#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ท่านใดที่ไปร่วมงานศพนายไพบูลย์ เปาประดิษฐ์ ที่วัดทองผาภูมิ ก็จะเห็น "หลวงพี่เหลิม" (พระเฉลิม จารุวณฺโณ)ของกระผม/อาตมภาพ ท่านแจก "วัตถุมงคลส่วนตัว" ออกอากาศให้เกือบทุกคน..!
เรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ เพราะว่าอาการที่ท่านเป็นอยู่นั้น โบราณเขาเรียกว่า "โรคสันนิบาต" ส่วนหนึ่งเกิดจากอาการผิดปกติทางสมอง คาดว่าตอนเด็ก ๆ ท่านคงได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองมา จึงไม่สามารถที่จะบังคับตัวเองได้ ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ถ้าท่านสวดมนต์ ท่านจะต้องรัวชนิดไม่ให้มีช่องว่างเหลือ ไม่อย่างนั้นก็จะแจก "วัตถุมงคลส่วนตัว" ให้คนฟังอีก ตอนที่กระผม/อาตมภาพเป็นเจ้าอาวาสวัดทองผาภูมิอยู่ ก็สอนท่านให้เปลี่ยนเป็นคำว่า "รวย" แล้วท่านก็ทำได้สำเร็จ แต่พอผ่านไปนาน ๆ ไม่มีใครคอยบังคับ ก็กลับไปเป็น "วัตถุมงคลส่วนตัว" เหมือนเดิม เรื่องของโรคสันนิบาต กระผม/อาตมภาพเคยเห็นจากเสือฝ้าย เสือฝ้ายก็คือ "จอมพลฝ้าย" มหาโจรใหญ่แห่งสุพรรณบุรี ซึ่งหลายท่านบอกว่าโดนยิงตายไปแล้ว แต่ได้คุยกับกระผม/อาตมภาพอยู่หลายปี เนื่องเพราะว่าเสือฝ้ายกับเสือมเหศวรไปกราบหลวงพ่อวัดท่าซุง เรียนหลวงพ่อท่านว่าปล้นทองจากทหารญี่ปุ่นได้เป็นตู้รถไฟเลย กระผม/อาตมภาพซักถามท่านว่า "โยมปล้นอีท่าไหน ?" ท่านบอกว่า "สมัยนั้นส่วนใหญ่ก็ปล้นเอาอาวุธ ปล้นเอาเสบียง แต่พอขึ้นรถไป ปรากฏว่ารถไฟเที่ยวนั้นวิ่งไปกาญจนบุรี บรรทุกทองคำไปเป็นตู้เลย..!" พองัดดูแล้วว่าเป็นทองคำแน่ ๆ หรือว่าเป็นอาวุธปืน หรือว่าเป็นเสบียงอาหาร ต้องการแบบไหน ก็จะให้ลูกน้องไปรอจังหวะอยู่ที่ระหว่างตู้รถไฟ เมื่อรถไฟเริ่มเข้าโค้งก็ปลดสลักยึดระหว่างตู้ พอเข้าโค้งแล้วรถไฟเหวี่ยงตัวเอง ตู้นั้นก็จะหลุดออกจากทางด้านหัวรถไฟ แต่ถ้าหากว่าเป็นรายอื่น ๆ ส่วนใหญ่ใช้วิธีโยนหรือว่าถีบสินค้าลงจากรถ จนกระทั่งรุ่นเก่า ๆ เขาจะรู้ว่า "ขบวนการไทยถีบ" คืออะไร ? เมื่อได้ตู้รถไฟบรรทุกทองมาแล้ว ก็หาจังหวะเอาลงจากรางรถไฟ ช่วยกันผลัก ช่วยกันดัน ช่วยกันเอาม้าลาก จนกระทั่งเข้าไปในซอกเขา แล้วก็วางระเบิดให้หินถล่มลงมากลบเอาไว้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 00:30 |
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (วันนี้), กฤษฎากร (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
#3
|
||||
|
||||
![]()
ถามโยมว่า "ทำไมถึงต้องให้หลวงพ่อท่านไปเอาด้วย ?" เสือฝ้ายท่านบอกว่าสองสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรก ตัวเองเป็นคนสุพรรณบุรี รู้จักมักคุ้นกับตระกูลของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงดี เห็นว่าท่านเป็นพระที่มีบารมีมาก น่าจะสามารถไปเอาทองคำนี้ออกมาใช้ประโยชน์ได้ โดยเฉพาะใช้ในการสร้างวัด
