#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพฝ่าฝนไปยังมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ซึ่งในช่วงนี้ของทุกปี ทางมหาวิทยาลัยมีการมอบรางวัลมณีกาญจน์ ให้กับผู้ที่สมควรได้รับในด้านต่าง ๆ ด้วยกัน ๖ ด้าน เช่น ด้านศาสนา ด้านเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น
กระผม/อาตมภาพได้มอบปัจจัยจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แก่ ผศ.,ดร.พจนีย์ สุขชาวนา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ตามที่เคยปฏิบัติเป็นประจำมาทุกปี เพื่อให้เป็นทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียนผู้ด้อยโอกาสของทางมหาวิทยาลัย แล้วได้พูดคุยกับพลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี ซึ่งเป็นประธานกรรมการสถานศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี และนายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี จากนั้นขอตัวกลับสู่ทองผาภูมิ เพราะว่ามีงานสวดพระพุทธมนต์ อุทิศส่วนกุศลให้แก่ทหารกล้าผู้พลีชีพในสงครามไทย - เขมรช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ระหว่างที่เดินทาง เพื่อนฝูงก็ได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับประเภทของภิกษุในเมืองไทยเข้ามาให้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่จำแนกประเภทของพระภิกษุออกเป็นหลายประเภท ตามสายตาของเจ้าของข้อมูล ซึ่งกระผม/อาตมภาพเห็นว่า พระภิกษุเราในสายตาของญาติโยมนั้นมีสภาพอย่างไรบ้าง ควรที่เราท่านจะได้รู้ทั่วกัน จึงขออนุญาตคัดลอกข้อมูลมาลงในเสียงธรรมวัดท่าขนุนวันนี้ ดังต่อไปนี้ ประเภทที่ ๑ พระภิกษุเกจิอาจารย์ ประเภทนี้เน้นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ปลุกเสกวัตถุมงคล แจกวัตถุมงคล บอกใบ้ให้หวย เป็นที่นิยมในหมู่ "สายมู" และชาวบ้านผู้หลงใหลความศักดิ์สิทธิ์ มักถูกมองว่าเป็น "ภิกขุพาณิชย์" มากกว่าผู้นำทางจิตวิญญาณ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:33 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ประเภทที่ ๒ พระภิกษุนักเทศน์ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท
๒.๑ พระภิกษุนักเทศน์เพื่อการเผยแผ่ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ยึดหลักธรรมจากพระไตรปิฎก เทศน์เพื่อประโยชน์แก่สาธารณชน ควรค่าแก่การยกย่อง ๒.๒ พระภิกษุผู้เทศน์เพื่อชื่อเสียง มีการเทศน์แบบแหล่ ลีลาดี น้ำเสียงดี มีคณะและค่าตัวชัดเจน มุ่งสร้างชื่อเสียงแก่ตนเอง มากกว่าเผยแผ่ธรรมะอย่างแท้จริง ประเภทที่ ๓ พระภิกษุสายวิชาการ มุ่งเน้นด้านการศึกษา เรียนปริยัติธรรมทั้งนักธรรม บาลี และความรู้ทางโลกในมหาวิทยาลัย ชีวิตวนเวียนอยู่กับตำรา การเรียน การสอน เพื่อวุฒิการศึกษาและความก้าวหน้าของตน ประเภทที่ ๔ พระภิกษุนักพัฒนา แต่ละวันทุ่มเทอยู่กับงานก่อสร้าง ศาลา วิหาร เมรุ กำแพง วัดใหญ่โตมักจะมีพระภิกษุประเภทนี้เป็นกำลังหลัก ประเภทที่ ๕ พระภิกษุนักปกครอง มุ่งสู่ตำแหน่งหน้าที่ซึ่งประกอบด้วยอำนาจ ยศศักดิ์ ตั้งเป้าว่าจะเป็นเจ้าอาวาส พระครู เจ้าคุณ หมกมุ่นอยู่กับอำนาจ มากกว่าบำเพ็ญสมณธรรม ประเภทที่ ๖ พระภิกษุนักปฏิบัติ มุ่งขัดเกลากิเลส