#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เมื่อคืนกระผม/อาตมภาพไอจนกระทั่งตื่นขึ้นมาตอน ๓ ทุ่มกว่า เป็นการไอที่รุนแรงมาก ไอไม่แล้วไม่เลิก ไม่ว่าจะอาศัยยาพ่นยาอมอะไรก็ตาม ไม่สามารถบรรเทาอาการได้ทั้งสิ้น
เมื่อพิจารณาไประยะหนึ่งก็รู้สึกเอะใจ เนื่องเพราะว่าไม่ใช่อาการไอจากการป่วยตามปกติ เรื่องนี้อยากให้ญาติโยมทั้งหลายทำความเข้าใจว่า ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติธรรม รู้จักสังเกตอารมณ์ใจของตนเองเป็นประจำแล้ว ถ้าสามารถติดตามอารมณ์ใจของตนเองทัน อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายซึ่งเป็นของหยาบกว่า เราก็สามารถที่จะติดตาม หรือว่ารู้เท่าทันได้ง่ายอีกด้วย เมื่อพิจารณาแล้วว่า สภาพการไอแบบนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องปกติ น่าจะเกิดจากร่างกาย "ขาดยา" มากกว่า คำว่า "ขาดยา" ในที่นี้ก็คือ มียาแก้ไอตัวหนึ่ง ยาแก้แพ้ตัวหนึ่ง และยาลดไข้ตัวหนึ่ง ซึ่งมีส่วนผสมของฝิ่นอยู่ด้วย ยาที่ว่ามานี้มีอยู่ ๒ ตัว ที่ทางการแพทย์ของเราสั่งห้ามใช้งานแล้ว แต่ว่าลูกศิษย์ไปเสาะหามาให้ เพราะเห็นว่าถูกกับธาตุขันธ์ของครูบาอาจารย์มากกว่า..! ในเมื่อปกติแล้ว ถ้าหากว่าฉันยาตาม "โดส" ของเขา ก็คือเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ในเมื่อฉันเข้าไป ๓ อย่างกลายเป็นว่าเกินโดส พูดง่าย ๆ ว่าเมื่อฉันเกินจากที่หมอกำหนด โอกาสที่จะติดยาเสพติดก็จะมีขึ้นทันที..! ในเมื่อรู้ตัวแบบนี้ กระผม/อาตมภาพจึงตั้งใจที่จะไม่ฉันยาใด ๆ เพิ่มขึ้น ได้แต่ดูร่างกายตัวเองไอแล้วไอเล่า ไอเสียจนเจ็บซี่โครงไปหมด ไอเหมือนปอดจะหลุดอย่างที่บางคนเปรียบเทียบเอาไว้ ยิ่งไอก็ยิ่งรู้สึกระคายคอ ประมาณว่าต้องไอให้ได้ ต่อให้ไม่ไอ ร่างกายก็จะกระตุกให้ไอเอง..! กระผม/อาตมภาพใช้วิธีนั่งมองร่างกายตัวเองไอไป พูดง่าย ๆ ว่า "ถ้าหากว่าทนได้ก็ทนไป ถ้าทนไม่ได้ เอ็งจะขาดใจตาย ข้าก็จะดูว่าเอ็งตายตอนไหน..!" ปรากฏว่าทนไปจนกระทั่งเที่ยงคืนกว่า อยู่ ๆ อาการทั้งหมดก็หายไป "เหมือนกับปลิดทิ้ง" กระผม/อาตมภาพเข้าใจทันทีว่า นี่พ้นช่วงในการ "อยากยา" ของคนติดยาเสพติดไปแล้ว..! เพียงแต่ว่าอาการแบบนี้ ท่านทั้งหลายถ้ากำลังใจไม่ถึง ไม่สามารถที่จะทำได้ เนื่องจากว่าเป็นการ "หักดิบ" ตามภาษาคนรุ่นเก่า ๆ ก็คือรุ่นของกระผม/อาตมภาพนั้น ถ้าหากว่ามีการติดฝิ่น ติดเฮโรอีน ซึ่งในปัจจุบันนี้หายากแล้ว มีแต่ที่ร้ายแรงกว่านั้น..! ถ้าเป็นบุคคลที่กำลังใจเข้มแข้ง ก็จะใช้วิธีห้ามตนเองไม่ให้เสพยาทั้งหลายเหล่านั้น แล้วออกอาการทุรนทุรายที่เรียกง่าย ๆ ว่า "ลงแดง" เพราะว่าบางคนถึงขนาดอาเจียนเป็นเลือดเลยก็มี..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-05-2025 เมื่อ 02:02 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
เมื่อถึงเวลา ถ้าหากว่ากัดฟันจนผ่านพ้นไปได้ วันต่อ ๆ ไปอาการที่เกิดขึ้นก็จะเบาลง..เบาลง จนกระทั่งท้ายที่สุดก็ไม่หนักหนาเหมือนกับวันแรกอีก ก็แปลว่าท่านสามารถ "หักดิบ" ก็คือสามารถบังคับตนเองให้ผ่านพ้นอาการติดยาไปได้แบบหักโหม..!
