#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๘
|
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ในช่วงที่ผ่านมามีบางอย่างที่กระผม/อาตมภาพได้มีคำสั่งลงไป อย่างเช่นที่ท่านเจ (พระนพรัตน์ ปฏิกาโร) ขออนุญาตในการถ่ายคลิปและเผยแพร่ธรรมะของวัดท่าขนุน แต่กระผม/อาตมภาพ "ฟันธง" ลงไปว่าไม่ให้ทำ เพราะว่ามีวิจารณญาณไม่พอ มีโอกาสจะสร้างความเสียหายให้กับวัดสูงมาก..!
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าท่านถ่ายคลิปโดยที่ "ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือ" อะไรเลย แม้กระทั่งกระผม/อาตมภาพดุไปแล้วว่า ถ่ายจะเอาแต่ตัวเอง ไม่ได้สนใจว่าสามเณรนอนระเกะระกะไปหมด ก็ยังไม่รู้ตัวอีก พูดง่าย ๆ ว่า "กูวางท่าสวย เรียบร้อยดีแล้วกูก็ถ่าย" แต่ไม่ได้ดูว่ารอบข้างเป็นอย่างไร การทำงานอย่างนี้ก็คือการคิดถึงแต่ตัวเองเป็นหลัก ไม่ได้นึกถึงส่วนรวม เห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นดีต่อตัวเองก็เป็นอันว่าจบ ก็แปลว่าวิจารณญาณไม่พอ สิ่งที่เราทำอาจจะสร้างความเสียหายให้กับส่วนรวมได้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องไปฝึก ไปหัด ไปขัด ไปเกลากันอีกนาน สิ่งที่เรากล้าทำเป็นเรื่องดี แต่เมื่อถึงเวลารู้ว่าผิดพลาดตรงไหนก็ต้องแก้ไขด้วย ไม่ใช่ไปแบกความไม่พอใจไว้เป็นวันเป็นคืนจนนอนไม่หลับ..! ประการต่อไป วันนี้ที่กระผม/อาตมภาพประกาศหาผู้ทรงคุณวุฒิทางบัญชี ปรากฏว่าพรรคพวกเอาไปแชร์กันครึกครื้นภายในโซเชียล เนื่องเพราะคุณสมบัตินักบัญชีที่กระผม/อาตมภาพระบุไปก็คือ ๑) ต้องเป็นชายไทย อายุไม่ต่ำกว่า ๒๕ ปี นับถือพระพุทธศาสนา ข้อนี้คัดลอกมาจากคุณสมบัติไวยาวัจกรโดยตรง ๒) ต้องมีเวลาพอที่จะสละมาเพื่อทำบัญชีให้กับวัดทุกวัน ๓) การทำงานถือว่าเป็นการกุศล ไม่มีเงินเดือนให้ ๔) ต้องพร้อมติดคุกไปพร้อมกับเจ้าอาวาสด้วย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:24 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
เรื่องนี้ถ้าท่านทั้งหลายสังเกตจะเห็นว่า ไม่ว่างานอะไรก็ตามของผู้บังคับบัญชา กระผม/อาตมภาพจะเป็นผู้รับอาสาทำเป็นรูปแรก ๆ เสมอ แม้กระทั่งงานนี้ก็เช่นกัน เมื่อมหาเถรสมาคมมีมติว่า ให้ทุกวัดตั้งคณะกรรมการบริหารการเงินของวัด โดยที่ต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิทางบัญชีด้วย กระผม/อาตมภาพก็เข้าใจทันทีว่า ทางมหาเถรสมาคมของเราต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อสังคมว่า พระเราไม่มีหน้าไม่มีหลัง อะไรที่สังคมเห็นว่าดี มหาเถรสมาคมก็พร้อมที่จะปฏิบัติตาม
แต่คราวนี้ด้วยความที่ท่านทั้งหลายคิดกันแบบพระ ก็คือตรงไปตรงมา ทำให้สิ่งที่ท่านกำหนดออกมานั้น บางทีก็ปฏิบัติตามได้ยาก อย่างเช่นว่าผู้ทรงคุณวุฒิทางบัญชี ต่างจังหวัดไกล ๆ จะไปหาที่ไหนได้ง่าย แล้วแต่ละคนแต่ละท่านที่กระผม/อาตมภาพเจอมาด้วยตนเอง เงินเดือนก็ล้วนแต่แพงหูดับ ยิ่งเป็นผู้ตรวจสอบบัญชียิ่งแพงหนักเข้าไปใหญ่ แม้ตัวเองจะมีลูกสาว ก็คือลูกเจนนี่ (นางสาวเมธาวี เหลืองถาวรกุล) จบปริญญาตรีการเงินการบัญชี จบปริญญาโทจากอังกฤษ (การเงินการบัญชี) แต่ด้วยความที่เป็นผู้หญิง ไม่ควรที่จะทำงานใกล้ชิดกับพระ จึงต้องประกาศหาผู้มีคุณสมบัติที่เป็นผู้ชาย ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องจริงใจกับเขาด้วย จึงต้องแจ้งไปให้ชัดเจนว่าเป็นการกุศล ไม่มีเงินเดือนให้ โดยเฉพาะถ้ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ต้องพร้อมติดคุกไปกับเจ้าอาวาส ไม่ใช่ไปหลอกเขามาทำงานกับเรา แล้วถึงเวลาปล่อยเขาติดคุกไป โดยที่ไม่รู้ตัวอะไรเลย..! ดังนั้น..