#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (เมื่อวานนี้), เถรี (เมื่อวานนี้), ทายก (เมื่อวานนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), เผือกน้อย (เมื่อวานนี้), พี่เสือ (เมื่อวานนี้), พุทธภูมิ (เมื่อวานนี้), ลุงยามธรรมดา (เมื่อวานนี้), ศุภวิชญ (เมื่อวานนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ บรรดาพระของเราที่ไปสถาบันนิติเวช กรมตำรวจ กลับมากันหรือยัง ?
การไปดูการผ่าศพแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ยกเว้นว่าบุคคลนั้นมีอสุภกรรมฐาน ตลอดจนกระทั่งกสิณ "ของเดิม" มาก่อน เนื่องเพราะว่าเรื่องของอสุภกรรมฐานนั้น ต้องฝึกแล้วฝึกอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอกย้ำตัวเอง ไม่ใช่ไปดูกันชั่วครั้งชั่วคราว แล้วก็กลับมาอ้วกแตก กินอะไรไม่ได้ ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก กระผม/อาตมภาพทำมาก่อนแล้ว ถึงอยากจะแนะนำว่าเมนูเพลวันนั้น ควรจะเป็นพวกต้มเลือดหมู ต้มเครื่องในอะไรพวกนั้น จะได้รู้สึกซาบซึ้งขึ้นอีกหน่อย..! สภาพจิตของคนเรามีความเคยชินกับฝ่ายต่ำมากกว่า เราไปดูแค่ชั่วครั้งชั่วคราว จึงช่วยอะไรไม่ได้ ถึงจะไปดูหลาย ๆ ครั้ง ถ้าปัญญาไม่ถึง คราวนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ กระผม/อาตมภาพตอนแรก ๆ ไปดูก็อ้วกแตกอ้วกแตนเหมือนกันแหละ..! แต่ว่าหลังจากนั้นก็เริ่มตายด้าน เลือกดูแต่ตรงที่ดี ๆ ไอ้ที่เขาผ่าเราก็ไม่ดู..! เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครต้องการจะฝึกอสุภกรรมฐานให้ได้ผล ต้องไปซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่างน้อยต้องให้เป็นปฏิภาคนิมิต ก็คือติดตา สามารถยกภาพขึ้นมาตอนไหนก็ได้ ถ้าวิสัยเก่ามาทางอภิญญาสมาบัติ จะไม่ได้มาแต่ภาพเฉย ๆ ทั้งกลิ่น ทั้งเสียงจะมาหมด..! ครูบาอาจารย์ที่สอนอสุภกรรมฐานตามสายของเรา ที่สุดยอดที่สุดก็คือหลวงปู่พริ้ง - พระครูประศาสน์สิกขกิจ (พริ้ง อินฺทโชติ) วัดบางปะกอก หลวงปู่ปาน วัดบางนมโคไปขอเรียนวิชากับท่าน แล้วก็กลับไปบอกลูกศิษย์ทางอยุธยาว่า "ไปขอเรียนวิชากับหลวงพ่อพริ้งมา" บรรดาลูกศิษย์ก็ถามหลวงปู่พริ้งว่า "หลวงพ่อปานท่านบอกว่ามาเรียนวิชากับหลวงพ่อ ผมไม่เห็นหลวงพ่อปานท่านมาเลย" หลวงปู่พริ้งท่านบอกว่า "ท่านปานไม่ได้เหมือนกับพวกแก จะได้อยู่กันเป็นเดือนเป็นปี ท่านมาแค่คืนเดียวก็โกยวิชาข้าไปหมดแล้ว..!" ก็คือแค่มาทบทวนกันว่าแต่ละฝ่ายรู้อะไรบ้าง ? ศึกษาอะไรมาบ้าง ? ทำอะไรได้บ้าง ? ถ้าหากว่าส่วนไหนบกพร่องก็ขอเรียนเพิ่ม ถ้าไม่ได้บกพร่อง มีพร้อมสมบูรณ์แล้ว จะไปเรียนอะไรได้ ? ต่างคนต่างรู้กันแล้ว..! หลวงปู่ปานท่านเล่าว่าหลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก สามารถที่จะกำหนดให้ซากอสุภกรรมฐานปรากฏเป็นตัว ๆ บนลานวัดให้ดูเลย..! จะเอาแบบไหนมีหมด เริ่มตั้งแต่อุทธุมาตกอสุภ ซากศพที่พองเน่ามา ไล่ไปจนถึงอัฏฐิกอสุภ ก็คือเหลือแต่โครงกระดูกแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:49 |
สมาชิก 5 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (เมื่อวานนี้), เด็กใต้ (เมื่อวานนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), พุทธภูมิ (เมื่อวานนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
#3
|
||||
|
||||
![]()
ถ้าหากว่าพวกเราปัญญาไม่พอ ในเรื่องของอสุภกรรมฐานให้เน้นไปในด้านของกสิณเลย ก็คือพิจารณาว่าซากศพนั้นมีสีอะไรมากกว่า สมมติว่าสีแดงของเลือดมากกว่า เราก็จับ "โลหิตกสิณัง" ไปเลย จะได้ผลมากกว่า แต่ถ้าหากว่าจะเอาแค่อสุภกรรมฐาน ตามตำราเขาบอกว่าได้แค่อุปจารสมาธิ เพราะว่าเขาทำไม่เป็น อุปจารสมาธิก็จดจำได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าว ถ้าไม่มีของเก่าอยู่ก็ไปไม่รอด..!
ดังนั้น..ถ้าจะให้ได้ผล อย่างบางสำนักที่เขามีศพอยู่ในวัด แต่ตอนนี้ก็น่าจะโดนทางราชการเก็บไปเกลี้ยงแล้ว เพราะว่าฝ่ายบ้านเมืองเขารับไม่ได้ สมัยนี้ก็ไม่เหมือนกับสมัยก่อน ที่เขามีป่าช้าผีดิบ ก็คือทิ้งซากศพเอาไว้ บางทีเชิงตะกอนก็ก่อกันตามมีตามเกิด เผาหมดบ้างไม่หมดบ้าง หรือถ้าบ้านไหนคิดว่าจะจัดงานให้ใหญ่โตกว่านี้สักหน่อย ก็เก็บศพเอาไว้รอเวลาหาเงิน ก็จะมี "โรงทึม" ไม่ใช่ "โรงทึบ" เด็กสมัยนี้พอเขียนว่า "โรงทึม" มันแก้เป็น "โรงทึบ" กันหมด ไม่เคยได้ยิน "โรงทึม" ก็คือโรงเก็บศพ ซึ่งไม่ต้องห่วง เดินไกลเป็นกิโลเมตรก็ได้กลิ่นศพแล้ว เพราะว่าต่อให้เก็บดีขนาดไหนก็ตาม พวกน้ำเหลืองพวกอะไรก็ไหลออกมาตามซอกของโลงจนได้..! รุ่นของกระผม/อาตมภาพนั้น บรรดาพระใหม่ ถ้าได้ยินว่าให้ไปชักผ้าบังสุกุลก็ขวัญหนีดีฝ่อกันหมด เพราะว่าหลายหมู่บ้านเขามีธรรมเนียมว่า "ให้คนตายทำบุญเป็นครั้งสุดท้าย" เขาจะทำเก้าอี้ลักษณะคล้าย ๆ กับเก้าอี้โยก เอาศพไว้บนนั้น แล้วก็มีผ้าไตรพาดแขน หรือว่าผ้าจีวร ผ้าสบง ผ้าสังฆาฏิสักผืนหนึ่ง แล้วแต่ฐานะตัวเอง พาดแขนศพไว้ พระใหม่ที่ไปชักบังสุกุล ต้องหาไม้ง่ามไปด้วย พอถึงเวลาไปเหยียบเก้าอี้ ศพก็จะลุกพรวด ยื่นผ้าไตรมาตรงหน้า บางคนด้วยความกลัว เหยียบแรงไป ศพล้มเข้าใส่ตัว ต้องเอาไม้ง่ามค้ำไว้ก่อน แล้วค่อยไป "อนิจจา วะตะ สังขาราฯ" ชักผ้าบังสุกุลกัน แต่ส่วนใหญ่พระใหม่ตบะไม่ดี ขวัญไม่พอ เขาปล่อยไปคนเดียว พอเหยียบปุ๊บ ศพกระเด้งขึ้นมาปั๊บ กูก็เปิดแน่บแล้ว..! สมัยก่อนไม่ต้องห่วง พวกท่านไม่รู้เคยเจอประสบการณ์นี้หรือเปล่า ? ฉันอาหารหน้าโลงนี่ กลิ่นศพมาตลบอบอวลไปหมด กระผม/อาตมภาพเจอมาหลายรอบแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:53 |