อาการพวกนี้นั้น ประการแรกเลย ถ้าท่านกำลังสมาธิไม่พอ อย่างไรเสียท่านก็จะต้องกลับไปฉันยาจนได้ ถ้ารู้ว่าเกิดขึ้นเพราะยาตัวนั้น ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะไออยู่ในลักษณะจะเป็นจะตายแบบนี้ ไอจนเจ็บไปหมดทั้งอก ทั้งซี่โครง แต่เนื่องจากว่ากระผม/อาตมภาพนั้น นอกจากสมาธิจะดีแล้ว ความกลัวตายยังไม่มีอีกด้วย จึงนั่งมองร่างกายตัวเองอาละวาดไปอย่างเต็มที่ จนกระทั่งพ้นเขต ใช้เวลาไปประมาณ ๓ ชั่วโมง อาการต่าง ๆ ก็สงบลงอย่างกะทันหัน..! ในช่วงเช้าเวลาตี ๓ ครึ่ง เมื่อออกไปเจริญกรรมฐานและทำวัตรเช้า ก็ยังมีไอบ้างประปราย ไม่กี่ครั้ง ครั้นช่วงสายซึ่งเป็นวันงดบิณฑบาต แต่ว่าเป็นการจัดการทำบุญถวายหลวงปู่สาย อคฺควํโส อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนแทน กระผม/อาตมภาพออกไปเป็นประธานในการทำบุญ ก็มีไอเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น จึงทำให้เข้าใจเลยว่า ปกติแล้วตนเอง ถ้าหากว่าเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่เคยหนักหนาสาหัสแบบนี้ แต่ครั้งนี้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยหนักหนาสาหัส เพราะสาเหตุ ๒ ประการ ประการแรกก็คือโดนโรคมาลาเรียเรื้อรังช่วยซ้ำเติม มาลาเรียนั้นจะรอดูว่ากระผม/อาตมภาพป่วยเป็นโรคอะไรบ้าง แล้วก็จะซ้ำให้อาการนั้นสาหัสกว่าปกติหลายเท่า อีกประการหนึ่งก็คือโดนอาการอยากยาเสพติด หรือว่าอาการลงแดงซ้ำเติม ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงหมดห่วงกันไปที เป็นอันว่ายาทั้งหมด ไม่ว่าจะรักษาอาการป่วย อาการไข้ อาการแพ้ อาการไอใด ๆ ก็ตาม ยาบำรุงทั้งหลายก็ตาม เป็นอันว่าเลิกแตะต้องกันตั้งแต่หลัง ๓ ทุ่มขึ้นมา แล้วตอนนี้สุ้มเสียงต่าง ๆ ก็เริ่มดีขึ้น คาดว่าถ้าสามารถที่จะรักษาระดับการฝืนตัวของร่างกายเอาไว้ได้ ภายในอาทิตย์นี้ร่างกายน่าจะกลับเข้าที่เข้าทางได้ เรื่องของยาต่าง ๆ นั้น ตำราจีน ตำราไทย ตลอดจนกระทั่งตำราอินเดีย ล้วนแล้วแต่มีอาการอยู่ในลักษณะ "ใช้พิษข่มพิษ" ก็คือการใช้ยาอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าหากว่าตามปกติก็จะเกิดพิษเกิดโทษกับร่างกาย แต่ถ้าหากว่าเอาไปเข้ากับยาตัวอื่น ก็จะสามารถรักษาอาการโรคภัยไข้เจ็บบางอย่างได้ แต่ต้องให้หมอคอยควบคุมอยู่อย่างใกล้ชิด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-05-2025 เมื่อ 02:05 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
