กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 28-04-2025, 01:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทางด้านกรุงสุโขทัยจึงแต่งทูตมาเชิญพระเถระ ขึ้นไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่โน่น เราจะเห็นในศิลาจารึก ซึ่งเขียนเอาไว้ว่า "ปู่ครูทุกตนลุกมาแต่เมืองศรีธรรมราช"

"ปู่ครู" ในที่นี้ก็คือ "พระสังฆราช" ก็แปลว่าสังฆราชของพระพุทธศาสนาของเราที่สุโขทัยทุกรูป ได้รับการอัญเชิญจากพระมหากษัตริย์ขึ้นไปจากนครศรีธรรมราชทั้งนั้น ไปรับตำแหน่ง ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่นั่น พอเผยแผ่แล้วก็กระจายกว้างออกมา บรรดาอาณาจักรใกล้เคียง ด้านบนเป็นล้านช้าง ล้านนา ด้านล่างก็ละโว้ อยุธยา จึงรับเอาวัฒนธรรมมาส่งต่อกันด้วยวิธีผจญภัยนี่เอง..!

ถึงเวลาก็ข้ามไปข้ามมาค้าขายกัน อย่างเช่นถึงเวลานายฮ้อยต้อนควายมา มาทำลาบทำก้อยกิน คนเห็น เฮ้ย..อร่อยนี่หว่า..! ก็ทำตาม นี่แค่วัฒนธรรมอาหารอย่างเดียว อย่างอื่นก็แบบนี้เหมือนกัน

พอถึงเวลาก็มีการไหว้ผี มีการไหว้พระ มีการสวดมนต์ คนเห็นสนใจเข้าไปสอบถาม พอเขาบอกเขากล่าวก็ศึกษาเล่าเรียนเอาไว้ ถ่ายทอดต่อ ๆ กันมา ปรับให้เข้ากับบริบท ก็คือความเป็นอยู่ของตน ไม่ได้เอามาทั้งหมด อะไรว่าดีกูเอาด้วย แต่ถ้าหากว่ายากกูไม่เอา เพราะฉะนั้น..วัฒนธรรมแต่ละอย่างก็เลยมีขาดมีเกิน แต่จะเห็นเค้าอย่างชัดเจนว่ามาจากไหน

ทางประเทศอินเดียเขาถือว่าในช่วงนี้เป็นช่วงของความเจริญ ความรุ่งเรือง เขาก็เลยมีเทศกาลสงกรานต์ แต่เป็นการสงกรานต์ด้วยสี เรียกเทศกาลโฮลี ถึงเวลาเอาสีไปไล่สาดกัน น้ำก็ไม่ค่อยจะมีแล้วยังจะไปสาดสีใส่กันอีก คราวนี้จะไปล้างไปเช็ดกันอีท่าไหน ?

ใครอยากเห็นสีที่เป็นสีจริง ๆ ให้ไปดูที่อินเดีย เนปาล แดงคือแดงแปร๊ดแสบตาเลย เหลืองก็เหลืองแจ๊ดไปเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำได้อย่างไร ? แต่บ้านเราทำไม่ได้ ลอง ๆ ไปดู เดิน ๆ ไปในตลาดน่ะ เขามีขาย อาตมาชอบเดินดูตลาด เป็นคนตื่นเช้า ถึงเวลาก็ท่อม ๆ ไปเรื่อย อาศัยความจำดี ถึงเวลาจำได้ว่าต้องกลับทางนี้ ต้องกลับทางโน้น จึงเดินดูไปเรื่อย

บางทีคนอื่นที่เดินทางไปด้วยก็ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรบ้าง แต่ของเราเดินดูไปครึ่งบ้านครึ่งเมืองแล้ว หลงทางก็ถามชาวบ้านเขา ชาวบ้านบอกไม่ได้ก็ถามผี ถามไปถามมา โดนพวกประท้วงว่า "ผมไม่ใช่ผีครับ" เออ..เข้าท่า ทำไมมาหน้าตาธรรมดา ๆ ? มาแบบนี้เราก็นึกว่าผี..ใช่ไหม ? จะเป็นเทพบุตรเทวธิดาก็มาให้หล่อ ๆ สวย ๆ หน่อย หรือกลัวคนขโมยสตางค์ก็ไม่รู้สินะ ?! มาถึงแต่งตัวมาเสียโทรมเชียว คงกลัวว่าจะแปลกแยกจากชาวบ้านเขา

คราวนี้วัฒนธรรมพวกนี้พอมาถึงบ้านเรา บ้านเราน้ำเยอะ แต่สีหายาก ก็เลยมาสาดน้ำแทน โอ้โห..เข้ากับบริบทมากเลย กำลังร้อนอยู่พอดี เรื่องพวกนี้ก็เลยส่งผ่านกันไป ส่งผ่านกันมาแบบนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-04-2025 เมื่อ 02:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 28-04-2025, 23:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แบบเดียวกับที่ญาติโยมหลายท่านตามอาตมภาพไป ไม่ว่าจะขึ้นไปทิเบต ขึ้นไปเนปาล ออกไปทางด้านสิกขิม แคชเมียร์ เลห์ ลาดัก ถึงเวลาเขาจะมีผ้ามาคล้องคอต้อนรับให้ ถ้าเป็นบ้านเราก็คือพวงมาลัยนั่นเอง

แต่ที่บ้านเขาหนาวมาก ปีหนึ่งหนาวถึง ๘ - ๙ เดือน ดอกไม้หายากสุด ๆ เขาก็เลยปรับเอาผ้าที่เป็นของหายาก เพราะว่าทอมากับมือกว่าที่จะได้แต่ละผืน เอามามอบให้กับแขกหรือว่ามาต้อนรับแขก ในลักษณะที่ว่าให้ของดีให้ของแพงแสดงน้ำใจของเจ้าของที่ นี่คือการปรับวัฒนธรรม หาดอกไม้ไม่ได้แล้วจะไปเอาจากไหน ? จึงเปลี่ยนเป็นผ้าแทน บ้านเราหาสียาก สีแพงก็ใช้น้ำแทน

สมัยก่อนเขาไม่เรียกว่าสี เขาเรียกว่า "รงค์" เคยได้ยินไหม ? บางอย่างที่เอามาทำสีได้เขาเรียก "รงควัตถุ" วัตถุสำหรับทำสี เอาง่าย ๆ เลยก็ สีน้ำเงินจากดอกอัญชัน สีส้มจากดอกฝ้ายคำ สีครามจากต้นคราม เป็นต้น

สมัยอาตมภาพเด็ก ๆ ไม่มีคำว่าสีน้ำเงินนะ มีแต่ "สีขาบ" กับ "สีคราม" สีขาบก็คือสีฟ้าเข้มที่สมัยนี้เรียกว่าสีน้ำเงิน สีครามก็คือสีฟ้าอ่อน ส่วนประเภทสีฟ้าน้ำทะเล โอเชียนบลู (ocean blue) หรือสีเทอร์คอยส์ (turquoise) ไม่มี สีพวกนี้ตามฝรั่งมาทีหลัง สมัยนั้นมีแต่สีขาบกับสีคราม สมัยนี้ถ้าเรียกว่าสีขาบเราก็ไม่รู้จัก..ใช่ไหม ?

