#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๘
|
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพต้องขอยืมคำพูดของหลวงปู่ยสกุลบุตรเถระที่ว่า "ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ" มาใช้งานชั่วคราว เนื่องจากต้องจัดการเรื่องของรถยนต์ประจำตัว ซึ่งชำรุดตามหลักอนิจจังไม่เที่ยง เหตุเพราะว่าใช้มา ๕๐๐,๐๐๐ กว่ากิโลเมตรแล้ว
การเข้าศูนย์ฯ นั้น ช่างก็ประมาณราคามาว่าน่าจะอยู่ในวงเงินไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท แต่พอถึงเวลารื้อออกมาปรึกษากับทางด้านศูนย์ฯ ใหญ่ในกรุงเทพฯ ปรากฏว่าจะต้องเปลี่ยนตัวนั้นเปลี่ยนตัวนี้ งบประมาณก็กระโดดขึ้นไปที่ ๘๐,๐๐๐ กว่าบาท กระผม/อาตมภาพก็ยังคิดว่ายังพอทน ถ้าทำแล้วดีขึ้น แต่ว่าเมื่อถามว่าประกันได้เท่าไร กลับได้รับคำตอบว่าประมาณ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ได้ยินแล้วก็ออกอาการ "น้ำตาจิไหล..!" อีกไม่นานทางศูนย์ฯ ก็แจ้งมาว่า ถ้าสามารถยกเกียร์ใหม่ทั้งชุดได้เลยก็ยิ่งดี รายจ่ายสุทธิอยู่ที่ประมาณ ๒๕๐,๐๐๐ บาท ทำเอาสามารถที่จะตัดสินใจเด็ดขาดเป็นสมุจเฉทปหานเลยว่า "กูไม่ทำกับมึงแล้ว..!" จัดการเอารถออกมาให้อู่ทางด้านนอกตีราคาให้ สรุปแล้วว่า ถ้าหากว่าทำแค่ส่วนที่เสียหาย น่าจะอยู่ที่ประมาณ ๔๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น จึงได้ตกลงทำกันที่นี่ แม้ว่าช่วงสองเดือนถัดจากนี้ไป กระผม/อาตมภาพต้องวิ่งสะสมไมล์ถึง ๒๓ จังหวัด เพื่อตรวจยกหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบ เกิดมีอะไรเสียหายขึ้นมากลางทางก็ถือว่าดวงเฮงสุด ๆ ไปก็แล้วกัน..! พอดีทิดเดช (นายณภพ รัคสิกรณ์) ซึ่งเป็นไอ้ทิดที่เคยบวชวัดท่าขนุน นำรถยนต์มาให้ยืมใช้งานชั่วคราว ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าไอ้ทิดของเราจะเปลี่ยนชื่ออีกครั้งหรือเปล่า ? เปลี่ยนทีไรก็ทำเอาครูบาอาจารย์ปวดหัว เพราะว่าอ่านก็ยาก แปลแล้วความหมายอาจจะเสียอีกต่างหาก..! แต่ในเมื่อรักที่จะเปลี่ยนก็เชิญตามสบาย หลังจากฉันเพลแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินทางไปร่วมประชุมโครงการพลังบวรในมิติศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี ประจำปีงบประมาณพุทธศักราช ๒๕๖๘ ที่ห้องประชุมโรงเรียนอนุบาลวัดไชยชุมพลชนะสงคราม กรำงานอยู่จนเกือบ ๔ โมงเย็นถึงปิดประชุมได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:36 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
เมื่อออกมาทางด้านนอก ปรากฏว่าเจองานในกลุ่มไลน์ พรรคพวกเพื่อนฝูงส่งสิ่งที่ผู้หวังดีปรารถนาดี ต้องการที่จะช่วยเหลือให้พระพุทธศาสนาของเรา ดีขึ้น เจริญขึ้น ด้วยการจะออกข้อกฎหมายต่าง ๆ ออกมาจำนวนมาก กระผม/อาตมภาพอ่านแล้วก็ได้แต่ออกอาการ "น้ำตาจิไหล" อีกรอบหนึ่ง
ขออนุญาตอ่านให้ทุกท่านฟัง และขอวิพากษ์วิจารณ์เพียงเล็กน้อยดังต่อไปนี้ ๑) ทุกวัด ทุกสำนักสงฆ์ ทุกสำนักปฏิบัติธรรม ต้องขึ้นทะเบียนกับกรมศาสนา กระผม/อาตมภาพก็เข้าใจว่าก่อนหน้านี้พวกเราทั้งหมดได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีเงินอุดหนุน มาบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถานต่าง ๆ ในเมื่อคุณออกกฎหมายมาในลักษณะแบบนี้ แปลว่าอะไร ? หรือว่าค่อนข้างจะปัญญานิ่ม ไม่รู้ว่าเขามีการขึ้นทะเบียนเป็นปกติอยู่แล้ว..!? ๒) ห้ามวัด สำนักสงฆ์ สำนักปฏิบัติธรรม ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ให้ทุกแห่งถือกรรมสิทธิ์โดยกรมศาสนาเท่านั้น กระผม/อาตมภาพก็ไม่เข้าใจว่ากรมศาสนามายุ่งอะไรกับวัดและสำนักสงฆ์ด้วย ? เพราะว่าวัดและสำนักสงฆ์ทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถ้าหากว่ากรมศาสนาเข้ามายุ่งในลักษณะนี้ งบประมาณสนับสนุนทุกอย่าง กรมศาสนาต้องเป็นผู้จ่ายให้กับวัด นี่ไม่มีอะไรเลยที่จ่ายให้แม้แต่บาทเดียว แต่กลับให้ไปขึ้นกับกรมศาสนา แปลว่า เห็นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ "เป็นหัวหลักหัวตอ" ประมาณนั้น..! ๓) ห้ามวัด สำนักสงฆ์ สำนักปฏิบัติธรรมบุกรุกบริเวณป่าสงวน ทั้งประเภทป่าเสื่อมโทรม ถ้ำ ภูเขาและเกาะ อย่างเด็ดขาด อยากจะบอกว่าสิ่งที่ท่านทั้งหลายห้ามมา เป็นลักษณะของการ "ถอดกางเกงผายลม" ก็คือไม่มีความจำเป็นแม้แต่นิดเดียว..! เอาแค่จังหวัดกาญจนบุรีของกระผม/อาตมภาพแล้วกัน ท่านทั้งหลายที่ทำในลักษณะนี้ โดน "อุ้ม" ออกมาดำเนินคดีกันไปหมดแล้ว แล้วคิดว่าท่านสั่งห้ามออกมาแล้วจะให้หน่วยงานไหนจัดการ ? ในเมื่อเจ้าของพื้นที่ อย่างเช่นกรมอุทยานฯ เขาก็ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งอยู่แล้ว ลักษณะนี้โบราณเรียกว่า "ตีปลาหน้าไซ" ก็คือไปหารับประทานอยู่ต่อหน้าคนอื่นเขา ถ้าหากว่าไม่โดนเตะเสียก่อน ก็คาดว่าอนาคตน่าจะไม่สดใสนัก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เผือกน้อย : วันนี้ เมื่อ 08:14 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
๔) ให้วัด สำนักสงฆ์ สำนักปฏิบัติธรรม ต้องมีผู้จัดทำบัญชี ผู้ตรวจสอบบัญชีอิสระที่ได้รับอนุญาต นำส่งกรมการศาสนาอย่างน้อยปีละครั้ง และเปิดเผยต่อสาธารณชน
เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกันว่า กรมการศาสนามายุ่งอะไรกับเขา ? แล้วคิดว่าผู้จัดทำบัญชี และผู้ตรวจสอบบัญชีนั้น เขาทำงานให้ท่านฟรี ๆ หรืออย่างไร ? กระผม/อาตมภาพเคยทำบัญชีเกี่ยวกับเรื่องการจ่ายภาษีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นฆราวาส ปรากฏว่าการทำบัญชีแต่ละครั้ง ล้วนแล้วแต่มีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น แล้วค่าใช้จ่ายตรงนี้ ใครจะเป็นคนจ่าย ? ไม่ใช่ออกกฎหมายมาบังคับอย่างเดียว แล้วรายจ่ายทุกอย่างก็ให้วัดเป็นผู้จ่าย เพราะว่าไปเกี่ยวข้องกับข้อที่ ๕ ๕) ห้ามพระภิกษุสงฆ์ สามเณร แม่ชี รับเงินทุกประเภทโดยเด็ดขาด เงินบริจาค เงินทำบุญ ให้ถือและจัดการโดยคณะกรรมการวัด และต้องบันทึกการทำรายการรับจ่ายตามมาตรฐานบัญชีที่ตรวจสอบได้เท่านั้น ฟังดูแล้วเลิศหรูมาก..! พระ เณร และแม่ชีของเราคงจะพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง ไปสู่พระนิพพานไปตาม ๆ กัน เพราะว่าเป็นผู้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง..! แต่ท่านทั้งหลายรู้ไหมว่า ในปัจจุบันนี้ บรรดาไวยาวัจกรและกรรมการวัดส่วนใหญ่ ก็ควบคุมเงินวัดชนิดที่เจ้าอาวาสไม่มีสิทธิ์แตะต้องอยู่แล้ว แถมยังเอาไปปล่อยกู้ เอาไปซื้อที่ดิน เอาไปให้คนอื่นเขาอยู่ในลักษณะออกดอก ๒ ต่อ ๓ ต่อ โดยที่วัดไม่สามารถที่จะขอคืนได้แม้แต่บาทเดียว..! ท่านทั้งหลายไปช่วยจัดการกับตรงนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อนจะดีหรือไม่ ? ๖) ห้ามวัด สำนักสงฆ์ สำนักปฏิบัติธรรม ถือเงินสด ณ เวลาใดเวลาหนึ่งเกินกว่า ๑ ล้านบาท อันนี้ก็ถือว่า "ถอดกางเกงผายลม" โดยไม่มีความจำเป็นเช่นกัน ในเมื่อห้ามพระสงฆ์ สามเณร แม่ชี รับเงินทุกประเภทโดยเด็ดขาด เงินบริจาคเงินทำบุญให้ถือและจัดการโดยกรรมการวัด แล้วพระที่ไหนจะไปถือเงินได้เป็นล้านบาท..! จะออกกฎหมายออกข้อห้ามอะไรออกมา แค่เบื้องต้นก็ขัดกันเองแล้ว อย่าว่าแต่ยังจะไปขัดกับรัฐธรรมนูญในเรื่องของสิทธิมนุษยชนอะไรอีกมากมายมหาศาล พูดง่าย ๆ ว่ากฎหมายของท่านยังไม่ทันจะ "ตั้งไข่" ก็น่าจะ "แท้ง" เสียแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:41 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
๗) ให้ทุกวัด สำนักสงฆ์ สำนักปฏิบัติธรรม ต้องมีคณะกรรมการบริหารที่มาจากฆราวาส ในการทำหน้าที่บริหารจัดการเรื่องเงิน การจัดซื้อจัดจ้างอย่างโปร่งใส รัดกุม ปลอดภัย สามารถตรวจสอบได้ อยากจะถามท่านทั้งหลายว่า ท่านจะหาความโปร่งใสตรวจสอบได้มาจากไหน ? ไอ้ตัวตรวจสอบได้ ตึกราคาหลายพันล้านเพิ่งจะพังไป..! แล้วมีใครไปตรวจสอบเขาทั้งหลายเหล่านั้นบ้าง ?