กระผม/อาตมภาพเองก็ไม่คิดว่าในโลกยุคสมัยใหม่แบบนี้ ยังมีการใช้ยาเสพติดในการผสมกับยาสมัยใหม่หลายตัว เพื่อช่วยรักษาอาการต่าง ๆ ของร่างกายอยู่เป็นปกติ ถ้าลูกศิษย์ไม่แจ้งให้ทราบ กระผม/อาตมภาพก็ไม่ทราบเหมือนกัน
ในเมื่อทราบแล้ว ก็เป็นอันว่าลาขาดตัดกุดกันแค่นี้ ต่อไปถ้าไม่จำเป็นสุดขีด ก็จะไม่ไปแตะต้องอีก ต้องคอยระมัดระวังสอบถามให้ดี ว่ายาตัวไหนบ้างที่เข้าฝิ่น ซึ่งเป็นสารเสพติดเอาไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วจากปกติที่เขากำหนดว่าฉันได้ ๑ เม็ด ๒ เม็ดต่อครั้ง เราฉัน ๑ เม็ด ๒ เม็ดต่อครั้งก็จริง แต่ไปฉันรวมกับยาตัวอื่นที่มีสารเสพติดด้วย ก็ทำให้ร่างกายได้รับสารเสพติดไปมากกว่าปกติ เมื่อซ้ำ ๆ กันไป ๒ วัน ๓ วัน จึงกลายเป็นอาการ "ติดยา" อย่างที่กระผม/อาตมภาพเป็น..! ยังรู้สึกขำตัวเองว่า "กูเกือบจะมาเสียหมาตอนแก่แล้ว..!" ก็คือไม่รู้ว่าตัวเองมีอาการติดยาเสพติด โชคดีเหลือเกินว่าในการฝึกกรรมฐานที่ผ่านมา ได้มีการสังเกตอารมณ์ใจของตนเองมาโดยตลอด คอยระมัดระวังไม่ให้ รัก โลภ โกรธ หลงกินใจของเราได้ ในเมื่อกิเลสซึ่งเป็นเรื่องละเอียด เรายังสังเกตทัน อาการผิดปกติของร่างกาย เราก็พลอยสังเกตทันไปด้วย สำหรับวันนี้กระผม/อาตมภาพยังต้องออกไปทำหน้าที่เจ้าภาพตามที่คณะสงฆ์มอบหมายให้ เพื่อไปต้อนรับแขกที่เป็นพระผู้ใหญ่จากต่างอำเภอและต่างจังหวัด ซึ่งจะมาร่วมเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมถวายหลวงพ่อพระครูกาญจนปัญญาวุฒิ (พูลศักดิ์ ปญฺญาวุโธ) อดีตรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ที่วัดเขื่อนวชิราลงกรณ ด้วยความที่ว่าแขกผู้ใหญ่ส่วนมากเดินทางมาไกล ทางคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิจึงมีมติปรับเลื่อนเวลาในการสวดพระอภิธรรมขึ้นมาเป็น ๑ ทุ่มตรง เพื่อให้แขกมีเวลาในการเดินทางกลับถิ่นฐานบ้านช่องของตนเอง จึงทำให้ไม่มีเวลาบันทึกเสียงธรรมตามปกติ ต้องมาบันทึกในเวลานี้ แล้วจะได้ไปทำหน้าที่ของตนต่อไป สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-05-2025 เมื่อ 02:07 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|