ปลีกวิเวก ฝึกจิต เดินจงกรม นั่งสมาธิ ไม่ข้องแวะกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ถือเป็นพระภิกษุผู้เจริญรอยตามพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง หาได้ยากยิ่งในยุคนี้ ประเภทที่ ๗ ประเภทสุดท้าย พระภิกษุผู้ไม่เอาไหนเลย บวชมาเพื่อพักผ่อน ไม่หวังทำประโยชน์อะไร ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ไม่ศึกษาธรรมะ ไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ทำกิจของสงฆ์ อยู่กินข้าวฟรีไปวัน ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:35 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
โดยที่ท่านเจ้าของบทความกล่าวว่า "เนื้อหานี้มิได้มีเจตนาโจมตีใคร แต่เพื่อสะท้อนภาพความเป็นจริงของพระภิกษุในสังคมไทยยุคปัจจุบัน ผิดถูกเป็นเรื่องของการพิจารณา แต่ความจริงย่อมเป็นความจริง กราบขออโหสิกรรมแก่พระภิกษุทุกรูป หากมีข้อมูลใดล่วงเกินต่อท่านทั้งหลาย"
กระผม/อาตมภาพอ่านแล้วก็รู้สึกว่า ดูท่าตนเองแทบจะโดนไปทุกข้อหาที่เขากล่าวมา..! แต่ก็ประหลาดตรงที่ว่า บางข้อหาก็เป็นประโยชน์ แต่ว่าส่วนใหญ่นั้นมองไปในทางเป็นโทษมากกว่า ซึ่งเรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว ก็สำคัญที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ ว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์อบรมสั่งสอนท่านมาอย่างไร ประการหนึ่ง ประการที่สองก็คือ ท่านบวชมาเพื่ออะไรอีกประการหนึ่ง เราจะเห็นว่าพระภิกษุทั้งหลายเหล่านี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว อย่างพระภิกษุฉัพพัคคีย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๖ รูป มีการประชุมปรึกษากันก่อนว่า บ้านนี้เมืองนี้ประกอบไปด้วยความสะดวกสบาย มีประชาชนจำนวนกี่หมื่นกี่แสนครัวเรือน สามารถภิกขาจารบิณฑบาตได้ง่าย เราควรที่จะไปอยู่อาศัยในที่นั้น เป็นต้น ดังนั้น..ท่านผู้รู้ถึงได้แยกพระภิกษุออกเป็นหลายประเภทตั้งแต่สมัยก่อนแล้วว่า ประเภทที่ ๑ อุปชีวิกา บวชเข้ามาเพื่อเลี้ยงชีพ ประเภทนี้แน่นอนว่า "ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด ตกดึกซัดบะหมี่สำเร็จรูป" ตามที่เขากล่าวคล้องจองกันมา ประเภทที่ ๒ อุปกิฬิกา บวชเพื่อความสนุกสนาน โดยเฉพาะมีการแห่นาค มีการทำขวัญนาค มีการเลี้ยงผู้คน เป็นต้น บางรูปเข้าไม่ทันจะถึงโบสถ์ก็เมาหัวไถพื้นไปแล้ว..! ประเภทที่ ๓ อุปนิสสรณิกา บวชมาปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:39 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
จะว่าไปแล้ว ทางโบราณท่านแยกเอาไว้น้อยไปนิดหนึ่ง ถ้าหากว่าแยกออกมากมายแบบท่านทั้งหลายที่กล่าวมา ก็ยังถือว่าน้อยไป เนื่องเพราะว่าพรรคพวกเพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพ ท่านได้แยกประเภทภิกษุออกหลายต่อหลายประเภทมากกว่านี้ แต่ไม่ขอกล่าวถึง ขอกล่าวถึงแต่เพียงว่า ในสายตาของชาวบ้าน ส่วนใหญ่มองพระภิกษุเราไปในด้านดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ทำอย่างไรที่เราท่านทั้งหลายจะสามารถสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นกับญาติโยม แล้วชักนำเขาเข้ามาในวิถีทาง วิถีธรรมที่ถูกต้อง ?