สมาชิก 5 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (เมื่อวานนี้), เด็กใต้ (เมื่อวานนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), พุทธภูมิ (เมื่อวานนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
#4
|
||||
|
||||
![]()
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ส่วนใหญ่ศพก็จะเริ่มเน่า น้ำเลือดน้ำเหลืองโทรมไปหมด ก็ติดผ้าบังสุกุล แล้วเป็นเรื่องแปลก จะซักจะตากแดดดีขนาดไหนก็ตาม ก็จะหมดกลิ่นแค่ตรงนั้น พอกระทบความชื้นหรือกระทบเหงื่อของเราหน่อย กลิ่นเหม็นผีตายออกมาอีกแล้ว..! สมัยก่อนเขาถึงได้บอกว่า "ของที่เหม็นที่สุดในโลกมีสองอย่าง อย่างที่ ๑ คือขี้อีแร้ง อย่างที่ ๒ คือจีวรพระ" เหม็นน้ำเหลืองผีครับ..!
ดังนั้น..พวกท่านทั้งหลายถ้าจะฝึก กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่ว่าไปแล้วก็ไร้ประโยชน์ เปลืองค่ารถเสียเปล่า ๆ ยกเว้นท่านที่มีพื้นฐานอสุภกรรมฐานเก่ามาจากชาติก่อน หรือมีพื้นฐานกสิณมา ถ้าแบบนั้นมองครั้งเดียวจะติดตาไปนาน ก็ให้กำหนดต่อจนกระทั่งเป็นปฏิภาคนิมิต ให้มาก็ได้ ให้ไปก็ได้ ต้องการจะพิจารณาเมื่อไร ก็กำหนดยกภาพขึ้นมา ไม่อย่างนั้นไปกี่ครั้ง ก็แค่ทำให้ฉันอาหารไม่อร่อยเท่านั้นเอง..! เรื่องของอสุภกรรมฐานปัจจุบันนี้หาฝึกยาก บ้านต่างจังหวัดของเรายังพอมี ที่ตั้งกองฟอนแล้วเผากันกลางแจ้ง กระผม/อาตมภาพเองทั้งดูเขาเผา ทั้งเผาด้วยตัวเองมานับศพไม่ถ้วนแล้ว ศพสุดท้ายก็โยมแม่ของครูบาน้อย (พระนาวิน สจฺจญาโณ) เผามากับมือ อุตส่าห์กลัวว่าถึงเวลาแล้วศพพอโดนไฟเผา เส้นเอ็นหดตัว จะกระดกลุกขึ้นมาให้คนเขาตื่นเต้นกัน ก็เลยเอาท่อนไม้ทับไว้ข้างบนหลายท่อน ปรากฏว่าไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย..! กลัวว่าเผาแล้วกระโหลกศีรษะซึ่งมีมันสมองอยู่ โดนความร้อนมาก ๆ จะระเบิด ก็ไม่เป็นอะไร แค่เผาแล้วยุบโทรมหายไปเฉย ๆ อาจจะเป็นเพราะว่าโยมแม่ของท่านป่วยมานาน แล้วผ่ายผอมแทบจะไม่เหลือเนื้อเหลือหนังแล้ว ถึงเวลาก็เลยเผาง่าย ฟืนที่เตรียมเอาไว้สำหรับคนปกติร่างกายใหญ่โต ก็เลยกลายเป็นมากเกิน เผาแล้วเหลือขี้เถ้าอยู่กองท่วมหัว ถึงเวลาไปเก็บกระดูก ก็ควานหากันเข้าไป ไฟร้อนเกินไปกระดูกส่วนใหญ่ก็ป่นหมด พอมือกระทบก็กลายเป็นฝุ่นไปเลย พวกท่านเองไม่ต้องอะไรมากหรอก แค่ไปเก็บกระดูกก็พอ ตอนนี้สัปเหร่ออ๊อด (พระพีระวิทย์ ชิตมาโร) ไม่อยู่ ใครทำหน้าที่แทน ? ศึกษาไว้ให้ดี แค่เราไม่รังเกียจกระดูกตอนที่เก็บก็พอแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:57 |