ประการที่สองก็คือ หลวงพ่อมีลูกศิษย์ที่เป็นทั้งนายตำรวจ นายทหารใหญ่ ๆ โต ๆ ซึ่งตอนนั้นมีทั้งระดับแม่ทัพ มีทั้งระดับผู้บัญชาการทหาร มีทั้งระดับปลัดกระทรวงกลาโหม บรรดาลูกศิษย์น่าจะช่วยเหลือให้หลวงพ่อเอาทองคำออกมาได้โดยง่าย เรื่องนี้พักไว้แค่นี้ก่อน ที่เล่าถึงตรงนี้ก็เพราะว่า เสือฝ้ายเวลาคุยไปนาทีสองนาที หน้าแกจะสะบัดเองโดยอัตโนมัติ สะบัดไปทางด้านขวา ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง กว่าจะห้ามตัวเองให้หยุดได้ จึงถามว่า "โยมเป็นโรคหรือเปล่า ?"" ท่านบอกว่า "จะเรียกว่าโรคก็ใช่ โบราณเรียกว่าโรคสันนิบาต แต่หมอสมัยใหม่บอกว่า เกิดจากความผิดปกติทางสมอง" ก็คือเด็กสมัยก่อนส่วนใหญ่จะคลอดโดยหมอตำแย บางทีก็คาอยู่ในท้องแม่นานเกินไป ทั้งที่ถุงน้ำคร่ำแตกแล้ว กว่าจะดึงออกมาได้ บางทีเขียวไปทั้งตัว..! ก็คือขาดอากาศหายใจ ถ้าขาด ๒ - ๓ นาทีขึ้นไป เซลล์สมองส่วนมากก็จะเริ่มตาย แล้วก็จะทำให้เกิดอาการผิดปกติ เพราะว่าสมองไม่สมบูรณ์ สั่งการไม่ได้ครบถ้วน ก็เลยถามว่า "แล้วโยมเป็นมาตั้งแต่เด็กหรือ ?" ท่านบอก "ไม่ใช่..เป็นตอนที่มาเป็นเสือนี่เอง" ด้วยความที่ว่ามีวัตถุมงคลดี หนังเหนียว ดังนั้น..บางทีการ "เคลียร์" กันในหมู่เสือ ก็คือต้องสู้กันให้ "เห็นดำเห็นแดง" ว่าฝีมือใครดีกว่า อีกฝ่ายพอรู้ว่าเสือฝ้ายหนังเหนียว ก็ใช้พวกตะพดบ้าง คมแฝกบ้าง โดนฟาดกบาลไปหลาย ๆ ทีก็มีปัญหาขึ้นมาทีหลัง เพราะว่าน่าจะกระทบกระเทือนถึงสมองเหมือนกัน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 00:33 |
สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (วันนี้), กฤษฎากร (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้), หลุดพ้น (วันนี้)
|
#4
|
||||
|
||||
![]()
คนทองผาภูมิเคยชินกับ "หลวงพี่เหลิม" ของกระผม/อาตมภาพมานานมาก เพราะว่าแกเป็นคนที่นี่เลย เกิดที่นี่ โตที่นี่ เป็นรุ่นเดียวกับท่านจิรชัย ถนอมวงษ์ อดีตนายกนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลท่าขนุน หรือที่เราเรียกกันว่า "ผู้ใหญ่ชัย" เรียนหนังสือมาด้วยกัน ก็เลยทำให้คนทองผาภูมิเคยชินกับการที่ "พี่เหลิม" แกแจก "วัตถุมงคลส่วนตัว" ก็แค่หัวเราะเฮฮากันไป
แต่คนที่มาจากที่อื่นไม่รู้ บางทีจะตำหนิพระเอาว่า "เป็นพระเป็นเจ้า ทำไมด่าอะไรหยาบ ๆ คาย ๆ ? ไม่รู้จักสำรวม..!" หรือไม่ก็พวกเราเองนั่นแหละที่ไปตำหนิท่าน เนื่องเพราะว่าเวลาสวดมนต์ ท่านจะไม่เอาจังหวะกับใคร ต้องลุยไปตามจังหวะตัวเอง ไม่อย่างนั้น ถ้าหยุดให้หายใจเมื่อไร ท่านก็จะแจก "วัตถุมงคลส่วนตัว" เมื่อนั้น..! จริง ๆ แล้วพระวัดทองผาภูมิน่าจะช่วยกันเตือนสติท่าน เพราะว่าตอนที่กระผม/อาตมภาพเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ๘ - ๙ เดือน แก้ท่านจนเปลี่ยนเป็นคำว่า "รวย" ได้ทุกครั้ง บอกว่า "ถ้าพี่เหลิมพูดคำว่า "รวย" นี้ติดปาก ชาวบ้านเขาจะรักพี่เหลิมขึ้นอีกเยอะเลย" แต่ปรากฏว่าพอกระผม/อาตมภาพไม่อยู่ ไม่มีใครคอยไปควบคุม คอยไปเตือนสติ ก็กลับไปเหมือนเดิม จึงทำให้พวกท่านทั้งหลาย หรือว่าญาติโยมที่มาจากที่อื่นบางทีไม่เข้าใจ จะไปตำหนิติเตียน ท่านก็เป็นพระอาวุโส พรรษาไล่เลี่ยกับกระผม/อาตมภาพด้วย ก็ถือว่ายกให้ท่านเป็น "ปาปมุต" คือผู้พ้นจากบาปทั้งปวงไปก็แล้วกัน ส่วนของ "ท่านปราย" (พระอาทิตย์ อสโม) วันนี้ เทศน์งานศพคุณตาของตัวเอง ก็ถือว่าตัดต่อเนื้อหาไปได้ค่อนข้างเนียน ถ้าไม่ใช่กระผม/อาตมภาพมีส่วนเทศน์เอง ก็จำเนื้อหาไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้น..