เรื่องพวกนี้แม้เพื่อนฝูงจะเห็นเป็นเรื่องเฮฮา แต่กระผม/อาตมภาพกลับเห็นเป็นเรื่องจริงจัง ขณะเดียวกันก็เห็นใจบรรดาวัดเล็กวัดน้อย ซึ่งปัจจุบันนี้มีเป็นจำนวนมาก ที่วัดมีแต่หลวงปู่หลวงตาเจ้าอาวาสรูปเดียวบ้าง มีหลวงปู่หลวงตาอยู่กับสามเณรอีกรูปหนึ่งบ้าง แต่ละวัดแทบจะไม่มีรายได้เข้าวัดเลย แล้วจะไปตั้งกรรมการบริหารเงินวัดกันอย่างไร ? ยกตัวอย่างแค่วัดพุทธบริษัท ก่อนที่กระผม/อาตมภาพจะยื่นมาเข้าไปดูแล เปลี่ยนเจ้าอาวาสปีหนึ่ง ๓ รูป ๔ รูปเป็นประจำ..! กระผม/อาตมภาพเองก็ยังหงุดหงิดว่า "ทำไมเขาไม่มีความอดทนเลยวะ ?" แต่พอถึงเวลา หลวงพ่อพระครูผาสุกิจโกวิท อดีตเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ อดีตเจ้าอาวาสวัดหินแหลม ให้กระผม/อาตมภาพส่งพระไปเป็นเจ้าอาวาสถึงได้เข้าใจ เพราะว่าส่งไป ๓ ปี มีกิจนิมนต์ครั้งเดียว ได้เงินมา ๑๐๐ บาท เวลา ๓ ปี มีรายได้ ๑๐๐ บาท แล้วจะใช้อย่างไร !?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:27 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
นี่คือสภาพความเป็นจริงที่วัดต่างจังหวัดไกล ๆ ของเราพบอยู่ เป็นอยู่ แต่ว่าวัดใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่แล้วท่านสร้างสมคุณงามความดีมา เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน ทรงสร้างเป็นวัดประจำรัชกาลบ้าง ทรงอุปถัมภ์บ้าง ตลอดจนกระทั่งในวัดมีครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเกียรติคุณบ้าง จึงทำให้วัดทั้งหลายเหล่านั้น ได้รับความเคารพเลื่อมใสจากพุทธบริษัท เข้าไปทำบุญกันไม่ขาด จึงมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ
แต่พวกเราก็ต้องสังเกตว่าเป็นเงินจากการทำบุญ ไม่ใช่งบประมาณแผ่นดิน ในเมื่อไม่ใช่งบประมาณแผ่นดิน ท่านตั้งใจจะป้องกันไม่ให้มีการทุจริตมิชอบเบียดบังงบประมาณก็พอที่จะคิดได้ แต่จะเอาไปรวมเป็นประเภทเดียวกันนั้นไม่ได้..! แต่ว่าในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไปกระจุกตัวอยู่ในที่เจริญ วัดที่มีคนเคารพศรัทธาก็หาลูกศิษย์ที่เป็นผู้มีคุณวุฒิทางบัญชีได้ไม่ยาก แต่ต่างจังหวัดหาไม่ได้ แม้กระทั่งวัดท่าขนุนของเรา พอที่จะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ประกาศไปแล้ว จนป่านนี้ยังหาคนสมัครไม่ได้..! เพราะประการแรก แค่จากอำเภอทองผาภูมิลงไปกาญจนบุรีที่เป็นจังหวัดของตัวเอง ระยะทางก็ ๑๔๐ กิโลเมตรไปแล้ว..! ทุกท่านลองคิดดูว่า จากกรุงเทพฯ วิ่งผ่านนครปฐม ผ่านอำเภอบ้านโป่งของจังหวัดราชบุรี มาถึงตัวเมืองกาญจนบุรี อย่างน้อย ๆ ก็ ๓ จังหวัด ระยะทาง ๑๒๖ กิโลเมตร แต่จากตัวจังหวัดกาญจนบุรีวิ่งมาทองผาภูมิ ระยะทาง ๑๔๐ กิโลเมตร ไกลกว่าที่วิ่งข้ามจังหวัดของกรุงเทพฯ มาถึงกาญจนบุรีเสียอีก..! หรือไม่ก็อย่างบริเวณสังขละบุรี อย่างเช่นวัดกองม่องทะ วัดเกาะสะเดิ่ง สถานที่เหล่านี้ปัจจุบันยังต้องบวชพระแค่ปีละครั้ง เนื่องเพราะว่าทุรกันดารมาก ถนนหนทางมักจะโดนน้ำป่าพัดขาดอยู่เสมอ พระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ. ๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ยังคงสืบทอดการบวชปีละครั้งเดียวมาจากหลวงพ่อไพบูลย์ - พระเดชพระคุณพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ ป.