สมาชิก 5 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (เมื่อวานนี้), เด็กใต้ (เมื่อวานนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), พุทธภูมิ (เมื่อวานนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
#5
|
||||
|
||||
![]()
กระผม/อาตมภาพนี่ลงไปในโลงเหล็ก เพราะว่าเขาเผาบนเมรุลอย เก็บกวาดกระดูกหลวงพ่อพระเทพเมธากร (ณรงค์ ปริสุทโธ ป.ธ. ๔) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี อดีตเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ประชุมชนาราม (วัดท่ามะขาม) กวาดมาจนหมดทุกซอกทุกมุม แทบจะไม่มีฝุ่นติดเหลือเลย คนอื่นเขาไม่กล้าทำกัน..!
ตอนแรกกระผม/อาตมภาพก็ตกใจว่า "หลวงพ่อท่านไปโดยไสยศาสตร์มาหรือเปล่า ?" ทำไมมีพวกลวด พวกตะปูเยอะแยะไปหมด..! ปรากฏว่าเป็นลวดที่เขามัดดอกไม้จันทน์ ก็ต้องสรง ๆ เขย่า ๆ จนกระทั่งไม่เหลือฝุ่นผงอะไรที่เกี่ยวกับคนแล้วค่อยโยนทิ้งไป เก็บกระดูกชิ้นใหญ่ใส่โกฏิ ใส่ห่อให้ลูกให้หลาน จะเอาไปทำอะไรก็เชิญ ส่วนที่เหลือทั้งหมดก็กวาดใส่ห่อผ้าขาว เพื่อเอาไปลอยอังคาร แค่พวกท่านทำได้โดยที่ประเภทไม่รังเกียจไม่อะไรก็พอแล้ว บางท่านแค่มองเห็นก็ครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด บางทีไข้จับเลย ที่ภาษาจีนเขาเรียกว่า "ชง" ถ้าใจเรากลัวหรือว่ารังเกียจ จะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านขึ้นโดยอัตโนมัติแบบนั้น..! ทำอย่างไรที่เราจะเคยชิน เห็นว่านี่เป็นเรื่องปกติของมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม ท้ายสุดก็ไม่มีอะไรเหลือ ถ้าสามารถทำได้ลักษณะอย่างนั้น ปัญญาเริ่มถึง การรังเกียจก็ไม่มี เพราะเห็นว่าเขากับเราก็เหมือนกันทุกอย่าง ไอ้ที่น่ารังเกียจนั้น ถ้าไปรังเกียจเขา ไอ้ตัวเราน่ารังเกียจกว่าตั้งเยอะ..! เป็นเรื่องที่ต้องฝึกหัดกันนาน ไม่ใช่ประเภทไปดูกันประเดี๋ยวประด๋าว เสร็จแล้วก็กลับมาคุยว่าไปฝึกกรรมฐานมา ก็ยังดีที่ได้มีโอกาสคุยกับคนอื่นเขา แต่ว่าจะกลายเป็นกิเลสไปเสียเปล่า ๆ..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:59 |
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (เมื่อวานนี้), ไก่เถื่อน (เมื่อวานนี้), เด็กใต้ (เมื่อวานนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), พุทธภูมิ (เมื่อวานนี้), ลูกช่างทอง (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|