ดังที่ทุกท่านจะได้เห็นว่า กระผม/อาตมภาพไปที่ใดก็ตาม มีแต่ผู้คนยินดีต้อนรับ เพราะว่าเราไปให้ ไม่ได้ไปเอา นี่แค่ "ทาน" ในหลักธรรมเบื้องต้นที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กล่าวถึงเท่านั้น นี่ก็เป็นเพราะว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านสอนไว้ตั้งแต่วันแรกว่า "สตรีกับสตางค์ เสือสองตัวนี้เป็นภัยใหญ่กับพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น..เมื่อบวชเข้ามาแล้ว อย่าพยายามให้มีสตางค์เหลือ เงินของปีนี้ อย่าใช้ให้ถึงปีหน้า ถ้ามีเงินเหลือถึงปีหน้า ให้คิดโครงการที่เราจะทำให้มากกว่าเงินเข้าไว้ ถึงเวลาเงินเข้ามา เราจะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นของตนเอง เมื่อไม่มีสตางค์ สตรีก็ไม่มา เพราะเขารู้ว่ามาแล้วก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร" ทุกท่านจะเห็นว่า สิ่งที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์สอนนั้น บางทีพระภิกษุสามเณรต่างหากที่ไม่คิดจะจดจำ ไม่คิดที่จะปฏิบัติตาม อย่างกระผม/อาตมภาพเอง บวชอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ๗ พรรษาเต็ม ๆ ได้รับคำสอนจริง ๆ จากท่านแค่ไม่กี่ครั้ง นอกนั้นต้องขวนขวายเอาเองจากหนังสือ จากเทปบันทึกเสียงของท่าน แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตาม ถ้าขืนรอให้ท่านมาจ้ำจี้จ้ำไชอยู่ก็ไม่ต้องทำมาหากินอะไรเท่านั้น เพราะว่าครูบาอาจารย์บางรูปบางท่าน อย่างพระเดชพระคุณหลวงปู่มหาอำพัน - พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ วิ. (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) แห่ง กุฏิ ต. ๓ คณะเหนือ วัดเทพศิรินทราวาส ท่านไม่ค่อยจะสอนอะไร นอกจากทำให้เป็นตัวอย่าง ถ้าเราไม่รู้จักดู ไม่รู้จักเก็บ เราอยู่กับท่านก็แทบจะไม่ได้อะไรเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:41 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
![]()
ด้วยความที่ตนเองห่างครู ห่างอาจารย์ เพราะว่าท่านมีกิจมากมายที่จะช่วยเหลือสาธารณชน ช่วยเหลือพระพุทธศาสนา และช่วยเหลือประเทศชาติ แทบไม่มีเวลาจะอยู่ติดวัด
กระผม/อาตมภาพเกรงว่าพระภิกษุสามเณรวัดท่าขนุน เมื่อห่างไกลครูบาอาจารย์แล้วก็จักไม่เอาดีอะไร เพราะถือว่า "ครูบาอาจารย์ไม่ได้สั่ง ครูบาอาจารย์ไม่ได้สอน" จึงให้เปิดเสียงธรรมของหลวงพ่อฤๅษีฯ กรอกหูอยู่ อย่างน้อยวันละ ๔ รอบ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะฟังกัน ตนเองก็พยายามบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนให้ได้ทุกวัน แต่ท่านทั้งหลายก็มักจะเลือกฟังเอาในเรื่องที่คิดว่าสนุก คิดว่าน่าตื่นเต้น ส่วนในเรื่องที่เป็นหลักธรรมก็ปล่อยผ่านหูไปเฉย ๆ..! กระผม/อาตมภาพจึงได้เข้าใจคำว่าอนุสาสนี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือต้องปากเปียกปากแฉะ จ้ำจี้จ้ำไชกันไม่เว้นแต่ละวัน พูดไปเมื่อไรก็นึกถึงพระบาลีที่ว่า สุทนฺโต วต ทเมถ อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม ทุกที โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่ว่า ชื่อว่าตนนี้ช่างฝึกยากจริงหนอ ขึ้นมาทุกครั้งที่ต้องมาบันทึกเสียงธรรมแก่ท่านทั้งหลาย ก็ได้แต่คิดว่า ภาพพจน์ในพระพุทธศาสนาของเราตกต่ำไปขนาดนี้ ก็เพราะความไม่เคร่งครัดของครูบาอาจารย์ ไม่เคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งลูกศิษย์ก็ไม่คิดที่จะเอาดีอีกต่างหาก แต่ละท่านบวชเข้ามาก็มีวัตถุประสงค์ต่าง ๆ กันไป แม้แต่ครูผู้เลิศที่สุดอย่างหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง สมัยที่ท่านอยู่ยงดำรงขันธ์ มีพระภิกษุร่วมจำพรรษาแต่ละปีไม่น้อยกว่า ๔๐ รูป แล้วขณะเดียวกันก็มีพระภิกษุสงฆ์ไปมาหาสู่ในแต่ละงาน ไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ - ๔๐๐ รูป เราท่านก็จะเห็นว่า มีท่านที่ออกไปเป็นหลักให้กับผู้อื่นได้แค่ไม่ถึง ๑๐ รูปเท่านั้นเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าหากว่าลูกศิษย์วัดท่าขนุนจะไม่เอาไหนเลย กระผม/อาตมภาพก็ไม่แปลกใจ ได้แต่หน้าด้านหน้าทน จ้ำจี้จ้ำไชต่อไป จนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้าย สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:43 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|