อย่าง "สีกากี" นี่รู้จักกัน แต่ไม่รู้ว่าสีกากีมาจากไหน..ใช่ไหม ? "กากี" เป็นภาษาเปอร์เซียแปลว่า "สีน้ำตาล" คนไทยพอได้ยินว่าเขาเรียกกากี ก็เรียกกากีตามเขาไปด้วย บ้านเราเรียกสีน้ำตาล

คราวนี้ปวดหัวอีกเพราะว่าน้ำตาลที่กินกันสีขาวจ๋องเลยนี่นา ? แล้วที่เรียกว่าสีน้ำตาลทำไมสีออกมาเป็นแบบนี้ ไม่เป็นสีขาว ? ก็คุณเกิดไม่ทัน สมัยก่อนน้ำตาลไม่ได้ฟอก เขากวนน้ำตาลมาจากอ้อยสีก็เลยออกมาเป็นสีแบบนั้น ดีไม่ดีไหม้หน่อยก็เป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ เป็นสีช็อกโกแลตไปเลย ถ้าหากว่าใครฝีมือดี ๆ หน่อยใจเย็น ๆ ใช้ไฟอ่อน ๆ ค่อย ๆ กวนก็ออกมาเป็นสีน้ำตาลอ่อน นั่นคือสีของน้ำตาลจริง ๆ

ปัจจุบันนี้ที่เห็นเป็นสีน้ำตาลทรายขาว ก็เพราะเขาฟอกสีแล้ว
ถ้ากินเข้าไปเยอะ ๆ พร้อมที่จะเกิดมะเร็ง บอกแล้วว่าอย่าให้ "เล่าความหลัง" คนแก่มีเรื่องให้เล่าเยอะมาก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2025 เมื่อ 01:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 28-04-2025, 23:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สงกรานต์จึงเข้ามาในบ้านเราเมืองเราโดยวัฒนธรรมอินเดีย โดยมักจะมากับพวกนักบวชที่ติดไปกับกองคาราวานทางบกทางน้ำต่าง ๆ ที่เขาเรียกกันว่าพราหมณ์ พวกนี้ส่วนใหญ่มีความรู้มาก ศึกษาจบไตรเพทมา มีฤคเวท ยชุรเวท สามเวท เหล่านั้น

พวกเวททั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ ก็คือคำโคลง คำกลอน ที่เขาไว้สรรเสริญพระเจ้าของเขา เอาไว้สำหรับอ้อนวอนขอความสำเร็จจากพระเจ้าของเขา เขาก็ถ่ายทอดกันเฉพาะในวรรณะของตัวเอง พวกพราหมณ์ก็เลยเป็นเจ้าพิธีกรรม พวกกษัตริย์ก็มีหน้าที่ป้องกันประเทศ รบรากับประเทศอื่น ๆ

พวกไวศยะหรือแพศย์ ซึ่งปัจจุบันนี้มียี่ห้อสินค้าแพศยา นั่นก็คือคำว่าแพศย์ที่แปลว่าพ่อค้า ก็มีหน้าที่ค้าขายนำเอาวัฒนธรรมต่าง ๆ เผยแผ่ไปกับกองเกวียนของตนเอง กองเกวียนสมัยก่อนไปกันแต่ละทีก็ ๒๐๐ เล่มเกวียน ๓๐๐ เล่มเกวียน ๕๐๐ เล่มเกวียน บรรดาพ่อค้าส่วนใหญ่ก็เป็นมหาเศรษฐี เรานึกถึงเกวียน ๑ เล่ม มีคนขับเกวียน ๑ คน คนคอยดูแลวัวดูแลสินค้า ๒ คน ตีว่าเอาแค่นี้ เกวียน ๑ เล่มมี ๓ คน ถ้ามีเกวียน ๕๐๐ เล่มปาไปกี่คนแล้ว ? กองทัพส่วนตัวดี ๆ นี่เอง..!

อย่างธนัญชัยเศรษฐีถึงเวลาย้ายไปอยู่เมืองสาวัตถี ปรากฏว่าขนคนไปสองแสนคน..! แทบจะไปรบราฆ่าฟัน แย่งบ้าน ปล้นเมืองเขาได้เลยนะนั่น..! ยังดีที่ไม่ได้มีนิสัยอย่างนั้น เป็นแค่พ่อค้า ก็เลยทำให้คิดว่าถ้าเข้าไปในตัวเมือง คนอื่นจะเดือดร้อนเยอะ เพราะอยู่ ๆ มีสองแสนคนมาแย่งกันกินแย่งกันใช้

ธนัญชัยเศรษฐีเห็นที่เหมาะ ๆ อยู่ก่อนที่จะเข้าเมือง เป็นที่ว่างกว้างใหญ่มาก จึงกราบทูลถามพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า "ตรงนี้เป็นที่ของใคร ?" แล้วก็ให้เหตุผลว่าถ้าเข้าไปในเมืองจะสร้างความวุ่นวายขนาดไหน ? แต่ถ้าอยู่ตรงนี้จะสะดวกกว่า

พระเจ้าปเสนทิโกศลบอกว่าเป็นที่ของตนเอง สมัยนั้นใช้คำว่า "พระเจ้าแผ่นดิน" คือแผ่นดินทุกตารางนิ้วถ้าไม่ทรงอนุญาต เป็นของพระองค์ทั้งหมด เพราะว่า รบรา ฆ่าฟัน แย่งชิง ป้องกัน มาด้วยตนเอง พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงมอบให้ธนัญชัยเศรษฐี สร้างเมืองสาเกตขึ้นมาเป็นคู่แฝดกับสาวัตถี ไปไกลแล้ว..อยู่เมืองไทยยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย ไปไกลถึงอินเดียแล้ว..!

เวลาไปไหนไม่ค่อยอยากคุยเพราะว่าเหนื่อยอยู่คนเดียว ถึงเวลาไม่มีแรงจะเดินเที่ยว คุณนวลจันทร์ เพียรธรรม ของเอ็นซีทัวร์ ก็มักจะส่งไมค์มาให้ "หลวงพ่อเจ้าคะ เอาเรื่องโน้นหน่อย เอาเรื่องนี้หน่อย" ไม่เอา..ตอนนี้เที่ยวอย่างเดียว เล่ามาก ๆ คนแก่หมดแรง เดินไม่ไหว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2025 เมื่อ 01:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 30-04-2025, 01:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกประมาณ ๔ นาทีพระท่านจะขึ้นอาสน์สงฆ์ กำหนดการคร่าว ๆ วันนี้ คือ ๙ โมงเช้าเป็นการแสดงพระธรรมเทศนา แล้วก็ต่อด้วยการเจริญพระพุทธมนต์ รับถวายภัตตาหารสังฆทาน พออปโลกน์ให้พรเสร็จ ช่วงเช้าของเราก็จบแค่นี้ ไปเริ่มอีกทีตอนเที่ยงครึ่ง เป็นการสวดพระอภิธรรมสะเดาะเคราะห์ และบังสุกุลอัฐิอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

ใครต้องการจะสะเดาะเคราะห์ให้ตนเอง ให้คนอื่น ก็เขียนชื่อเขียนนามสกุลใส่โลงใบน้อยนั้นไป
ถ้าจะให้บังสุกุลอัฐิอุทิศส่วนกุศลแก่ญาติพี่น้อง ก็เขียนชื่อเขียนนามสกุลผู้ที่ล่วงลับไปแล้วใส่โลงเข้าไป ใบเดียวกันนั่นแหละ พอบังสุกุลเสร็จก็จะเอาไปเผา ถือว่าเป็นการตัดเคราะห์ตัดโศก อาศัยแม่พระเพลิง หนึ่งในห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่ช่วยตัดเคราะห์ให้

ห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่มี แม่ธรณี สรรพชีวิตทั้งหมดเกิดบนอกแม่ โตบนอกแม่ ตายบนอกแม่
แม่คงคา ไม่มีสายน้ำช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตไม่รอดสักราย ไม่กินข้าว ๑๔ วันอยู่ใต้ตึกอยู่ได้ แต่ถ้าขาดน้ำนี่ ๗ วันตายแน่
แม่พระเพลิง ให้ความร้อนให้ความอบอุ่น ช่วยทำอาหาร แม้กระทั่งในร่างกายของเราก็ยังช่วยสันดาปย่อยอาหาร กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ขณะเดียวกันก็เผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง

พระพุทธเจ้าบอกมา ๒,๕๐๐ กว่าปี กว่าที่ฝรั่งจะเรียนทันตรงนี้ ฝรั่งเขาเพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานนี้เองว่าออกซิเจนกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นขึ้นได้ แต่ทำลายเซลล์เร็วมาก ใครที่นิยมใช้ออกซิเจนสร้างเอาไว้ในห้องตัวเอง รับประกันได้ว่าตื่นมาหน้าเหี่ยวไม่รู้ตัว เพราะเซลล์ถูกทำลายเร็วมาก ก็คือกระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโตและทำลายร่างกายให้ทรุดโทรมลง นี่คือแม่พระเพลิง