ในเรื่องของการเทศน์ ถ้าหากว่าพวกท่านทั้งหลาย มีใครต้องการจะเรียนรู้หลักการที่แท้จริง ก็ให้คอยดูว่าทางด้านวัดประยุรวงศาวาส วรวิหารก็ดี วัดราชโอรสาราม ราชวรวิหารก็ดี มีการจัดอบรมนักเทศน์เมื่อไร ใครต้องการไปแจ้งกระผม/อาตมภาพได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นท่านเจ้าคุณอาจารย์ทองดี - พระพรหมวชิรปัญญาจารย์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ. ๙) ราชบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม ราชวรวิหาร หรือว่าท่านเจ้าคุณอาจารย์ประยูร - พระพรหมบัณฑิต, ศ.ดร. (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ. ๙, Ph.D.) ราชบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร ที่ถือว่าเป็นสุดยอดนักเทศน์เมืองไทย ซึ่งเจ้าอาวาสทั้งสองวัด ก็รู้จักมักคุ้นกันดี กระผม/อาตมภาพจะได้ไปฝากฝัง ไปเยี่ยมเยือนกันเหมือนรุ่นเก่า ๆ ที่เขาอบรมกันที่นั่น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 00:39 |
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (วันนี้), กฤษฎากร (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
#5
|
||||
|
||||
![]()
พวกท่านอาจจะสงสัยว่ากระผม/อาตมภาพไปไหน ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ก็เพื่อนฝูง ไม่เพื่อนฝูงก็ลูกศิษย์ ก็เพราะว่าตอนเป็นพระใหม่ไม่ค่อยเกี่ยงงาน ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ไปงานอบรมที่ไหนก็ไป งานแบบนั้นแหละ เราจะได้ครูบาอาจารย์ด้วย ได้เพื่อนร่วมรุ่นด้วย ถือว่าเป็น "คอนเน็คชั่น" ก็คือเส้นสายอย่างหนึ่ง ที่จะเชื่อมโยงพวกเราไว้ ก็คือคำว่า "รุ่นเดียวกัน"
อย่างของกระผม/อาตมภาพ นักเทศน์รุ่นนั้น ที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันตลอด ๑๕ วันก็คือพระมหาชรัช อุชุจาโร ป.ธ. ๖ ปัจจุบันนี้ก็คือพระราชวัชรญาณโมลี, ดร. เจ้าอาวาสวัดตานีนรสโมสร (พระอารามหลวง) รองเจ้าคณะภาค ๑๘ ใครจะไปนึกว่ามหาประโยค ๖ สมัยนั้นจะขึ้นมาถึงระดับนี้ได้..! ตอนที่ดร.หนึ่ง (พระวินัยธรจิตศิลป์ เหมรํสี, ดร.) จะเก็บวันปฏิบัติธรรมของปริญญาเอก แล้วทางวิทยาสงฆ์ปัตตานีมีจัดปฏิบัติธรรมอยู่ ดร.หนึ่งก็ถามผมว่า "หลวงพ่อมีใครที่รู้จักมักคุ้นทางด้านปัตตานีบ้างครับ ? ผมจะได้ไปอาศัยพักด้วย" กระผม/อาตมภาพถามว่า "คุณอบรมที่ไหน ?" ท่านบอกว่า "วิทยาสงฆ์ปัตตานี" กระผม/อาตมภาพก็เลยบอกว่า "ให้ไปหาผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ บอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน" หายไป ๒ วัน ดร.หนึ่งท่านโทรมาบอกว่า "อยู่ห้องแอร์คนเดียว สบาบใจเฉิบเลยครับ" ก็คือไม่คิดว่า ผอ.วิทยาลัยสงฆ์ก็คือท่านอาจารย์มหาชรัช หรือปัจจุบันก็คือรองเจ้าคณะภาค ๑๘..! เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าพวกเราในช่วงที่อายุกาลพรรษายังน้อยอยู่ อะไรที่ช่วยเสริมความรู้ เสริมวิทยฐานะตนเอง ถ้ามีโอกาสรีบไขว่คว้าเอาไว้ เนื่องเพราะว่านานไปถ้าเรายังอยู่ต่อ ไม่ช้าก็เร็ว หน้าที่รับผิดชอบจะต้องตกลงมา ถ้าถึงเวลา เขาต้องการอะไรแล้วเรามีทั้งนั้นก็จบ ไม่เช่นนั้นถึงเวลาเขาต้องการแล้วเราไม่มี ก็ต้องไปตะเกียกตะกายศึกษาใหม่อบรมใหม่ จะทำให้เสียเวลามาก..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 00:43 |
สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
|
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
เด็กบางบัวทอง |
|
|