๘) การตรวจรับเงิน การจ่ายเงินทุกรายการ ต้องมีเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส เป็นผู้อนุมัติและร่วมเห็นชอบ โดยคณะกรรมการบริหารเงินของวัด โดยทุกสิ้นวันจะต้องนำเงินสดที่มาจากการบริจาค การทำบุญ เข้าบัญชีธนาคาร อยากจะถามท่านว่า ต่างจังหวัดมีธนาคารไหนที่เปิดรับเงินตอนสิ้นวันบ้าง ? แล้วขณะเดียวกัน ในเมื่อ เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ไม่มีส่วนอะไรในการแตะต้องเงินนั้นเลย แล้วจะไปเซ็นอนุมัติอีท่าไหน ? ในเมื่อเราไม่รู้สักอย่างเดียวเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทั้งหลายนั้นทำ แล้วจะไปเป็นตราประทับรับรองให้เขา น่าจะมีแต่คนปัญญาอ่อน ประเภทเดียวกับบุคคลที่จะออกกฎประเภทนี้เท่านั้นแหละ..! ที่จะไปเป็นตราประทับรับรองให้คนอื่นเขา ๙) ห้ามและให้วัด สำนักสงฆ์ สำนักปฏิบัติธรรม หยุดจัดการทำกิจกรรม หรือเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมใด ๆ รวมทั้งการจัดสร้างวัตถุมงคลทุกชนิดทุกประเภท ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่กำหนดไว้ในพระไตรปิฎก และพระธรรมบัญญัติ ยกเว้นการจัดสร้างพระพุทธรูป เพื่อรำลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น อันนี้ก็ "ถอดกางเกงผายลม" น่าจะประมาณ ๒ ชั้น ๓ ชั้นเลย..! เพราะว่าถ้ากระผม/อาตมภาพสร้างพระพุทธรูปเล็ก ๆ ทำการปลุกเสกเป็นอย่างดี เพื่อให้ญาติโยมทั้งหลายได้มีที่พึ่งที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วท่านจะห้ามอีท่าไหน ? ในเมื่อเปิดช่องโหว่ชนิด ๑๘๐ หรือ ๓๖๐ องศาแบบนี้ ต้องบอกว่า "ยังไม่เนียน กลับไปเรียนมาใหม่" ข้อที่เหลือทั้งหมด ถือว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อไปก็แล้วกัน กระผม/อาตมภาพขี้เกียจที่จะไปถกเถียงกับท่านทั้งหลายในเรื่องเหล่านี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:44 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
![]()
สิ่งพวกนี้ต้องบอกว่าแต่ละคน แต่ละท่าน ล้วนแล้วแต่คิดว่า ถ้ามีระเบียบหรือว่ากฎหมายออกมาบังคับแล้ว ก็จะทำให้พระภิกษุสามเณร แม่ชี ตลอดจนกระทั่งฆราวาส "เลิศเลอเพอร์เฟ็ค" ดีงามจนกระทั่งสามารถเป็นพระอริยเจ้าไปตาม ๆ กัน โดยลืมนึกถึงความเป็นจริงข้อที่ว่า ไม่ว่าจะพระธรรมวินัยหรือกฎหมายบ้านเมืองก็ตาม บังคับได้เฉพาะบุคคลที่ละอายชั่วกลัวบาปเท่านั้น
คนที่ออกกฎระเบียบต่าง ๆ มาเพื่อที่จะให้พระซึ่งถือศีล ๒๒๗ ก็ดี สามเณรที่ถือศีล ๑๐ ก็ดี หรือว่าแม่ชีที่ถือศีล ๘ ก็ตาม ประพฤติปฏิบัติตามความต้องการของท่านทั้งหลายนั้น อยากถามว่า "ทุกท่านมีศีล ๕ ครบแล้วหรือไม่ ?" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องพวกนี้อยากจะบอกว่า ถ้าท่านทั้งหลายอยากจะเพ้อเจ้อ ก็เชิญเพ้อเจ้อไปตามสบาย คาดว่าบุคคลที่ละอายชั่วกลัวบาป ถึงไม่มีระเบียบหรือกฎหมายเหล่านี้ เขาก็ทำเป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนพวกที่ไม่ละอายชั่วกลัวบาป ต่อให้ท่านทั้งหลายสละความรู้ความสามารถ ๗ ชั่วโคตร ออกกฎหมายหรือระเบียบมาบังคับ ก็คงจะทำอะไรเขาเหล่านั้นไม่ได้อยูดี..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:45 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
สร้อยทอง |
|
|