 
| 
			 
			#1  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|  เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๘ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๘ | 
| สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#2  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ภารกิจสำคัญของกระผม/อาตมภาพก็คือ ไปเป็นประธานในการประชุมองค์กรพระอุปัชฌาย์รุ่นที่ ๕๑ ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง ที่วัดหนองโพ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ. ๙, Ph.D.) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดสามพระยา วรวิหาร ไปเป็นประธานให้โอวาทและปิดการประชุมให้ สิ่งที่หลวงพ่อท่านฝากเอาไว้ก็คือว่า ถ้าพระภิกษุสามเณรของเราไม่เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย จะอยู่ยากขึ้นไปทุกวัน เนื่องเพราะว่าเขาจะตั้งกฎเกณฑ์ต่าง ๆ มาล้อมกรอบเราอีกชั้นหนึ่ง นอกเหนือจากพระธรรมวินัยที่ล้อมกรอบจนเราแทบจะกระดิกไม่ได้อยู่แล้ว คราวนี้ในส่วนนั้น หลวงพ่อท่านบอกว่า ยังดีที่องค์กรพระอุปัชฌาย์ของเราจับกลุ่มได้เหนียวแน่น และประกอบไปด้วยพระผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ผู้ให้กำเนิดพระภิกษุสามเณรของเรา จึงต้องทำหน้าที่ของตนเองให้เคร่งครัด โดยเฉพาะในส่วนของการอบรมพระภิกษุสามเณร ให้ละอายชั่วกลัวบาป รักศีลของตนเอง ในส่วนนี้ท่านฝากเอาไว้ว่า ในฐานะพระอุปัชฌาย์และพระสังฆาธิการ ถ้าหากว่ามีข้อคิดความเห็นใดที่จะทำให้พระพุทธศาสนาของเราเจริญมั่นคงได้ ก็ให้พวกเราร่วมกันประชุมออกความเห็น แล้วนำเรื่องนั้นไปฝากไว้กับท่าน ซึ่งท่านจะช่วยนำเข้าในการประชุมมหาเถรสมาคม เพื่อเสนอให้องค์กรปกครองสงฆ์ระดับสูงสุดท่านได้รับรู้รับทราบ และดำเนินการให้เป็นไปตามความต้องการของพวกเรา กระผม/อาตมภาพอาศัยความสนิทสนมเป็นการส่วนตัว เรียนถวายท่านไปว่า "กระผมขอฝากหลวงพ่อเรื่องเดียวครับ ก็คือคอยดูไว้ว่าอย่าให้มหาเถรสมาคมออกระเบียบอะไรที่ขัดต่อพระธรรมวินัยออกมาอีก เนื่องเพราะว่าในช่วงที่ผ่านมา อย่างเช่นการสละสมณเพศของพระภิกษุ เรามีระเบียบวิธีตามพระธรรมวินัยอยู่แล้ว แต่กลายเป็นว่าถ้าพระภิกษุโดนข้อหาแล้วตำรวจไม่ให้ประกันตัว เราต้องสละสมณเพศตามกฎนิคหกรรมที่ออกมา ซึ่งตรงส่วนนี้ค้านกับพระธรรมวินัย เพราะว่าการสละสมณเพศต้องเป็นไปด้วยความเต็มใจของผู้นั้นเอง" 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2025 เมื่อ 03:17 | 
| สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#3  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			เพิ่งจะฝากหลวงพ่อท่านไปยังสด ๆ ร้อน ๆ ปรากฏว่าในกลุ่มไลน์มีการส่ง..ต้องใช้คำว่า มติมหาเถรสมาคม ซึ่งตอนนี้ลงนามโดยสมเด็จพระสังฆราช กลายเป็นกฎนิคหกรรมใหม่ขึ้นมา จัดการให้พระภิกษุสามเณรสละสมณเพศ พูดง่าย ๆ ว่าต่อให้ไม่เอ่ยวาจาขอลาสิกขา ก็ให้ดำเนินการสละสมณเพศได้ ซึ่งเรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว เอาไว้จัดการกับพวกใจกล้าหน้าด้าน แต่จะทำให้พระภิกษุสามเณร ซึ่งไม่ได้ทำผิดจริงตามข้อกล่าวหานั้น ๆ ต้องสละสมณเพศตามกฎนิคหกรรมนี้ กลายเป็นเรื่องที่ยังไม่ทันไรก็มาถึงแล้ว..! ความจริงสมเด็จพระสังฆราชลงนามไปตั้งแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๘ แต่ว่ามหาเถรสมาคมเพิ่งจะมาพิจารณาในการประชุมครั้งนี้ แล้วก็ผ่านมตินี้ ๓ วาระรวด ซึ่งกระผม/อาตมภาพเป็นประเภท "หมูไม่กลัวน้ำร้อน" ก็คือถ้าหลวงพ่อคิดว่าหลวงพ่อใหญ่พอ ไม่กลัวกฎนี้ พวกกระผม/อาตมภาพก็ไม่กลัวเหมือนกัน..! เพียงแต่ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่บีบคั้นเข้ามา แค่เรื่องของพระธรรมวินัย ในส่วนที่เราท่านทั้งหลายเคยทำได้ในตอนเป็นฆราวาส แล้วทำไม่ได้ในตอนบวชเข้ามา ก็สร้างความลำบากใจให้ทุกคนเพียงพออยู่แล้ว เมื่อมีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมาอีก ก็จะยิ่งทำให้หาผู้บวชได้ยากขึ้น โดยเฉพาะท่านรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบงานพระพุทธศาสนา คือ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ออกความเห็นว่า ต่อไปต้องมีการจัดการกับการบวชของพระภิกษุสามเณรเป็น ๒ ส่วน ก็คือการบวชตามประเพณีส่วนหนึ่ง ซึ่งระบบการจัดการผ่อนคลายมากกว่า อีกส่วนหนึ่งคือท่านที่ตั้งใจจะบวชยาว จะต้องมาเป็นนาคหรือว่าเป็นผ้าขาว ศึกษาพระธรรมวินัยกันก่อนเป็นครึ่งปีหรือ ๑ ปี แล้วถึงจะสามารถบวชได้ ข้อนี้กระผม/อาตมภาพเห็นเลยว่า ท่านทั้งหลายไปคิดกฎเกณฑ์ออกมาจากห้องปรับอากาศหรือหอคอยงาช้าง โดยที่ไม่เคยดูความเป็นจริงเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง เอาแค่ตัวกระผม/อาตมภาพเอง ก็ตั้งใจบวชแค่ ๗ วันเท่านั้น ส่วนบรรดาพรรคพวกเพื่อนฝูงหลายคนที่ตั้งใจบวชตลอดชีวิต ปรากฏว่ากว่าจะรอดพรรษาไปได้ก็แทบตาย ออกพรรษาแล้วก็รีบสึกทันทีทันใด..! แล้วลองคิดดูว่าถ้าเขาเป็นนาคอยู่ ๑ ปี หรือ ๒ ปีแล้วค่อยได้บวช ปรากฏว่าในพรรษา ๓ เดือนก็ไม่รอด แล้วจะคุ้มกับความตั้งใจของเขาหรือเปล่า ? ดังนั้น กฎเกณฑ์ที่ออกมาแบบนี้ มีแต่จะปิดทางการบรรพชาอุปสมบท หรือไม่ก็ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก แล้วท้ายที่สุดก็หาทายาทสืบพระพุทธศาสนาไม่ได้ 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2025 เมื่อ 03:19 | 
| สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#4  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีแนวคิดว่าจะให้พระสังฆาธิการก่อนรับตำแหน่ง ต้องแสดงทรัพย์สินส่วนตัวให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กระผม/อาตมภาพอยากจะตอบกลับไปว่า "ถ้าคุณต้องการดูบริขาร ๘ ไปดูที่ร้านสังฆภัณฑ์ก็ได้ ไม่ต้องมาขอดูกับพระ..!" แต่ในเมื่อระเบียบทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเกิดออกมาจริง ๆ เราท่านจะเห็นว่าองค์กรพระพุทธศาสนาของเรา ซึ่งเป็นองค์กรการกุศล อยู่ด้วยศรัทธาของประชาชน กลายเป็นองค์กรที่โดนบังคับให้อยู่ใต้กฎหมายแบบเดียวกับหน่วยราชการ ซึ่งความต่างกันอย่างมหาศาลก็คือ องค์กรพระพุทธศาสนาอยู่ด้วยศรัทธาชาวบ้าน ปัจจัยทุกบาททุกสตางค์ แทบจะไม่ได้รับจากหน่วยราชการเลย ยกเว้นภายหลัง หน่วยราชการหลายต่อหลายหน่วย ที่มองเห็นว่าถ้าเข้ามามีส่วนร่วมแล้ว ผลงานที่พระทำไว้ดีมากจะเป็นของตัวเอง ก็โอนงบประมาณมาให้ มากบ้าง น้อยบ้าง อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยกล่าวให้ฟังว่า โอนมาให้ ๒,๕๐๐ บาท แต่ต้องรายงานการปฏิบัติงานปีละ ๔ ครั้งในรอบไตรมาส ๒,๕๐๐ บาทแค่กระดาษรายงานก็ไม่พอแล้ว..! แล้วส่วนราชการที่เข้าไปรับตำแหน่ง แล้วเกี่ยวข้องกับงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งมาจากภาษีประชาชน เป็นพันล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน ถ้าลักษณะอย่างนั้น ท่านจะให้เขาแสดงทรัพย์สินก็สมเหตุสมผล แต่ส่วนของพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา ที่อยู่ด้วยความศรัทธาของชาวบ้าน ไม่ใช่ว่าจะร่ำรวยทุกรูป แล้วในขณะเดียวกัน เงินทั้งหมดก็เป็นเงินทำบุญ ไม่ใช่งบประมาณแผ่นดิน แต่คุณเอาระบบราชการเข้ามาจับ ไม่ว่าจะใช้หัวแม่ตีนข้างไหนคิด ก็ไม่ใช่..! แต่บ้านเราเมืองเรามักจะเพี้ยนอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ก็คือเอาแค่คนศีล ๕ หรือว่าศีล ๕ ไม่ครบ มาออกกฎเกณฑ์ให้ศีล ๒๒๗ ทำตาม ฟังอย่างไรแนวคิดนี้ก็คนบ้าคิดชัด ๆ..! แต่ก็พยายามที่จะคิดกัน แทนที่จะช่วยให้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองมั่นคง ก็กลายเป็นว่า ต่อไปจะไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือพระพุทธศาสนาอีก ไม่ว่าจะเป็นการบวชก็ดี การเป็นอุบาสกอุบาสิกา ถวายรับใช้พระพุทธศาสนาก็ตาม เพราะว่ากฎเกณฑ์เหล่านี้ก็จะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ แม้กระทั่งวันนี้ พระเถราจารย์ชื่อดังอย่างหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ก็ลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนสันติธรรม จังหวัดชลบุรีแล้ว และคาดว่าต่อไปก็จะมีลาออกไปเรื่อย ๆ เพราะไม่มีใครอยากยุ่งกับกฎเกณฑ์บ้า ๆ บอ ๆ ที่เขาออกมา แม้แต่กระผม/อาตมภาพเองที่ไม่คิดจะเป็นเจ้าอาวาสมาตั้งแต่ต้น ก็อาจจะลาออกเข้าป่าไปเมื่อไรก็ได้..! แล้วเขาทั้งหลายที่ตั้งใจออกกฎเกณฑ์มาก็จะเห็นเองว่า ความพินาศฉิบหายของพระพุทธศาสนานั้น เกิดจากความหวังดีแต่ประสงค์ร้ายของเขาเหล่านั้นนั่นเอง..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2025 เมื่อ 03:23 | 
| สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|  | 
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
| 
 | 
 |