ธ. ๘) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ก็คือต้องนัดพระอุปัชฌาย์ คู่สวด และพระอันดับว่า วันไหนที่มีความพร้อมก็ไปเสี่ยงด้วยกัน ประมาณว่าขาเข้าไปอาจจะใช้เวลาไม่นาน แต่ขาออกอาจจะต้องรอ ๒ - ๓ วัน เพราะว่าน้ำป่าหลากมา แล้วก็นัดแนะชาวบ้านให้พาลูกพาหลานมา บวชพระบวชเณรกัน ส่วนใหญ่สถานที่บวชก็เป็นอุทกุกฺเขปสีมา ก็คือ "โบสถ์น้ำ" ต่อแพโยงเชือกลงไปในแม่น้ำ ห่างจากฝั่ง ๖ เมตร แล้วก็ทำการบรรพชาอุปสมบทกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:30 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
แม้แต่กระผม/อาตมภาพเองออกตรวจการณ์ในเขตตำบลชะแล ส่งภาพไปให้อดีตท่านเจ้าคุณแย้ม - พระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. อดีตเจ้าคณะภาค ๑๔ ดู ท่านยังถามว่า "มึงไปโลกไหนมาวะ ?" เพราะว่าถนนหนทางยากลำบากสุด ๆ ขนาดมีรถขับเคลื่อน ๔ ล้อยังไม่แน่ว่าจะไปได้รอด..!
สิ่งพวกนี้เป็นความจริงที่ปรากฏอยู่ทั่วประเทศไทย แต่ความเจริญนั้นไปกระจุกตัวอยู่ในตัวเมือง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นโยบายของมหาเถรสมาคมที่ออกมา แม้ว่าเราต้องปฏิบัติตาม เพราะว่ามติมหาเถรสมาคมเท่ากับเป็นกฎหมายของพระ แต่ก็คงมีวัดที่ปฏิบัติตามได้ไม่มาก โดยเฉพาะวัดที่ไม่มีรายได้ แล้วอีกประการหนึ่ง การตั้งฆราวาสเข้ามาเป็นกรรมการบริหารการเงินของวัด เป็นที่ปรึกษาของเจ้าอาวาสในการบริหารจัดการวัด แทบทุกวันนี้ ต่างจังหวัดไกล ๆ อำนาจบริหารวัดก็ไม่ได้อยู่ในมือเจ้าอาวาสอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องเงินเรื่องทอง กฐินมา ผ้าป่ามา ก็มักจะโดนไวยาวัจกรวัดอปโลกน์ ก็คือยัดเยียดตัวเองเข้ามาเป็น แต่ส่วนใหญ่แล้วคือผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายก อบต. รองนายก อบต. สมาชิกสภาเทศบาล หรือว่าสมาชิก อบต. เหล่านี้เป็นต้น ถึงเวลาเก็บเงินไปแล้ว ทางวัดก็ไม่มีโอกาสได้เห็นอีก ไปทวงเงิน บางท่านก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ บางคนรำคาญก็ถามว่า "จะเอาลูกปืนแทนไหม ?!" แต่ว่าเรื่องพวกนี้ไปไม่ถึงผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง เพราะว่าท่านไม่ได้อยู่ในพื้นที่ เป็นเรื่องที่บรรดาพระต่างจังหวัดของเราลำบากใจกันมาก แต่ในเมื่อวัดท่าขนุนมีศักยภาพพอ ก็จะพยายามตั้งคณะกรรมการบริหารวัดตามที่มหาเถรสมาคมมีมติมา แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถตั้งได้หรือไม่ ? เพราะว่าผู้มีคุณวุฒิทางบัญชีไม่ได้หากันง่าย ๆ ต้องเป็นเรื่องที่ใช้ความพยายามกันต่อไป สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:32 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|