กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกันยายน ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 27-09-2025, 20:08
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 583
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 27,998 ครั้ง ใน 1,071 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๘


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 28-09-2025, 00:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,177
ได้ให้อนุโมทนา: 160,339
ได้รับอนุโมทนา 4,508,958 ครั้ง ใน 36,790 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เป็นวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ที่โบราณเรียกกันว่า "วันเสาร์ ๕"

ความจริงคำว่า "เสาร์ ๕" นั้น ใช้ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม เนื่องเพราะว่าเป็นวันอมฤตโชคของวันเสาร์ แต่ด้วยเหตุผลทางไสยศาสตร์ที่มักจะใช้คำว่า "ขึ้น" ในการกระทำสิ่งต่าง ๆ แล้วเกิดผลสำเร็จเจริญงอกงาม ครูบาอาจารย์ท่านถึงได้กำหนดให้วันเสาร์ ๕ ข้างขึ้น ให้เป็นวันไหว้ครูประจำปี และถ้าปีไหนพระท่านเห็นสมควร ก็จะมีคำสั่งให้เป่ายันต์เกราะเพชร เพื่อสงเคราะห์แก่บุคคลทั่วไปอีกด้วย

คราวนี้จากที่ทุกท่านเห็นชัดแล้วว่า ถ้าเรื่องใดก็ตามที่พระ หรือว่าพรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ท่านรับปากไว้ ก็จะเป็นไปตามนั้น ทั้ง ๆ ที่ระยะนี้ "พายุไต้ฝุ่นรากาซา" ยังฟาดหัวฟาดหางอยู่ ประกอบกับ "พายุโซนร้อนบัวลอย" เปลี่ยนสภาพเป็นพายุไต้ฝุ่น และพุ่งตรงเข้าหาบ้านเราอีกต่างหาก..! ซึ่งทุกท่านก็เห็นว่า ฝนตกทั้งวันทั้งคืนต่อเนื่องมาเป็นอาทิตย์แล้ว แต่พอถึงวันนี้ช่วงเช้าซึ่งเป็นเวลาเริ่มงาน ฝนก็หยุดให้ แถมยังมีแดดออกอีกต่างหาก ซึ่งถ้าดูกันตามสายตาคนทั่วไป ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้อยู่แล้ว..!

เรื่องพวกนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ทุกท่านมีความเลื่อมใสและเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัยมากขึ้น แล้วถ้ายิ่งมีประสบการณ์มากเท่าไร ความเชื่อมั่นก็จะมีมากเท่านั้น จะเป็นเหตุให้เราท่านทั้งหลาย มีความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แน่นแฟ้นมากขึ้น ก็เพียงแต่รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่า ถ้าตายลงไปเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้บรรดา "นักวิชาเกิน" เขาบอกว่าเป็นไสยศาสตร์ แต่สามารถพลิกกับมาเป็นพุทธศาสตร์ ก็คือประสบความสำเร็จในด้านการปฏิบัติธรรมได้

จะว่าไปแล้ว บุคคลในสมัยปัจจุบัน โง่กว่าคนโบราณหลายเท่า..! แต่กลับไปดูถูกคนโบราณว่าไม่ทันสมัย ทั้ง ๆ ที่สิ่งต่าง ๆ ที่คนโบราณท่านได้ทำเอาไว้ ก็เพื่อเป็นเครื่องโยงใจของเราให้ยึดอยู่ในพระพุทธศาสนา อย่างเช่นว่า ยันต์เกราะเพชรคือบารมีของพระพุทธเจ้า เวลารับยันต์ เราต้องนึกถึงรูปยันต์หรือว่ารูปพระพุทธเจ้าที่เราเคารพ เท่ากับว่าเป็นพุทธานุสติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2025 เมื่อ 01:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 28-09-2025, 00:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,177
ได้ให้อนุโมทนา: 160,339
ได้รับอนุโมทนา 4,508,958 ครั้ง ใน 36,790 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การรักษายันต์ให้อยู่กับเรา อย่างน้อยต้องรักษาศีลได้ ๒ ข้อ ก็คือ ไม่ลักขโมย และไม่ดื่มสุราเมรัย จัดว่าเป็นสีลานุสติ