แม่โพสพ ให้อาหาร เครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต
แม่พระพาย ขาดลมหายใจก็ตาย ขาดลมช่วยก็ร้อนมาก ก็ตายอีก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-04-2025 เมื่อ 03:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 30-04-2025, 01:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราอาศัยอำนาจของแม่พระเพลิง หนึ่งในห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่ของเรา ช่วยในการตัดเคราะห์ตัดโศกให้ แต่ความจริงก็คือการสร้างความดีนั่นเอง เพราะว่าเราต้องสมาทานศีล ฟังพระเจริญบทพระอภิธรรม แล้วก็นึกถึงมรณานุสติ พุทธานุสติ หรือว่าอุปสมานุสติ ซึ่งปกติเป็นกรรมฐานที่ใหญ่มาก ทำยาก แต่ว่าช่วงนั้นทำกันง่าย เพราะคิดว่าเป็นพิธีกรรม

ไม่รู้กันว่าโดนหลอกให้กินยา หลอกให้เห็นว่าอร่อย เหมือนสมัยนี้เวลาป้อนยาแมวเขาเอาขนมแมวเลียหุ้มก่อนแล้วค่อยยัดใส่ปากแมว แมวก็กลืนอึ๊ก สมัยก่อนกว่าจะยัดยาเข้าปากได้นี่โดนแมวข่วนลายไปทั้งตัว คราวนี้ก็เลยหลอกให้กินยาด้วยการมาสะเดาะเคราะห์

หลังจากนั้นก็มีการแข่งขันก่อพระเจดีย์ทราย น่าจะไปตัดสินกัน ๔ - ๕ โมงเย็น เดี๋ยวรอดูกรรมการตัดสินนำโดยพระมหาพัฒน์ก่อน ว่าจะตัดสินกี่โมง หลวงพ่อมีหน้าที่ควักกระเป๋า มอบรางวัลให้เท่านั้น พอตอนค่ำของพวกเราก็มาทำวัตรสวดมนต์กัน หมดไปอีกหนึ่งวัน

ตอนช่วงบ่าย ๆ ทางด้านเทศบาลตำบลทองผาภูมิโดยท่านนายกปาล์ม (นายศราวุธ ศรีทันดร) ก็จะส่งคนมารับพระพุทธรูปไปเตรียมขบวนแห่ พรุ่งนี้ไม่เกินเที่ยงครึ่ง น่าจะเคลื่อนขบวนออกมาจากสำนักงานเทศบาลตำบลทองผาภูมิ เพราะฉะนั้น..พรุ่งนี้เป็นวันที่มีโอกาสเปียกแน่นอน

คราวนี้ในเรื่องของแม่คงคา หนึ่งในห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นสรรพชีวิต เขาถือว่าสร้างความชุ่มชื่น สร้างความเจริญงอกงาม ให้ความร่มเย็น บ้านเราก็เลยปรับจากการสาดสีแบบแขกมาสาดน้ำแทน ถือว่าน้ำคือความสะอาด ชำระล้างสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ดีออกไปได้

ในทุกศาสนาเราจะเห็นว่ามีน้ำศักดิ์สิทธิ์ แล้ววิทยาศาสตร์เขาก็พิสูจน์ได้แล้วว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์จริง โดยเอาน้ำมนต์ที่พระเสกแล้วกับน้ำที่ไม่ได้เสกมาจากแหล่งเดียวกัน ตักเวลาเดียวกัน ภาชนะเดียวกัน จำนวนน้ำเท่ากัน เอาส่วนที่เสกแล้วไปแช่แข็งแล้วมาส่องดูโมเลกุล จะเห็นว่าจับตัวเป็นระเบียบสวยงามมาก เหมือนดอกไม้บาน ส่วนที่ไม่ได้เสกแช่แข็งแล้วมาส่องดู เห็นโมเลกุลขาด ๆ วิ่น ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-04-2025 เมื่อ 03:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า 30-04-2025, 01:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หรือไม่ก็การถ่ายภาพออร่า ซึ่งพัฒนามาจากการถ่ายภาพก่อนหน้านี้ที่เรียกว่าเกอร์เลียน ก็คือถ่ายภาพพลังชีวิตของคน ของสัตว์ ของพืช

ตอนแรก ๆ นักวิทยาศาสตร์ทดลองด้วยการตัดใบไม้เป็นสองท่อน แล้วเอาไปถ่ายรูปแบบเกอร์เลียน ปรากฏว่าภาพที่ออกมาเป็นใบไม้เต็มใบ เพราะว่าพลังจากโคนใบยังส่งไปอยู่ ภาพที่ถ่ายออกมาเป็นรูปใบไม้เต็มใบเหมือนเดิม พอนาน ๆ ไปหน่อยพลังขาดช่วงลง แผลโดนปิดแล้ว ก็เหลือภาพใบไม้แค่ครึ่งใบ เขาก็เลยปรับมาถ่ายภาพออร่าในปัจจุบัน เพื่อที่จะศึกษาว่าคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยจะมีออร่าสีอะไร ? บริเวณไหน ? ป่วยด้วยโรคอะไร ? จนป่านนี้ก็ยังมั่วกันอยู่นั่นแหละ..! ทายถูกบ้างผิดบ้าง

เนื่องเพราะว่าบุคคลที่นอกเหตุเหนือผลมีเยอะ ไม่ไปคร่ำครวญอยู่กับอาการเจ็บป่วย ตั้งหน้าตั้งตาสร้างบุญสร้างกุศลพร้อมที่จะตาย ในเมื่อไม่ไปคร่ำไปครวญ อาการเจ็บป่วยที่คนอื่นเห็นก็มีน้อย แม้กระทั่งเครื่องก็ยังโดนหลอกไปด้วย เพราะสภาพจิตเขาไม่ได้ไปกังวลกับความเจ็บป่วย ออร่าที่เปล่งออกมาสดใสกว่าคนปกติเสียอีก..!

ดังนั้น..พวกเครื่องมือวิทยาศาสตร์นี่อีกนาน ยังไม่สามารถจะไล่ทัน อาตมภาพรอดูสมัยพระศรีอริยเมตไตรย เขาบอกว่าคนเกิดมาหน้าตาสวยเหมือน ๆ กันทั้งผู้หญิงผู้ชาย ลงจากบ้านแล้วจำกันไม่ได้เพราะหน้าตาเหมือนกัน กลับขึ้นบ้านเมื่อไรถึงจะจำได้ว่าเป็นคนในครอบครัวตัวเอง

หลวงพ่อสันนิษฐานไว้สองอย่าง อย่างแรกก็คือบุญเป็นตัวกำหนด ในเมื่อสร้างบุญมาใกล้เคียงกัน ก็เลยเกิดมาหน้าตาเหมือน ๆ กัน เหมือนพวกเทวดานางฟ้า ประการที่สอง วิทยาศาสตร์เป็นตัวกำหนด โคลนนิ่งขึ้นมาหน้าตาเหมือนกันหมด แต่คนละจิตวิญญาณกัน อีกประมาณล้านปีเท่านั้น ทนรอพักเดียวก็ได้เห็นแล้ว..! ตอนนี้ขอขึ้นธรรมาสน์ก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-04-2025 เมื่อ 03:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า 01-05-2025, 00:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนสวดพระอภิธรรม สะเดาะเคราะห์ บังสุกุลอัฐิอุทิศส่วนกุศล วันจันทร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๘


ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ โดยปกติทุกวันที่ ๑๔ เมษายน ทางวัดจะมีการสวดพระอภิธรรม ๗ บท และบังสุกุลเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติพี่น้องของทุกท่านที่ได้ล่วงลับไปแล้ว

ในส่วนของพระอภิธรรม ๗ บทนั้นมีอานุภาพมาก ถึงขนาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก พิจารณาว่าเราจะตอบแทนค่าน้ำนมและคำข้าวที่มารดาเลี้ยงดูเรามาอย่างไรถึงจะสมควร ? แล้วก็เห็นว่าพระอภิธรรมทั้ง ๗ บทนั้น เป็นสิ่งที่ทรงค่าที่สุด

พระองค์ท่านถึงได้นำไปเทศน์สอนพุทธมารดาจนบรรลุพระโสดาบัน แล้วยังมีพรหมเทวดาอีก ๘๐ โกฏิบรรลุตามไปด้วย ถ้าหากว่าเราใช้มาตราปัจจุบัน ไม่ไปนับตามมาตราโบราณ ตีง่าย ๆ ว่า สิบล้านเป็นหนึ่งโกฏิ ถ้าเป็นมาตราโบราณเขาจะนับ สิบล้านเป็นหนึ่งตึ่ง สิบตึ่งเป็นหนึ่งตื้อ สิบตื้อเป็นหนึ่งอสงไขย ไม่รู้เรื่อง..ใช่ไหม ? พูดไปเถอะ..ฟังอย่างเดียว..!

พระอภิธรรม ๗ บทจึงเป็นธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วมีผู้บรรลุมรรคผลมากที่สุด

สมัยก่อนแม้แต่ในบ้านเราเมืองเรา ก็ใช้การสวดพระอภิธรรมในงานมงคลต่าง ๆ อย่างเช่นว่างานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ งานทำบุญฉลองอายุ เหล่านี้เป็นต้น แต่ภายหลังเมื่อมีงานพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์พระบรมราชเทวีในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งพระมหาเถระทรงถวายพระอภิธรรม ๗ บทในงานพระบรมศพครั้งนั้น ทำให้ชาวบ้านเห็นเป็นค่านิยมว่าพระอภิธรรม ๗ บทควรที่จะใช้สวดในงานศพ..!

จากเรื่องมงคลจึงกลายเป็นอวมงคล ทำให้เราท่านทั้งหลายไปเข้าใจว่าพระอภิธรรม ๗ บทหรือพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์นั้นมีไว้ใช้สวดเฉพาะในงานศพ ของดีที่สุดก็เลยกลายเป็นของที่คนเกรงกลัวกันไป เพราะว่ามนุษย์และสัตว์มีความกลัวตายเป็นปกติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 22-05-2025 เมื่อ 17:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #28  
เก่า 01-05-2025, 00:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์นั้นมีตัวอย่างก็คือ พระลูกศิษย์พระสารีบุตร แต่เดิมนั้นเป็นลูกชาวประมง ลูกศิษย์ทั้ง ๕๐๐ รูปนี้ พระสารีบุตรรับเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ แล้วไปเรียนถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแสดงพระอภิธรรมถวายพุทธมารดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกว่า ควรที่จะสงเคราะห์ด้วยพระธรรมบทใด ?

องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาแล้ว ย้อนไปในอดีตชาติเห็นว่า ลูกศิษย์พระสารีบุตรในครอบครัวชาวประมงทั้ง ๕๐๐ รูปนี้ ในอดีตเคยเกิดเป็นค้างคาวฝูงเดียวกัน อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีพระไปอาศัยถ้ำแห่งนั้นเป็นที่พักด้วย แล้วพระท่านก็ซ้อมสวดสาธยายพระอภิธรรม ๗ บทเพื่อความจดจำไม่หลงลืม ค้างคาวทั้งหลายฟังด้วยความเพลิดเพลิน ลืมไปว่าตัวเองเกาะห้อยหัวอยู่ เผลอปล่อยเท้าหลุดจากที่เกาะตกลงมาตายหมด..!

ด้วยอานุภาพของการตั้งใจฟังธรรมทั้งที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง รู้อยู่อย่างเดียวว่าพระท่านสวดได้ไพเราะน่าฟัง ยังดลบันดาลให้ทั้งหมดขึ้นไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ เสวยความสุขอยู่จนหมดอายุของความเป็นเทวดา แล้วก็ลงมาเกิดเป็นบุตรชาวประมง เมื่อได้บวชกับพระสารีบุตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงแนะนำว่า "สารีปุตตะ ดูก่อน..สารีบุตร เธอจงนำอภิธรรมทั้ง ๗ บทนี้ไปสาธยายให้ลูกศิษย์ของเธอฟัง"

พระสารีบุตรจึงนำพระอภิธรรม ๗ บทที่พวกเราคุ้นเคยกันดี เพราะพระจะสวดว่า "กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา" เป็นต้น เพียงแต่ว่าเป็นแม่บทของธรรมทั้งหลาย ก็คือกินใจความสำคัญเอาไว้มาก ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มีกรรมเนื่องกันมาแต่อดีต หรือว่าเป็นผู้ที่มีความฉลาดระดับอุคฆฏิตัญญู ที่ฟังแค่หัวข้อธรรมก็รู้ว่าหมายถึงอะไรแล้ว คนอื่นก็จะ
ฟังไม่เข้าใจ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2025 เมื่อ 04:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #29  
เก่า 01-05-2025, 01:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างเช่นว่า กุสะลา ธัมมา ธรรมที่เป็นกุศลนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง ก็ประกอบไปด้วย กายสุจริต ๓ วจีสุจริต ๔ มโนสุจริต ๓

กายสุจริต ๓ ก็คือ ความดีพร้อมทางกาย ๓ อย่าง ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
วจีสุจริต ๔ ก็คือ ไม่โกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดคำส่อเสียดให้คนแตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์
มโนสุจริต ๓ ก็คือ ความไม่โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทผู้อื่น ความไม่โลภอยากได้ของคนอื่น และความมีสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าศีลและธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นเป็นสิ่งดี ควรค่าแก่การปฏิบัติตาม เป็นต้น

อธิบายแค่ย่อ ๆ ยังยาวขนาดนี้ ถ้าอธิบายครบทั้ง ๗ คัมภีร์ พวกเราก็เป็นลมตายกันหมดก่อน..!

พระสารีบุตรนำเอาพระอภิธรรม ๗ บทไปสอนกับลูกศิษย์ทั้ง ๕๐๐ รูป ปรากฏว่ากลายเป็นพระอรหันต์หมดทั้ง ๕๐๐ รูป เนื่องเพราะว่าในอดีต จิตของตนก็ผูกพันอยู่กับพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ มาถึงปัจจุบันวิสัยเดิมความชอบเดิม เมื่อฟังเข้าก็ชอบใจ น้อมนำเอาไปประพฤติปฏิบัติ กลายเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด..!

เราจะเห็นได้ว่า แม้แต่ค้างคาวซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉาน ฟังพระอภิธรรม ๗ บทไม่เข้าใจ แต่อาศัยความเลื่อมใสว่า พระท่านสวดได้ไพเราะน่าฟังอย่างเดียว สภาพจิตเกาะในธรรม คือเกาะความดี ยังไปเกิดเป็นเทวดาด้วยกันทั้งหมด เมื่อมาเกิดใหม่ ได้บวช ฟังพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ซ้ำ กลายเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2025 เมื่อ 04:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #30  
เก่า 02-05-2025, 01:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ญาติโยมทั้งหลายจะได้ฟังพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ในการสวดบังสุกุลอัฐิ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ญาติพี่น้องของท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว เราเองพอจะรู้บ้างว่าสิ่งนี้มีคุณงามความดีอย่างไร ก็ขอให้น้อมจิตน้อมใจฟังด้วยความเคารพเลื่อมใส

ขอพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ ซึ่งเรายึดถือเป็นที่พึ่งที่ระลึก ดลบันดาลให้เคราะห์กรรมทั้งหลาย ที่พึงมีพึงเกิดแก่เรา จงหลุดพ้นไป ซึ่งความจริงเคราะห์กรรมทั้งหลายก็คือความชั่วเดิม ๆ ที่เราทำไว้ทั้งชาติก่อนและชาตินี้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำความชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ทำความดีย่อมได้รับผลดี ไม่สามารถที่จะหักล้างกันให้หมดไปได้

แต่ผู้รู้ท่านเปรียบเอาไว้ว่า ถ้าความชั่วเป็นเหมือนกับเกลือ ความดีเป็นเหมือนกับน้ำจืด ถึงเวลาถ้าเราสร้างความดี ก็คือเติมน้ำจืดลงในภาชนะที่มีเกลืออยู่ ยิ่งเติมลงไปมากเท่าไร รสเกลือก็จืดจางลงไปมากเท่านั้น ความชั่วไม่ได้หายไปไหน รสเกลือไม่ได้หายไปไหน แต่ความดีมากมายจนกระทั่งความชั่วแสดงผลไม่ได้ หรือว่ากรรมนั้นแสดงผลไม่ได้ ตลอดจนกระทั่งความเค็มนั้นแสดงผลไม่ได้

การที่เราท่านทั้งหลายกำหนดจิตกำหนดใจด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือการที่เราท่านทั้งหลายได้ตั้งใจปฏิบัติในพุทธานุสติ..ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในธัมมานุสติ..ระลึกถึงพระธรรม ในสังฆานุสติ..ระลึกถึงพระสงฆ์

แล้วเรายังมีการสมาทานศีลเป็นสีลานุสติ ตั้งจิตตั้งใจฟังพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์เป็นการสร้างสมาธิให้เกิด เพราะเห็นทุกข์เห็นโทษว่า การเวียนว่ายตายเกิดของเรานั้นมีแต่ความทุกข์มาทุกชาติทุกภพ ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้จบการเวียนว่ายตายเกิดลงในชาตินี้ แปลว่าเราปฏิบัติกรรมฐานใหญ่หลายกอง ซึ่งมีอานิสงส์มาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2025 เมื่อ 04:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #31  
เก่า 02-05-2025, 01:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อานิสงส์หรือว่าคุณงามความดีตรงนี้ จึงส่งผลให้เราห่างไกลจากเคราะห์กรรมไปชั่วคราว พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านกล่าวไว้ว่า "เคราะห์กรรมเหมือนกับหมาดุไล่กัดเรา เราสร้างคุณงามความดีเหมือนกับวิ่งหนีหมาไปเรื่อย ถ้าหยุดวิ่งเมื่อไร หมาไล่ทัน เราจะโดนกัดอีก จึงต้องสร้างความดีหนีความชั่วไปเรื่อย จนกระทั่งพ้นจากหมาตัวนั้นไป ซึ่งการพ้นไปได้จากเคราะห์กรรมทั้งหลายมีอย่างเดียว ก็คือกลายเป็นพระอรหันต์เข้าสู่พระนิพพาน"

เราท่านทั้งหลายจึงต้องเข้าใจว่า เคราะห์กรรมไม่ใช่สิ่งที่สะเดาะคือโยนทิ้งไปได้ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถหักล้าง ก็คือไม่สามารถทำให้สูญหายไปได้ แต่เราสามารถสร้างความดีให้มีอำนาจมากกว่า จนความชั่วแสดงผลไม่ได้ เราท่านทั้งหลายก็จะได้พ้นจากเคราะห์กรรมเหล่านั้นชั่วคราว

แล้วก็เร่งปฏิบัติต่อในศีล สมาธิ ปัญญา อย่างที่ได้กล่าวไปเมื่อครู่ก็คือ รักษาศีล เจริญสมาธิ มีปัญญามองเห็นว่า ตัวเราต้องตายแน่นอน ถ้าตายเมื่อไรเราขอไปสู่พระนิพพานที่เดียว ถ้าสามารถรักษากำลังใจเอาไว้อย่างนี้ได้บ่อย ๆ ทุกวัน โอกาสที่ท่านทั้งหลายจะก้าวพ้นจากความทุกข์ก็จะมีขึ้นได้

ลำดับต่อไปขอให้ทุกคนตั้งใจสมาทานศีล แล้วจะได้ฟังพระอภิธรรมกันต่อไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2025 เมื่อ 04:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #32  
เก่า 03-05-2025, 01:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนเทศน์ช่วงเช้า วันอังคารที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๘


การค้นพบกาแฟเป็นไปโดยบังเอิญเหมือนกับการค้นพบใบชา กาแฟต้องบอกว่าค้นพบโดยแพะ ชาวบ้านเอาแพะไปเลี้ยง แล้วสังเกตว่าเมื่อเจ้าแพะกินเจ้าเมล็ดดำ ๆ นี้เข้าไปแล้วจะคึกมาก..!

วันนี้ใครเป็นเวร ? เจ้าหน้าที่เทศบาลจะมาอุ้มพระไปจัดขบวนแห่แล้ว องค์ที่เห็นนี่ขนาดเท่าหลวงพ่อทองคำทุกประการ เขาเรียกหลวงพ่อทองคำองค์ใช้งานจริง หล่อจากเม็ดเงินแล้วก็เคลือบทองด้วยวิธีอีเล็กโตรฟอร์มมิ่ง (Electroforming) เฉพาะค่าเคลือบทองหมดไป ๓ แสนบาท เอาไว้ให้เขาแห่และก็ให้ชาวบ้านสรงน้ำ เพราะว่าของจริงหนักมาก ยกขึ้นยกลงไม่ไหว องค์นี้ขนาดทำด้วยเงินเคลือบทองนะ..ยังหมดไป ๔ ล้านกว่าบาท..!

เลี้ยวกลับมาหากาแฟใหม่ ในเมื่อคนเราก็อยากบ้าง คือเห็นแพะกินเมล็ดกาแฟแล้วคึก ก็เลยลองเอามากินดูบ้าง แต่ว่าแบบธรรมดากินไม่ได้ ก็หาวิธีทุบ หาวิธีบด ท้ายสุดก็มีการเอาไปคั่ว..หอมดี กาแฟก็เลยปรากฏขึ้นบนโลกด้วยประการฉะนี้ เพียงแต่ว่ามาจากอเมริกากลางโน่น แถวโบลิเวีย บราซิล ไม่ได้มาจากบ้านเรา

ปัจจุบันนี้บ้านเราปลูกกาแฟอยู่หลายพันธุ์เหมือนกัน หลัก ๆ เลยก็อาราบิก้า ดอกกาแฟมีกลิ่นหอมมาก ถึงเวลาหน้าดอกกาแฟบาน ใครเดินผ่านสวนกาแฟไม่อยากไปไหนหรอก ขอดมกลิ่นดอกกาแฟก่อน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 24-05-2025 เมื่อ 09:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #33  
เก่า 03-05-2025, 01:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนใบชาคนจีนเขานิยมกินน้ำร้อนมากกว่าน้ำเย็น คราวนี้บรรดาพวกนักเขียน นักกลอน นักกวี เขามีอารมณ์ศิลปิน ก็ไปต้มน้ำร้อนกินกันใต้ต้นไม้ ใบหล่นลงไปตอนไหนไม่รู้ ? ปรากฏว่ากลิ่นและรสดีกว่าปกติ ก็เลยเด็ดเอามาลองต้มเองบ้าง แล้วก็พัฒนาจนกระทั่งมีการคั่วแห้ง กลายเป็นใบชาอย่างที่พวกเราเห็นกันในทุกวันนี้

ใบชาอย่างดีบางชนิด ราคาขีดละหลายหมื่นบาท เนื่องเพราะว่าหายาก สถานที่ปลูกมีน้อย ย้ายที่ไม่ได้ ย้ายแล้วตาย ใบชาทำให้ประเทศเล็ก ๆ หลายประเทศกลายเป็นเมืองขึ้นเขา อย่างแถว ๆ อินเดียตอนเหนือ จะมีอัสสัม สิกขิม ดาร์จีลิงก์ กาลิมปง เหล่านั้นเป็นต้น เพราะว่าพื้นที่เหมาะที่จะปลูกชา

พวกอังกฤษเมื่อขโมยต้นชาจากประเทศจีนได้ ก็ต้องหาที่เหมาะสมนอกประเทศจีนเพื่อที่จะปลูก แล้วส่งไปที่บ้านตัวเอง จึงอาศัยกองทัพอังกฤษเที่ยวไปไล่ยึดพื้นที่เหมาะสม ประเทศเล็ก ๆ เหล่านั้นก็เลยโดนยึดไปเป็นของอังกฤษ

จนกระทั่งอังกฤษถอนตัวออกจากอินเดีย ปล่อยให้ประเทศเหล่านั้นเป็นอิสระ แต่ว่าประเทศพวกนั้นก็ไม่กล้าอยู่ด้วยตัวเอง เพราะเกรงว่าจะโดนประเทศใหญ่กว่ายึดอีก จึงทำข้อตกลงกับอินเดีย ขอเป็นรัฐในอารักขาของอินเดีย อยู่ในลักษณะที่ว่าแบ่งผลประโยชน์ให้ แต่ถ้ามีศึกเสือเหนือใต้มา อินเดียต้องส่งกองทัพไปช่วย

ประเทศเล็ก ๆ เหล่านั้นจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย แต่ไม่ใช่ประเทศอินเดีย อาตมภาพไปแถวนั้นสามวัน เจอตีตราพาสปอร์ตไปแปดดวง ! เพราะว่าแต่ละที่เท่ากับเป็นประเทศของตัวเอง เพียงแต่ว่าอินเดียช่วยดูแลให้ เพราะฉะนั้น..ในเมื่อเป็นประเทศตัวเอง ถึงเวลาการเข้าการออกก็ต้องเป็นไปตามหลักสากล ต้องใช้พาสปอร์ตไปขอวีซ่าผ่านเข้าไป จะเข้าออกวันไหนเขาก็จะตีตราให้

ไปทางนั้นไม่มีอะไร มีแต่ไร่ชา โดยเฉพาะใบชาที่มีชื่อเสียงส่งขายไปทั่วโลก จากประเทศเล็ก ๆ แถวนั้นมีใบชา ๗๐ กว่ายี่ห้อ ! แต่ละยี่ห้อก็คือมหาเศรษฐี เพราะว่าผลิตส่งอย่างเดียว แต่ขอโทษ..อาตมาไปทดลองมาแล้วทุกยี่ห้อ รสชาติสุนัขไม่รับประทาน..! มีอย่างเดียวคือชาขาวดาร์จีลิงก์ รสชาติใกล้เคียงกับชาจีน นอกนั้นเป็นพวกที่เขาเรียกว่าชาดำ ซึ่งเหมาะที่จะเอาไปทำชากะลัมไจ ซึ่งก็คือชานม ไม่ได้เหมาะที่จะเอามาชงกินอย่างของชาจีน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2025 เมื่อ 04:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #34  
เก่า 03-05-2025, 01:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครไปเจอชาอินเดีย ถ้าไม่ได้ชิมก่อนอย่าซื้อ รสชาติเหมือนแมงกระแท้ลวกน้ำร้อน..! กลิ่นฉุนมาก แต่ถ้าหากว่าใส่นมใส่เนยใส่น้ำตาลลงไปก็จะอร่อย แต่ถ้าลำพังชงน้ำเปล่าอย่าไปกินเลย เสียลิ้นเปล่า ๆ อาตมาซื้อเอาใจทัวร์แค่นั้นแหละ..! ทำเป็นว่าอยากได้นักหนา หมดไปพันกว่ารูปี ซื้อให้ไกด์มีกำลังใจว่า พามาเข้าร้านแล้วขายของได้ เอากลับมาก็ไล่ถวายพระไปหมด เพราะว่าตัวเองกินไม่ไหว ทำตัวเป็นคนมีน้ำใจ ไปต่างประเทศเอาของฝากมาให้ "มึงทนกินไปก็แล้วกันนะ..กูพอแล้ว" ว่าอย่างนั้นเถอะ..!

คราวนี้คนจีนพอกินชาก็เลยมีการค้าขาย มีการส่งขาย โดยเฉพาะเส้นทางหลักเลยก็คือจากเฉิงตูขึ้นไปลาซา เฉิงตูอยู่ในมณฑลเสฉวนของประเทศจีน อยู่ภาคกลางค่อนมาทางตะวันตกของจีน ต้องเดินขึ้นเหนือทะลุไปถึงลาซา ใช้เวลาเดินทางหนึ่งปี..! ก็แปลว่าถ้าใครไปกับคาราวานค้าขายโบราณของคนจีนยุคนั้น ออกจากบ้านทีอีกสองปีค่อยเจอกัน ถ้าเมียตั้งท้องอยู่กลับมาลูกก็พูดได้แล้ว..! เด็กจะจำได้หรือเปล่าว่าพ่อคือคนไหน ?

คราวนี้ปรากฏว่าหนทางยากลำบากมาก นอกจากผ่านป่าผ่านเขา ยังต้องเจอทั้งฝนทั้งหิมะ กว่าที่จะหลุดขึ้นไปได้ถึงลาซา ถึงมองโกเลีย ปรากฏว่าถุงใส่ชารั่ว น้ำฝนเข้าไปตอนไหนก็ไม่รู้ ?


ถึงเวลาเอาออกมาจะขาย ใบชากลายเป็นก้อนเลย สันดานพ่อค้าเอามาแล้วไม่ยอมขาดทุนหรอก ต้องหาทางขายจนได้ พอพวกลูกค้าที่ไม่รู้จักของถามว่า "อะไร ?" ก็บอกว่า "เป็นชาหมัก เป็นของดี คนรวยในเมืองเขากินกัน พวกเอ็งไม่มีโอกาสหรอก นี่ข้าอุตส่าห์เอามาโดยเฉพาะเลยนะ..!" เจ้าพวกนั้นก็เลยอยากกินบ้าง

แต่พ่อค้าฉลาด บอกต่อว่า "กินเฉย ๆ ไม่อร่อยหรอก ให้ต้มกับนมแพะ ใส่เกลือใส่เนยลงไปด้วย" โอ้โห..คราวนี้พอกลิ่นใบชาออก จากของห่วยที่ขายไม่ได้ กลายเป็นน่ากินมาก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2025 เมื่อ 04:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #35  
เก่า 03-05-2025, 21:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ใครไปแถวนั้นถ้าเขาเลี้ยงชานม จงกินซะดี ๆ ถ้าหากว่าชานมแถวอินเดียแถวเนปาลก็จะใส่นมวัวนมควาย ถ้าหากว่าชานมแถวมองโกเลีย แถวทิเบต ถ้าไม่ใส่นมจามรีก็นมแพะ ขอยืนยันว่าอร่อยนะ..!

ตอนที่อาตมาไป วัดที่นั่นเขาเลี้ยง คือโดยประสาคนไทยไปเที่ยววัดแล้วก็ชอบทำบุญ คราวนี้ด้วยความที่ไม่มีแบงค์ย่อย ก็เลยหยอดตู้คนละร้อยหยวน..ร้อยหยวน..ร้อยหยวน โห..คณะตั้ง ๒๐ - ๓๐ คน เล่นเอาพระเจ้าตกใจกันหมด มหาเศรษฐีมาจากไหนกัน ? เขาก็คงอยากจะผูกใจเอาไว้ ก็เลยขอเลี้ยงชานมคณะของเรา..!

อาตมานั่งอยู่ก็จะมีถาดอยู่ตรงหน้า เอาถ้วยวาง แล้วก็มีคนเทชานมใส่ ทุกคนก็อยู่ในลักษณะนั้น นั่งอยู่ตรงนั้นพักเดียวตรงหน้าอาตมามีชา ๕ - ๖ ถ้วย คือพวกที่ไม่กล้ากินก็เอามาถวายพระเอาบุญ พระก็เลยฉันท้องกางอยู่คนเดียว..!

ไปไหนอย่าไปรังเกียจของเขา โดยเฉพาะถ้าหากว่าไปบ้านจีนฮ่อ ถ้าเขาเรียกให้กินอะไรให้รีบกินไว้ก่อนเลย ตะกายเข้าไปกินก้นครัวได้ยิ่งดี เขาถือว่าสนิทกันมาก ต่อไปสามารถไปกินไปนอนได้ทุกบ้านเลย แต่ถ้าไปทำท่ารังเกียจของเขานี่ คราวหน้าเขาไม่ให้เข้าบ้านหรอก..!

พวกกะเหรี่ยงก็เหมือนกัน ยกอะไรมาให้ เราก็ตั้งหน้าตั้งตากินไปเถิด อันไหนกินไม่ได้ก็แตะน้อยหน่อย อันไหนกินได้ก็กินเยอะหน่อย เขาจะดีใจมากเลยว่า แขกชอบข้าวปลาอาหารบ้านเขา เต็มอกเต็มใจที่จะกิน ถ้าลักษณะอย่างนั้นต่อไป มีของดีเท่าไรเขาก็เอามาให้เราหมด..!

ความจริงอาตมาเป็นคนขี้หนาว วันนั้นไปเจอหิมะรู้สึกเฉยมาก เพราะว่าโดนชานมไป ๖ - ๗ แก้ว ไม่ใช่นมเฉย ๆ เขาใส่เนยลงไปเป็นก้อนเลย กลับเมืองไทยมากลายเป็นหนุ่ม..สิวขึ้นหน้าเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2025 เมื่อ 04:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #36  
เก่า 03-05-2025, 21:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วัฒนธรรมประเพณีเกิดการส่งผ่าน ที่ว่ามานี่ส่งผ่านจากเมืองจีนก็คือเฉิงตู ขึ้นไปลาซาของทิเบต ออกไปมองโกเลีย จากมองโกเลียทะลุไปรัสเซีย พอถึงเวลาคนเขาข้ามไปข้ามมาอยู่แถวนั้น ใครมีอำนาจก็ปกครองไป ชาวบ้านเขาไม่สนใจหรอก อย่ามารีดภาษีมากมายนักก็พอทน ยอมให้ปกครองไป

เพราะฉะนั้น..ใครไปเที่ยวเมืองฮาร์บิน จะเห็นผู้หญิงผู้ชายหน้าตาแปลก ๆ เหมือนฝรั่ง นั่นคือพวกคอเคเชียน (Caucasian) เป็นเชื้อสายรัสเซีย

คนในโลกนี้อย่างง่าย ๆ แบ่งเป็น
มองโกลอยด์ (Mongoloid) ผิวเหลือง
นีกรอยด์ (Negroid) ผิวดำที่เราเรียกว่านิโกร
คอเคซอยด์ (Caucasoid) ผิวขาว

ไม่ต้องไปแยกเยอะ แยกแล้วประสาทกิน เพราะว่าบางพวกที่เขาอยู่ไปจนกระทั่งกลมกลืนกับพื้นถิ่นแล้ว แบบนั้นแยกยาก เราเองอาจจะสงสัยว่าทำไมพวกแขกไปก่อวินาศกรรมในอเมริกา ในยุโรป ได้สบาย ๆ ก็เพราะว่าหน้าตาเหมือนกันมาก มีตาสีฟ้า มีตาสีเขียว สมัยก่อนคนจีนเรียกพวกนี้ว่า "เซ่อมู่" ก็คือพวกตาสี ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกตุรกี พวกรัสเซีย พวกเปอร์เซีย พวกอิหร่าน

อิหร่านก็คือเปอร์เซีย พวกนี้บางคนก็เรียกว่าแขกขาว หน้าตาเหมือนฝรั่ง แต่ว่าผมดำ ตาสีเขียว ตาสีฟ้า เวลาเข้าไปทางฝั่งประเทศตะวันตก ก็จะไม่ผิดแผกแตกต่างกัน ถ้าไม่เอ่ยปากพูดก็คิดว่าเป็นพวกเดียวกัน

มีโอกาสก็ไปดูบ้าง โดยเฉพาะที่ปากีสถานมีหมู่บ้านฮุนซ่า (Hunza) อาตมาได้ยินแล้วหัวเราะ บ้านนี้มาจากภาษาสันสกฤตว่าหรรษา พอเขียนเป็นภาษาอังกฤษเลยอ่านว่าฮุนซ่า ภาษาเพี้ยนไป อยู่แถว ๆ นั้นถ้าไม่มีผีช่วยบอกนี่ประสาทจะกิน..!

ถึงเวลาเขาพาไปเที่ยว ภูเขานี้ชื่อนังกาปาร์บัต (Nanga Parbat) ถามผีว่า "อะไรวะ ?" ผีถามว่า "เอาภาษาไทยไหมครับ ?" ตอบไปว่า "เอา" ผีบอกว่า "นาคบรรพต" แต่พอเขียนแบบฝรั่ง ออกเสียงแบบพื้นเมือง กลายเป็นนังกาปาร์บัต
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2025 เมื่อ 04:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #37  
เก่า 03-05-2025, 22:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ไปเนปาลขึ้นไปอุทยานนากาก็อต (Nagarkot) ถาม "เจ้าแม่น้ำพริกสละ" ว่า "คืออะไร ?" เจ้าแม่บอกว่า "นาคขนด" เป็นภาษาที่เราฟังรู้เรื่อง แต่ต้องให้เขาชี้แจงหน่อย ถ้าเขาไม่ชี้แจงก็ฟังไม่รู้เรื่อง

ลงไปที่ธารน้ำแข็งฮอปเปอร์ (Hopper Glacier) โอ้โห..ตัวอะไรวะ ! ถ้าหากว่าเป็นฝรั่งคงบอกว่าเป็นพญางูยอร์มุนกัน (Jormungandr) คือฝรั่งเขาเชื่อว่ามีพญางูขดล้อมโลกอยู่ ส่วนคนไทยเชื่อว่าโลกตั้งอยู่บนหลังปลาอานนท์ เมื่อวานปลาอานนท์ก็ขยับตัวแถว ๆ นี้นะ..รู้เรื่องกันหรือเปล่า ? ตอนทุ่มกว่า ๆ ไม่รู้เรื่องเลย..ใช่ไหม ? แผ่นดินไหวที่ท่าขนุน ๒.๔ ริกเตอร์ อาตมาก็ "เออ..แค่แกว่งนิดหน่อย" พอไปเจอหนัก ๆ เข้าแล้ว แค่นี้ก็เรื่องเล็ก ไมค่อยรู้สึก

ปรากฏว่าตัวนั้นเป็นเจ้าถิ่น ประเภทนั้นเขาเรียกว่ากาลกัญจิกอสุรกาย เขาแสดงให้เห็นอยู่ในลักษณะของงูใหญ่ ตัวดำเมี่ยมเลย อยู่ตามเทือกเขาเป็นแนวยาวไป แนวภูเขาที่เขาเรียกว่า คาราโครัม (Karakoram) แล้วอีกเส้นหนึ่งก็เป็น ฮินดูกูช (Hindu Kush) มาชนกัน

คำว่า คาราโครัม ฟังดูแล้วก็ไม่รู้เรื่องว่าแปลว่าอะไร ถ้าภาษาไทยก็ โครม ๆ คราม ๆ นั่นเอง เพราะว่าหินถล่มทุกวัน อาตมาไปก็เจอเข้าเต็ม ๆ แต่ไม่โดนตรงที่นั่งหรอก ไปโดนตรงป้ามอย (นางสา่วมณีวรรณ สัมฤทธิ์) นั่ง ถึงเวลาหินก็ถล่มกรูลงมา..หลบให้ทันนะ..! พอดีของเราอยู่ไม่ไกลอุโมงค์ มุดเข้าไปทัน แถวนั้นหินถล่ม น้ำแข็งถล่มเป็นปกติ เจ้านั่นขี้จั๊กจี้ รำคาญตรงไหนขยับหน่อยเดียวก็ถล่มแล้ว..!

ดังนั้น..ใครไปเที่ยวทางคาราโครัม กรุณาทำประกันชีวิตไว้ด้วย โอกาสรอดมีน้อยมาก ตอนอาตมาไปน่าจะเป็นช่วงพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงหน้าร้อน พอฝนเริ่มตกคนขับรถเบรคแล้ว..กูไม่ไปแล้ว..! เขาบอกว่าถ้าฝนตกหินจะถล่มง่าย เพราะว่าเวลาน้ำไหลจะพาหินลงมาด้วย ทางทัวร์เขาก็หันมาถามว่า "ท่านอาจารย์เอาอย่างไร ?" อาตมาก็บอกว่า "ไปต่อ" อาตมาเป็นคนถือคติว่า "ถ้าขึ้นหน้าตาย ถอยหลังก็ตาย กูขึ้นหน้าอย่างเดียว..!" ขึ้นหน้าไปตายเขายังชมว่าเรากล้า หรือเขาชมว่าเราโง่ก็ไม่รู้นะ ? ถ้าถอยหลังมาตายเขาจะว่าเราขี้ขลาด..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2025 เมื่อ 04:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #38  
เก่า 03-05-2025, 22:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ปรากฏว่ายังไม่ทันไรเลย "อะไรหว่า..บินว่อนไปหมดทั้งท้องฟ้า ?" มองไปมองมา อ้าว..หิมะ..หิมะตกหน้าร้อน..! พอหิมะตกไกด์ค่อยสีหน้าดีขึ้น บอกว่า "สโนว์ โอเค เรน น็อท โอเค (snow okay, rain not okay)" คือถ้าหิมะตกไม่เป็นไร..ไปได้ เพราะหิมะจะคลุมหินเอาไว้ไม่ให้ตกลงมา แต่ถ้าเป็นฝน น้ำจะไหลลงมาพาหินลงมาด้วย

สรุปก็คือพวกเราไปเล่นหิมะหน้าร้อนกันสนุกครึกครื้น อาตมาก็ไม่ได้นึกว่าจะตกท่วมท้นขนาดนั้น เดินลงจากข้างถนนลงไป เสียงดังสวบ..ถึงเอวพอดี..! ก็เลยนั่งให้เขาถ่ายรูป

เรื่องอะไรจะไปบอกว่าเราเผลอหล่นลงไป..! ของแบบนี้ต้องรู้จักวางฟอร์มบ้าง แต่ถ้าหิมะตก ลมแรง ๆ นี่ไม่ค่อยดี หิมะเข้าหัวหูหน้าตาไปหมดแล้ว แถวนั้นพื้นที่สูงมาก ๔ พันกว่าเมตร อากาศไม่พอหายใจ

ไกด์เขาก็บอกว่า "อย่าวิ่ง อย่าตะโกน อย่าหัวเราะ เดินช้า ๆ" อะไรที่เขาห้ามเราทำหมด..! สรุปว่าไกด์นอนกอดถังออกซิเจน ไปไหนไม่ได้ เพราะอากาศไม่พอหายใจ ส่วนลูกทัวร์ลงไปนอนกลิ้ง วิ่งบนหิมะกันสนุกสนาน ก็ต้องยอมรับนะว่า บางอย่างเทวานุภาพนี่ช่วยได้จริง ๆ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2025 เมื่อ 04:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #39  
เก่า 04-05-2025, 22:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

๐๘.๔๐ น. แล้ว อีก ๕ นาทีพระจะขึ้นอาสน์สงฆ์ ใครจะใส่บาตรก็ใส่ให้เรียบร้อย วัดท่าขนุนไม่มีนะ ที่พอพระขึ้นพาหุงฯ แล้วค่อยมาใส่บาตร ตอนนั้นเราฟังพระเทศน์ ฟังพระสวดอยู่ จิตใจกำลังสงบ ไม่รู้ใครเป็นต้นกำเนิดที่ให้พอถึงเวลาพระสวด พาหุงสะหัสฯ ก็ลุกพรวดพราดไปใส่บาตรกัน กำลังใจที่กำลังดี ๆ ก็หลุดหายหมด..!

การทำบุญของพวกเราถึงเวลาจิตใจสงบเท่าไร บุญก็ได้มากเท่านั้น พอถึงเวลาแตะขีดสูงสุด..ติ๊ง พระภูมิเจ้าที่ก็จะจดเอาไว้ เขาไม่ดูหรอกว่าตอนต่ำสุดเท่าไร แต่ตอนสูงสุดนี่จดให้ ต้องบอกว่าเห็นแก่พรรคพวกสุด ๆ..!

ความเชื่อบางอย่างของคนก็บ้า บอกว่าถ้าพระสวดพาหุงฯ แปลว่าหุงข้าวได้แล้ว ไปเชื่อเขาสิ..ถ้าหุงตอนนั้นมันจะทันแดกหรือพ่อคุณ..! อาตมาอยู่ที่ท่าขนุนนี่ ด่ามาหลายปีกว่าที่จะเลิกลุกไปใส่บาตรกัน อยากจะใส่ก็ใส่ให้เสร็จไปก่อนเลย ไม่ใช่ตอนฟังพระสวดกำลังใจทรงตัวอยู่ดี ๆ ดันลุกพรวด กำลังจะแตะเกณฑ์สูงสุดให้เขาจดเสียหน่อย ดันหล่นพลัวะ..หายไปเลย..!

บางอย่างอาตมาพูดนี่มาจากความเป็นจริงนะ เพียงแต่ว่าพูดเล่นจนพวกเราไม่รู้ว่าอันไหนจริงอันไหนเล่นแล้ว ถึงเวลาพระภูมิเจ้าที่ท่านจดความดี ท่านจดตอนดีที่สุดนะ ตอนดีที่สุดของเราถ้าเยอะหน่อย เทวดาก็จะรื่นเริงบันเทิงใจว่า จะมีพรรคพวกมาเกิดกับเขามาก แต่ถ้าหากว่าตอนดีที่สุดมีนิดเดียว ก็แทบจะนั่งร้องไห้ "น้ำตาจิไหล" กัน ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครจะใส่บาตร ก็ใส่ให้เรียบร้อยไปก่อนเลย

วันนี้เป็นการทำบุญสงกรานต์วันสุดท้าย พรุ่งนี้พวกเราก็จะเจริญพระกรรมฐานตอนเช้ามืด พระออกบิณฑบาตตามปกติ ใครจะใส่บาตรในตลาดก็ไป แต่โปรดอย่าซื้ออาหารสดมาก เพราะว่าช่วงปฏิบัติธรรม ทางวัดของเราจัดเตรียมอาหารให้อยู่แล้ว ถ้าไปซื้ออาหารสดมากแล้วเก็บไม่ได้ ต้องเสียเวลาไปไล่แจกชาวบ้านเขา

กลับมา
แล้วก็จะเจริญภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ ก่อนที่จะปิดโครงการ ปล่อยกลับบ้าน ถ้าใครฉลาดก็นอนอยู่วัดอีกครึ่งวัน รอใกล้ ๆ ค่ำแล้วค่อยเดินทางกลับ พวกที่ออกตั้งแต่หลังเพลก็ไปถึงบ้านเวลาพอ ๆ กับเรานั่นแหละ เรานอนกลิ้งไปเสียก่อน ๔ - ๕ ชั่วโมงแล้วค่อยไป ก็ไปทันกับเขาที่รถติดอยู่ ไม่ได้พูดเล่นนะ..นี่พูดจริง ๆ เพราะว่าเห็นอย่างนี้มาแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2025 เมื่อ 04:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #40  
เก่า 04-05-2025, 22:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,633
ได้ให้อนุโมทนา: 158,514
ได้รับอนุโมทนา 4,488,313 ครั้ง ใน 36,242 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การทำบุญในพระพุทธศาสนาของเรา การให้ทานถือว่าเป็นพื้นฐาน อานิสงส์ของทานก็คือเกิดชาติใหม่เป็นบุคคลที่สมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ ข้าวของเครื่องใช้ ข้าวปลาอาหาร สมบูรณ์บริบูรณ์

แล้วเพิ่มขึ้นไปสิ่งที่ยากขึ้นคือการรักษาศีล อานิสงส์ของศีลเกิดใหม่กี่ชาติก็จะมีรูปสวย มีจิตใจที่ดีงาม เป็นสมบัติที่ทำให้เราได้เกิดเป็นคน จนหลายท่านกล่าวว่าศีล ๕ คือมนุสสธรรม คือธรรมที่ทำให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วยังเป็นพื้นฐานให้เกิดเป็นพรหมเป็นเทวดา ยังเป็นเบื้องต้นของการส่งผลให้เราพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

หลังจากนั้นก็เป็นการภาวนา ที่เราเข้าใจว่าต้องนั่งหลับตานั่นแหละ ความจริงภาวนาอิริยาบถไหนก็ได้ ใส่สติลงไปเฉพาะหน้าก็เป็นการภาวนาทั้งหมด จะขุดดิน ฟันหญ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า รีดผ้า อะไรก็ตาม ถ้าสมาธิจดจ่ออยู่ตรงหน้า สติอยู่ตรงหน้าถือว่าเป็นกรรมฐาน เรื่องพวกนี้จะช่วยให้เรามีกำลังใจที่เข้มแข็งเข้มข้น เป็นคนเด็ดขาด ตัดสินใจง่าย มีปัญญามาก มีปัญหาทางโลกก็แก้ไขให้ล่วงไปได้โดยง่าย มีปัญหาทางธรรมก็พินิจพิจารณาได้ถ่องแท้

คราวนี้พวกเราที่มาส่วนใหญ่ก็ใส่บาตรคือทาน อีกสักครู่เราจะมีสมาทานศีล ตอนที่ฟังพระเทศน์ฟังพระสวด ใส่ความตั้งใจฟังเข้าไปก็เป็นภาวนา เราก็จะได้อานิสงส์ครบทุกอย่าง เพียงแต่ว่าถ้าเป็นไปได้ให้พยายามทำเอาไว้ทุกวัน ถึงเวลาอานิสงส์ส่งผลเราก็จะได้รับต่อเนื่องตามกัน ไม่ใช่ทำบ้างทิ้งบ้าง ถึงเวลาก็ดีบ้างชั่วบ้าง แล้วก็จะมาบ่นว่า "ทำบุญมาตั้งเยอะ ไม่เห็นบุญจะช่วยเลย" ก็ช่วยไปจนหมดแล้ว เอ็งยังไม่ทันจะทำใหม่เลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2025 เมื่อ 04:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:27



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว