#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๘
|
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ วันนวมินทรมหาราช คือ วันคล้ายวันสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา
กระผม/อาตมภาพนำคณะญาติโยม ผู้บวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ รุ่นที่ ๗/๒๕๖๘ ภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบตั้งแต่ตี ๓ พร้อมกับจารพระพุทธรูปต่าง ๆ ที่ญาติโยมได้ถวายมาในงานกฐิน แล้วเอาเข้าพิธีภาวนาพระคาถาเงินล้านในครั้งนี้ด้วย กว่าจะจารครบถ้วนสมบูรณ์ก็ใช้เวลาไปเป็นชั่วโมง เสร็จสรรพจากงานภาวนาพระคาถาเงินล้านแล้ว วันนี้ทางวัดท่าขนุนงดบิณฑบาต เนื่องเพราะว่าที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งจัดงานวันนวมินทรมหาราช ได้นิมนต์พระเพื่อทำการสวดพระพุทธมนต์ และใส่บาตรถวายพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ โดยนิมนต์พระวัดท่าขนุน ๓๐ รูป ประกอบกับยังอยู่ในช่วงงานบวชบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติด้วย กระผม/อาตมภาพจึงให้ประกาศหยุดการบิณฑบาต ๒ วัน เนื่องเพราะว่าวันรุ่งขึ้น ก็คือวันที่ ๑๔ ตุลาคมนั้น จะเป็นงานทำบุญถวายหลวงปู่สายทุกเดือนในช่วงนอกพรรษา ซึ่งเป็นวันที่พระวัดท่าขนุนของเราหยุดการบิณฑบาต ให้ญาติโยมทั้งหลายไปใส่บาตรที่วัดแทน เมื่อฉันเช้าร่วมกับบรรดาญาติโยมผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินทางไปยังที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ ท่านนายอำเภอชาคริต ตันพิรุฬห์ มาต้อนรับกระผม/อาตมภาพและคณะ ซึ่งวันนี้ตัวกระผม/อาตมภาพต้องทำหน้าที่ประธานสงฆ์ ในการสวดพระพุทธมนต์พิธีบำเพ็ญกุศลวันนวมินทรมหาราช โดยที่พระเดชพระคุณพระครูวรกาญจนโชติ, ดร. เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมินั้น ท่านพยายามจัดพระครูสัญญาบัตร พระมหาเปรียญ ผู้ทรงสมณศักดิ์ เป็นชุด ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ตลอดจนกระทั่งถึงวันพ่อแห่งชาติ หรือว่าวันนวมินทรมหาราช บรรดาพระครูสัญญาบัตรและมหาเปรียญ ตลอดจนกระทั่งพระฐานานุกรมผู้ทรงสมณศักดิ์ จะได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันออกงาน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:10 |
สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (วันนี้), กฤษฎากร (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
#3
|
||||
|
||||
![]()
แต่ด้วยความที่กระผม/อาตมภาพนั้นไม่ทราบว่าไปติดหวัดจากผู้ใด แล้วก็เจ้ากรรมเถอะ..วันนี้ไมโครโฟนทุกตัวดังหมด ยกเว้นตัวที่กระผม/อาตมภาพใช้งานอยู่ ดังนั้น..ในช่วงให้ศีล จึงต้องตะเบ็งเสียงให้ดัง เพื่อที่จะได้ยินทั่วถึงกันทั้งหอประชุม ปรากฏว่าให้ศีลยังไม่ทันจะจบดี ซุ่มเสียงก็หายหมดแล้ว ครั้นจะมอบหมายให้พระครูสุตกาญจนวัฒน์, ดร. เจ้าอาวาสวัดวังปะโท่ ท่านดำเนินการแทน ท่านเองก็ไม่ถนัดในงานพิธีหลวงแบบนี้ จึงต้องฝืนใจขึ้นบทสวดด้วยเสียงแหบ ๆ ทำเอาคนอื่นตามกันแทบจะไม่ไหว..!
ครั้นเห็นว่าไปไม่รอดจริง ๆ กระซิบบอกพระครูสุตกาญจนวัฒน์, ดร. ท่าน ก็ยังไปพลาดในช่วงสุดท้ายอีก ก็คือการยถา ฯ สัพพี ฯ โดยปกติแล้วงานหลวงหรืองานของส่วนราชการ ก็ต้องมีการสวดสัพพีฯ ๓ จบ แต่ท่านพระครู ดร.ตัดเหลือจบเดียว ไม่สามารถที่จะห้ามทันหรือเปลี่ยนแปลงได้ เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่า ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละรูปแต่ละท่าน ดังที่กระผม/อาตมภาพเคยเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งเล่าให้ญาติโยมทั้งหลายฟังว่า ในช่วงที่เป็นพระใหม่ ๒ พรรษาแรก กระผม/อาตมภาพออกงานทุกงานที่ขวางหน้า ก็คือนอกจากไปตามคิวกิจนิมนต์ของตนเองแล้ว ยังต้องไปแทนพระพี่พระน้องอีกเป็นจำนวนมาก เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพนั้นไปเป็นนาคอยู่ที่วัดท่าซุง ๓๗ วัน นอกจากการถวายการรับใช้พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ในแต่ละช่วงของการลงรับแขกแล้ว เวลาที่เหลือก็คือซ้อมท่องขานนาคและพิธีกรรมต่าง ๆ ในการอุปสมบท แต่ด้วยความที่เป็นคนความจำดี ใช้เวลา ๒ วันก็มีความคล่องตัวทุกอย่าง เวลาที่เหลือจึงใช้ในการท่องบทสวด ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน ว่ากันจนได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนั้น..เมื่อบวชเสร็จก็สามารถที่จะออกงานได้เลย เพียงแต่ว่าต้องมีรุ่นพี่แนะนำว่าแต่ละงานใช้บทอะไรบ้าง ขนาดนั้นก็ยังมีการทิ่มผิด เนื่องเพราะว่าในตอนฉันเพลของวันหนึ่ง กระผม/อาตมภาพถึงคิวที่จะต้องให้พรญาติโยม ก็ปรากฏว่าส่วนใหญ่ได้ยินรุ่นพี่ท่านขึ้นบท สัพพะโรคะ วินิมุตโตฯ ไปเลย กระผม/อาตมภาพก็ขึ้นไปด้วยความมั่นใจ ผลปรากฏว่าหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ (พระราชภาวนาโกศล วิ.) ซึ่งในตอนนั้นยังเป็นพระอนันต์ พทฺธญาโณ ยังไม่ได้เป็นแม้แต่พระฐานานุกรมของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านบอกว่า "วันนี้มีเจ้าภาพถวายภัตตาหารให้กับญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว ถ้างานลักษณะอย่างนี้ เมื่อยถาฯ สัพพีฯ แล้ว ต้องขึ้นบท อะยัญจะ โขฯ ด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:13 |
สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (วันนี้), กฤษฎากร (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
#4
|
||||
|
||||
![]()
โดยปกติค่านิยมทั่ว ๆ ไปก็คือ ถ้าอยู่ต่อหน้าศพ เราจะขึ้นเต็มบทตั้งแต่ "อะทาสิ เม อะกาสิ เม ญาติมิตตา สะขา จะ เมฯ" แต่ถ้าหากว่าเป็นงานทำบุญอัฐิ หรือว่าเจ้าภาพนำมาแต่รูปผู้ตาย เราก็จะขึ้นตรง "อะยัญจะ โข ทักขิณา ทินนาฯ" เป็นต้นไป ด้วยความที่กระผม/อาตมภาพไม่ทราบว่าวันนี้มีเจ้าภาพ ก็เลยขึ้นบท "สัพพะโรคะ วินิมุตโตฯ" ว่าจบไปเลย
ยังดีที่หลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ท่านเมตตาบอกไว้ จึงทำให้คิดว่าเราจะต้องออกงานจนกว่าจะรู้ว่า แต่ละงานเขาใช้บทสวดอะไร ? บทให้พรอย่างไร ? มีพิธีกรรมพิธีการอย่างไรบ้าง ? จึงกลายเป็น "มือปืนรับจ้าง" ก็คืออยู่ในลักษณะที่ว่า ถึงไม่ใช่คิวนิมนต์ของตนเอง แต่พระพี่พระน้องท่านใดให้ไปแทนก็ไปทันที ไม่ได้ไปเพราะหวังปัจจัยไทยธรรม แต่ไปเพื่อศึกษาว่าแต่ละงานนั้นใช้บทสวดอะไรบ้าง ? ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานแต่ง งานศพ เหล่านี้เป็นต้น จนกระทั่ง ๒ พรรษาผ่านไป มั่นใจว่าตนเองรู้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ก็เริ่ม "โบ้ย" ภาระให้กับรุ่นน้องที่มีใจทางนี้ไปแทนบ้าง เมื่อมีการศึกษาขั้นตอนต่าง ๆ ไม่ว่าจะงานหลวง งานราษฎร์ จนกระทั่งมั่นใจตัวเอง ก็สามารถที่จะให้คำแนะนำ ตลอดจนกระทั่งกระทำได้ถูกต้อง เพียงแต่ว่าท่านที่มีประสบการณ์น้อย ก็อาจจะมีความผิดพลาดได้ เพียงแต่ว่าความผิดพลาดในลักษณะนี้ พระเรามักจะรู้กันเอง ญาติโยมไม่รู้ เพราะว่าฟังออกน้อยมาก มักจะฟังขลัง ๆ ไปว่าเป็นการให้พรภาษาบาลีเท่านั้น..! เมื่อรับปัจจัยไทยธรรมต่าง ๆ และให้พรเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็นำพระภิกษุทั้งของวัดตนเองและวัดอื่นร่วมกันบิณฑบาต เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสร็จจากการบิณฑบาตแล้ว ยังต้องกลับมาเพื่อที่จะนำผู้ปฏิบัติธรรมรุ่นที่ ๗/๒๕๖๘ ได้ปฏิบัติธรรมในช่วงสาย เป็นช่วงสุดท้าย ก่อนที่จะปิดโครงการ ครั้นเมื่อปิดโครงการแล้วก็ยังต้องเตรียมการ ในการทอดผ้าป่าเพื่อสมทบกองทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ซึ่งเป็นกองทุนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงตั้งขึ้น แล้วเงินต้นก็น่าจะหมดไปนานแล้ว ได้แต่อาศัยบรรดาวัดวาต่าง ๆ ที่พอมีกำลัง จัดทอดผ้าป่าแล้วส่งเงินเข้าไปสู่กองทุนแบบนี้ทุกปี จึงพอที่จะยืนหยัดลากถูมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:17 |
สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (วันนี้), กฤษฎากร (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
#5
|
||||
|
||||
![]()
ครั้นเสร็จจากการทอดผ้าป่า โดยความร่วมมือของทางเทศบาลตำบลทองผาภูมิ นำโดยท่านนายกศราวุธ ศรีทันดร ตลอดจนกระทั่งชุมชนทั้ง ๓ ชุมชนรอบวัดท่าขนุน ก็คือ
ชุมชนคุณธรรมวังท่าขนุน นำโดย นางสาวบุญสนอง บุญยงค์ประธานชุมชน ชุมชนคุณธรรมริมฝั่งแควน้อย นำโดยประธานชุมชนก็คือ นางพนอ จันทจิตร และชุมชนคุณธรรมพัฒนาทองผาภูมิ นำโดย นางมณี เทพวงศ์ ประธานชุมชน ตลอดจนกระทั่งได้รับความเมตตาจากคณะรวมใจภักดิ์ ของท่านอาจารย์วิชชุ อารมณ์ดี รวบรวมปัจจัยร่วมทอดผ้าป่ามาเฉพาะคณะของตน ๓๐,๐๐๐ บาท และญาติโยมผู้บวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ รุ่นที่ ๗/๒๕๖๘ นี้ รวบรวมกันมาอีก ๒๐,๐๐๐ กว่าบาท จึงทำให้กองทุนผ้าป่าของปีนี้นั้น ค่อนข้างที่จะอุดมสมบูรณ์อยู่สักหน่อย ครั้นเสร็จสรรพเรียบร้อย กระผม/อาตมภาพก็มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของทางวัดนับเงิน ส่วนตนเองขึ้นรถได้ก็ให้น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ขับพาลงยังตัวเมืองกาญจน์ เพราะว่าถ้าขืนช้า รถจำนวนมากมายมหาศาลประดังกันเข้ากรุงเทพฯ เหตุที่ต้องรีบเข้ากรุงเทพฯ เพราะว่าตัวกระผม/อาตมภาพและน้องเล็ก ต่างก็สุขภาพชำรุดไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะของน้องเล็กนั้น มีอาการชาแล้วร้าวลงขา ไม่สามารถที่จะยืนหรือเดินได้นาน ต้องรีบหาหมอก่อนเป็นอันดับแรก ตัวของกระผม/อาตมภาพเองนั้น ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าไปติดหวัดจากใคร จนซุ่มเสียงหายหมด..! ในเมื่อต่างคนต่างต้องหาหมอ แล้วในช่วงวันหยุดยาวแบบนี้ ถ้าออกผิดจังหวะก็มีหวังติดตายกันอยู่กลางทาง..! เพราะว่าในช่วง "ผลาญงบประมาณ" นี้ ถนนทุกสายโดนซ่อมหมด โดยเฉพาะบรรดาถนน ๒ เลน ๔ เลน มักจะโดนปิดเหลือเลนเดียวเท่านั้น ถ้าต้องคลานตามรถใหญ่ ก็เป็นอันว่าสวัสดี หมดอนาคตแน่นอน..! กระผม/อาตมภาพถึงขนาดยอมที่จะไม่ฉันเพล บอกให้น้องเล็กวิ่งยาวไป จนกว่าจะขึ้นทางด่วนพิเศษสาย M ๘๑ หรือที่เรียกกันว่ามอเตอร์เวย์บางใหญ่ - กาญจนบุรี ขึ้นไปได้แล้วค่อยรู้สึกว่ามีอนาคตหน่อย เพราะว่าจะต้องไปพักรอหาหมอที่วัดอุทยาน อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ในระหว่างที่วิ่งมาก็ต้องฝ่าฝนที่ตกหนัก ทำเอาอาการไข้หวัดกำเริบขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง ก็ได้แต่หวังว่าจะถึงมือหมอก่อนที่จะสิ้นชีวิตเสียก่อน..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:20 |
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (วันนี้), กฤษฎากร (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), มารวย (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|