การอาราธนาหรือว่าปลุกยันต์เกราะเพชรทุกวัน เท่ากับบังคับให้เราภาวนา นั่นก็คือในส่วนของสมาธิภาวนาที่เราจะพึงได้ในหลักไตรสิกขา

ก็แปลว่าโบราณท่านแฝงกรรมฐานกองใหญ่ ตลอดจนกระทั่งแนววิธีปฏิบัติ ในการรักษาศีล เจริญสมาธิภาวนาเบื้องต้น เอาไว้ครบถ้วนแล้ว เหลือแต่ท่านทั้งหลายไปใช้ปัญญาต่อท้าย ให้ประสบผลสำเร็จในมรรคในผลกันเอาเอง

แต่คนรุ่นใหม่ที่คิดไม่ถึง มองไม่เห็น มักจะแสดงความโง่ออกมาด้วยการกล่าวตำหนิว่า "พิธีกรรมแบบนี้เป็นแหล่งรวมคนโง่" ทั้ง ๆ ที่คนพูดเองนั่นแหละโง่ที่สุด..! เพราะว่ามองไม่เห็นในสิ่งที่โบราณเขาแฝงเอาไว้ในพิธีกรรมพิธีการต่าง ๆ

โดยเฉพาะมองไม่เห็นความเป็นจริงว่าพระพุทธศาสนาของเรานั้น ถ้าจะเปรียบไปแล้วก็มีลักษณะเหมือนกับปีรามิด ก็คือฐานกว้างที่สุด แล้วค่อย ๆ แคบเข้าจนไปถึงยอดที่เหลือนิดเดียว ซึ่งบรรดาฐานของปีรามิดนั้น ก็คือบุคคลที่ยังติดอยู่กับพิธีกรรมพิธีการต่าง ๆ ต้องอาศัยเครื่องโยงใจให้ต้องการจะประพฤติปฏิบัติธรรม ถ้าไม่มีเครื่องโยงใจที่เหมือนกับเอาน้ำตาลเคลือบยาขมไว้ ก็ไม่มีใครสนใจที่จะกินยาขมนั้นเพื่อรักษาโรค
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2025 เมื่อ 01:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 28-09-2025, 01:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,177
ได้ให้อนุโมทนา: 160,339
ได้รับอนุโมทนา 4,508,958 ครั้ง ใน 36,790 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในช่วงกลางคือบรรดาท่านทั้งหลายที่ให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาในเบื้องต้น ก็คือเล็กกว่าฐานมาก

แล้วช่วงปลายสุดคือบรรดาผู้ที่มีอินทรีย์แก่กล้า พร้อมที่จะเข้าถึงมรรคถึงผล สามารถที่จะยึดหลักธรรมบริสุทธิ์โดยส่วนเดียวก็ได้

แต่บรรดา
"นักวิชาเกิน" ของเรานั้นมักจะอวดรู้ ต้องการหลักธรรมบริสุทธิ์อย่างเดียว กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบว่า เหมือนกับพระเจดีย์ ๘๔ พรรษา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ของวัดท่าขนุน ที่พวกเราเห็นว่างดงาม หุ้มทองปิดทองเหลืองอร่าม แต่บุคคลเหล่านั้นบอกว่าจุดสูงสุดของเจดีย์ก็คือยอดฉัตรข้างบน เอาแค่ยอดฉัตรอย่างเดียวก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีองค์เจดีย์ก็ได้..!

หรือไม่ก็โบสถ์วัดท่าขนุน ส่วนที่เด่นที่สุดก็คือช่อฟ้า แล้วเขาไปชี้จะเอาช่อฟ้าอย่างเดียว ซึ่งสามารถลอยอยู่กลางอากาศได้หรือไม่ ? ถ้าไม่มีตัวโบสถ์

เปรียบไปอีกอย่างก็เหมือนอย่างกับว่าบ้านเราเมืองเรา ความรู้สูงสุดคือปริญญาเอก เด็กที่เพิ่งหัดเขียน ก.ไก่ ข.ไข่ เขาก็ไปบอกว่าพวกนี้เป็นความรู้ที่ต่ำเกินไป ต้องเรียนปริญญาเอกเลย แล้วท่านทั้งหลายเห็นว่าเด็กที่เพิ่งหัดเขียนหนังสือ จะสามารถเรียนปริญญาเอกได้หรือไม่ ?

