคนทั่วโลก แค่การตัดเน็ต ตัดไฟฟ้า คำสั่งไม่ถึง ๕ นาทีก็จบแล้ว ยืดเยื้อมาตั้งหลายเดือน ไม่สามารถที่จะทำได้ เพราะทุกคนตั้งใจไว้ทุกข์ "ใส่สีเทา" ล่วงหน้ามาเป็นปี ๆ แล้ว เป็นเรื่องที่น่าสงสารประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง ว่าทุกอย่างดีหมด ยกเว้นมีคนไทยส่วนหนึ่งอยู่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
| สมาชิก 3 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#3
|
||||
|
||||
|
เรื่องพวกนี้บางทีไม่น่ามาถึงให้พระอย่างพวกเราได้พูดได้บอก แต่ประชาชนคนทั้งประเทศก็เห็นแล้ว บางท่านแสดงความเห็นออกมา คนถล่มไลค์กันเป็นหมื่นเป็นแสน อย่างเช่นว่าทหารไทยของเรา กว่าจะยึดพื้นที่จากเขมรได้นิดหน่อย ใช้เวลาและใช้กำลังคนจำนวนมาก แต่เขมรแทบไม่ต้องใช้อะไรเลย ยึดรัฐบาลไทยไปแล้ว
ต้องบอกว่าบุคคลสมัยปัจจุบันนี้ ขาดคุณสมบัติอย่างมาก ก็คือเรื่องของศีลธรรมจรรยา ขาดการรักในชื่อเสียงเกียรติภูมิของชาติวงศ์ตระกูล ไม่เหมือนกับคนรุ่นเก่า ๆ ที่เขารักเกียรติ รักชาติวงศ์ตระกูลยิ่งกว่าชีวิต อะไรที่ทำให้เสียหาย จะพยายามหลีกเลี่ยงอย่างสุดชีวิต ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเลว แต่ว่าคนเลวมีน้อยมาก เพราะว่าทุกคนได้รับการอบรมมาให้ละอายชั่วกลัวบาป รักเกียรติ รักชื่อเสียงวงศ์ตระกูล แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ว่าบรรดานักการศึกษาของบ้านเรา ยิ่งไปร่ำไปเรียนจากต่างชาติมามากเท่าไร ศีลธรรมจรรยาของคนไทยกลับลดน้อยลงไปมากเท่านั้น รุ่นของกระผม/อาตมภาพ ครูบาอาจารย์ที่จบชั้นป.๔ แล้วมาสอนพวกกระผม/อาตมภาพยังมีอยู่หลายคน ท่านที่ตั้งใจแสวงหาความก้าวหน้าก็พยายามสอบเพิ่มความรู้ จนจบป.กศ. (หลักสูตรประกาศนียบัตรทางการศึกษา) บ้าง จบพ.ม. (ประกาศนียบัตรประโยคครูพิเศษมัธยม) บ้าง ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องเป็นเรื่องที่ดิ้นรนไขว่คว้าด้วยตนเอง หาครูที่จบปริญญาตรีน้อยมาก ๆ ยุคนั้นถ้าใครจบม.๘ ที่เทียบเท่ากับม.๖ ในยุคนี้ คนเขาเลื่องลือกันไปทั้งจังหวัด ว่าลูกบ้านนั้นเรียนสูงมาก ๆ แต่เป็นเรื่องแปลกที่ว่าสมัยนี้ ครูบาอาจารย์จบครุศาสตร์บัณฑิตกันเต็มบ้านเต็มเมือง แม้แต่ทองผาภูมิของเรา บางพื้นที่ที่ไกลสุดหล้าฟ้าเขียว อย่างโรงเรียนบ้านหินตั้ง หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าบ้านจะแก ก็ยังมีครูที่จบครุศาสตร์บัณฑิตเข้าไปเป็นครูอยู่มากมาย แต่ยิ่งจบสูงเท่าไร ผลผลิตในการศึกษา กลับออกมาบิด ๆ เบี้ยว ๆ ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว กลายเป็นว่าคุณงามความดีและศีลธรรมจรรยา ของเด็กของเรา ลดน้อยถอยลงไปทุกที โดยเฉพาะบรรดาข้าราชการผู้มีเกียรติ เพราะว่าเป็นบุคคลผู้กระทำการแทนพระราชา ไม่ได้คิดที่จะสร้างชื่อเสียงวงศ์ตระกูล หรือว่ารักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูล คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะหาผลประโยชน์เข้าตัวเองและพวกพ้องได้เท่าไร พูดง่าย ๆ ว่า เรื่องดี ๆ ทำไม่เป็น ทำเป็นแต่เรื่องชั่ว ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ส่วนครูบาอาจารย์ก็โดนระบบการศึกษากดหัวเอาไว้ สารพัดเอกสารที่ต้องทำ ที่ต้องรายงาน ไม่อย่างนั้นก็หาความก้าวหน้าไม่ได้ จนกระทั่งหาเวลามาเตรียมการเรียนการสอนให้ดีก็ยาก จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่เวลาศึกษานิเทศก์ไปตรวจสอบ ปรากฏว่าเด็กชั้นป.๖ แล้วยังอ่านหนังสือไม่ออก เพียงแต่ว่าถ้าท่องตามเพื่อนจะท่องได้หมด ให้ชี้ทีละตัวชี้ไม่ถูก ก็เพราะว่าระบบการศึกษาห่วย ๆ ที่เอามาทดลองกับเด็กไทย โดยไม่ได้ดูบริบทสังคมของเรา ก็คือให้เด็กเป็นศูนย์กลางในการเรียน
แต่ว่าเด็กของเราเองนั้น ประการแรก ได้รับการอบรมสั่งสอนมาคนละแบบกับเด็กของต่างประเทศ ของต่างประเทศเขาทันทีที่จับช้อนเล่นได้ พ่อแม่ก็ส่งชามอาหารให้เลย จะกินหรือจะเล่นก็ตามใจ ละเลงให้เละทั้งบ้านก็ไม่มีใครว่า แต่หลังมื้ออาหาร เก็บล้างเรียบร้อย ไม่มีให้อีกจนกว่าจะถึงมื้อหน้า พวกเด็กเขาจะเรียนรู้ในเวลาอันรวดเร็วว่าถ้าไม่ตักใส่ปากก็จะหิว จึงกินเองเป็นตั้งแต่เด็ก ๆ ส่วนบ้านเรา บางทีจะ ๑๐ ขวบอยู่แล้ว ยังต้องวิ่งไล่ป้อนรอบบ้านอยู่เลย ไม่ต้องใครหรอก ท่านอาจารย์พรทิพย์ (ศ.พญ.พรทิพย์ โรจนสุนันท์) คุณหมอนักพิสูจน์ศพนั่นแหละ น้องเท็นซึ่งเป็นลูกสาว จะกินข้าวได้คำหนึ่ง ต้องรอรถไฟวิ่งมาขบวนหนึ่ง ก็คือพอถึงเวลาเห็นรถไฟแล้วก็ตบมือดีใจ อ้าปากหัวเราะ แม่ก็ยัดข้าวเข้าปากได้คำหนึ่ง ความจริงแค่ไม่รักลูกมากจนเกินไป ไม่กินก็ช่างหัวมัน ไม่เกิน ๓ มื้อ มันก็ตะกายมาหากินเอง แล้วคราวนี้การศึกษาของเราให้เด็กเป็นศูนย์กลาง แต่เราไม่เคยสอนให้เด็กคิดเองทำเอง แม้กระทั่งครูบาอาจารย์ที่มาสอน ก็แทบจะไม่เคยได้รับการสอนให้คิดเองทำเอง แล้วจะเอาความรู้ที่ไหนมาถ่ายทอดให้กับเด็ก พ่อแม่ที่เห็นจุดบกพร่องตรงนี้ ก็พยายามส่งลูกเข้าโรงเรียนอินเตอร์ เพราะว่าส่วนใหญ่เด็กอินเตอร์นั้น เขาสอนให้กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ แต่ค่าเล่าเรียนก็สูงโคตร ปัจจุบันนี้บางโรงเรียนเทอมหนึ่ง ๕ - ๖ แสนบาท ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ที่มีฐานะ ใครจะส่งไหว แค่เข้าชั้นอนุบาลก็ต้องจ่ายเป็นแสนแล้ว ถือว่าระบบการศึกษาของไทยเราล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แถมนักการเมืองก็ดี ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ครูบาอาจารย์ก็เป็นตัวอย่างให้กับเด็กไม่ได้ แถมยังแสวงหาประโยชน์ที่มิชอบเข้าตัวแบบใจกล้าหน้าด้าน เหมือนอย่างกับว่าจะยืนหยัดอยู่ได้ตลอดชาติโดยที่ไม่ตกต่ำ ขอบอกว่ากฎของกรรมนั้นเที่ยงตรงเสมอ หมดอำนาจวันไหน ความซวยจะมาถึงท่านเองในวันนั้น สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
![]() |
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 7 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 6 คน ) | |
| ภาณุวัฒน์ สิทธิกูล |
|
|