ดังนั้น..พวก
"นักวิชาเกิน" ที่เรียกร้องหาแต่หลักธรรมบริสุทธิ์อย่างเดียว โดยไม่ได้ดูว่าบริบทในสังคมของเราเป็นอย่างไร ? โดยเฉพาะบุคคลมีถึง ๔ ประเภท ดอกบัวมีอยู่ ๓ เหล่า ซึ่งเรามักจะไปจับมั่วเข้าด้วยกัน กลายเป็นบัว ๔ เหล่าไป ในเมื่อบุคคลยังมีถึง ๔ ประเภท เราก็ต้องให้ยาตามอาการ แล้วประเภทที่โดนตำหนิมากที่สุด ก็คือประเภทที่เขาบอกว่ายึดติดกับพิธีกรรมพิธีการ เป็นคนโง่นั่นเอง..! เรื่องพวกนี้จึงอยู่ในลักษณะ "สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล" ก็คือยิ่งพูดก็ยิ่งแสดงให้คนอื่นเห็นชัดว่าตัวเองโง่เท่าไร..! แล้วก็ยังไปเที่ยวตำหนิคนอื่นที่คิดเห็นไม่เหมือนกับตนเองว่าโง่..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2025 เมื่อ 01:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 28-09-2025, 01:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,177
ได้ให้อนุโมทนา: 160,339
ได้รับอนุโมทนา 4,508,958 ครั้ง ใน 36,790 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ในเรื่องของพระพุทธศาสนา จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องศึกษาให้ลึกซึ้ง ถ้าสามารถรู้แจ้งแทงตลอดได้ยิ่งดี เพราะว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทานหลักธรรมที่เปรียบเหมือนใบไม้ ๑ กำมือมาให้กับพวกเราทั้งหลาย เป็นหลักธรรมตั้งแต่เบื้องต้นที่เรียกว่าคิหิปฏิบัติ คือแนวทางที่ฆราวาสทั่วไปต้องประพฤติปฎิบัติ ทำอย่างไรจะอยู่ในกรอบของศีลของธรรม ไม่พลาดจนกระทั่งลงสู่ทุคติภูมิ

พูดง่าย ๆ ว่าถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามแนวนั้น ก็จะเป็นคนดีในสายตาของคนทั่วไป ตนเองก็ได้รับความสุขความเจริญ ได้รับการสรรเสริญ จัดเป็นทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ก็คือประโยชน์ที่เห็นทันตาในปัจจุบัน

ถ้าสามารถบำเพ็ญภาวนาจนกำลังใจตั้งมั่นได้ ก็จะเกิดเป็นสัมปรายิกัตถประโยชน์ ก็คือประโยชน์ที่ทำให้สุคติของเรามั่นคงในชาติต่อ ๆ ไป

ยกเว้นท่านที่เป็นอุคฆฏิตัญญูบุคคล มีปัญญามาก สามารถเข้าถึงหลักธรรมที่แท้จริงได้ ก็จะเกิดปรมัตถประโยชน์ คือประโยชน์สูงสุด ได้แก่การหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

แม้แต่พระพุทธเจ้ายังสอนบุคคลเป็นขั้น ๆ ซึ่งท่านกล่าวกับปหาราทะอสูรว่า ธรรมะของพระองค์ท่านเหมือนกับทะเล ที่ค่อย ๆ ลุ่มลึกลงไปตามลำดับ แต่บุคคลเหล่านั้นกลับต้องการที่จะลงสู่ก้นทะเลเลยทีเดียว ซึ่งแม้แต่หลักการดำน้ำสมัยใหม่ ถ้าลงไปพรวดพราด โดยไม่มีการปรับร่างกายเป็นระยะ ก็จะตาย
เสียเปล่า ๆ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ

ดังนั้น..
แทนที่เราท่านทั้งหลายจะไปโกรธไปเคือง ก็ควรที่จะแผ่เมตตาให้กับเขาทั้งหลายเหล่านั้น แล้วพยายามยึดถือและปฏิบัติในหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนสามารถรู้จริงเห็นจริง กล่าวแก้ "ปรัปวาท" คือคำที่คนอื่นกล่าวตู่พระพุทธศาสนาได้ จึงจะนับได้ว่าเราท่านทั้งหลายเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-09-2025 เมื่อ 01:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:42



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว