#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ อากาศที่เมืองธรรมศาลาช่วงเช้าอยู่ที่ ๑๗ องศาเซลเซียส
เมื่อวานนี้ที่ร้านอาหารนั้น พวกเราได้ฉันและรับประทานกันอิ่มหนำสำราญมาก ข้าวปลาอาหารที่เขานำมาให้พวกเรา เป็นเพราะว่ารู้ว่าพวกเรามาจากเมืองไทยหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ? ถ้วยแรกก็คือ "ต้มยำกุ้ง" แต่เขาทำมารสอ่อน จนกลายเป็นซุปสำหรับกินก่อนอาหารมื้อหลัก ในส่วนอื่น ๆ ก็ยังมี "ยำมะละกอ" ซึ่งก็คือ "ส้มตำ" ของบ้านเรานั่นเอง คาดว่าเป็นการศึกษาจากยูทูบ หรือว่าเห็นคนอื่นเขาทำแล้วทำตาม ดังนั้น..ส้มตำจึงมีเครื่องขาด ๆ เกิน ๆ โดยเฉพาะรสชาติยังห่างไกลจากบ้านเรา ๘๔,๐๐๐ ลี้เป็นอย่างน้อย..! แต่กระผม/อาตมภาพก็กวาดจนหมดเกลี้ยง เนื่องเพราะว่าเป็นผัก ซึ่งตนเองนั้นถนัดในเรื่องฉันผักผลไม้มากกว่า อาหารหวานนั้นมี "กุหลาบจามุน" ซึ่งเป็นของหวานขึ้นชื่อของทางประเทศอินเดีย แต่พวกเราส่วนหนึ่งซึ่งเกรงความหวานกัน จึงพยายามที่จะหลีกเลี่ยง โต๊ะของกระผม/อาตมภาพซึ่งมีพระอยู่ ๔ รูป ก็คือมีหลวงพ่อนิล (พระครูวินัยธรธวัชชัย ชาครธมฺโม) ประธานที่พักสงฆ์อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จังหวัดสกลนคร ท่านพันแสน (พระอธิการธรรมชัย อคฺคธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดศิลาวาส (ปิงโค้ง) จังหวัดเชียงใหม่ แล้วก็พระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ผศ., ดร. เจ้าอาวาสวัดอุทยาน จังหวัดนนทบุรี จึงได้สั่งกุหลาบจามุนมาแค่ ๒ ถ้วย ซึ่งก็มีถ้วยละลูกเดียวเท่านั้น ทำการแบ่งครึ่งกันอย่างยุติธรรม มีเสียงฉันไปบ่นไปว่า "หวานตัดขากันเลย..!" เมื่ออิ่มแล้ว พวกเราก็ได้เดินทางออกจากรัฐปัญจาบ มุ่งหน้าไปทางรัฐหิมาจัลประเทศของอินเดียตอนเหนือ การเดินทางในช่วงแรกก็ยังไม่กระไรนัก แต่พอมาหยุดทำหนังสือเพื่อผ่านรัฐเข้าไป หนทางก็เริ่มคดเคี้ยวขึ้นเขา จากจุดประมาณพักกึ่งกลางทาง ที่พวกเราแวะเข้าห้องน้ำและเติมกาแฟกันสำหรับบางคนแล้วนั้น หนทางต้องบอกว่าเละเทะมากเป็นพิเศษ เนื่องเพราะว่ารัฐบาลอินเดียพยายามที่จะเร่งรัดสร้างหนทางในรัฐชายขอบนี้ ให้มีสาธารณูปโภคที่สะดวกสบาย แต่การก่อสร้างไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเป็นโครงการ ๗ ชั่วโคตรแบบถนนพระราม ๒ บ้านเราหรือไม่ ? ทั้ง ๆ ที่ขึ้นเขาลงห้วย แล้วยังมีการก่อสร้างแบบนี้เข้าไปอีก จึงทำให้รถไม่สามารถที่จะทำความเร็วได้ แถมยังกระแทกกระทั้นกันไปโครม ๆ อีกต่างหาก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 05:20 |
#3
|
||||
|
||||
![]()
ผู้ที่กระผม/อาตมภาพห่วงเป็นอันดับแรกเลยก็คือคุณยายเล็ก (นางภัทริน จันทรนิภาพงศ์) ผู้ชราคู่บุญขงคณะทัวร์ของเรา เพราะว่าอายุถึง ๘๓ - ๘๔ ปีเข้าไปแล้ว ที่ห่วงรองลงไปก็คือคุณเอ (นายฉัตตริน เพียรธรรม) กรรมการผู้จัดการบริษัทเอ็นซีทัวร์นั่นแหละ เพราะว่าเป็นหวัดงอมแงมมาเลย แล้วแถมยังร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรงนักอีกด้วย
ส่วนอื่น ๆ นั้นก็คือพระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ผศ., ดร. นั่นเอง อายุเพิ่งจะ ๓๐ กว่าไม่ทันจะ ๔๐ ปี ดูจากร่างกายแล้ว สูงใหญ่แข็งแรงดีมาก แต่ปรากฏว่าภายในนั้นกรอบยิ่งกว่าตึก สตง.ที่เพิ่งจะถล่มไปเสียอีก โรคโน้นก็เป็น โรคนี้ก็เป็น แทบจะไม่แบ่งปันให้คนอื่นเขาเลย ในเมื่อไปรวบรวมเอาสารพัดโรคเอาไว้คนเดียว มาเจอถนนหนทางแบบนี้ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะไหวหรือไม่ไหว ? อีกรายหนึ่งก็ "ไอ้อ้วน" ของกระผม/อาตมภาพ (นางสาวดวงฤทัย ตั้งวรกุลกิจ) ซึ่งแฟนสุดที่รักยอมปล่อยให้เดินทางมากับคณะได้ "ไอ้อ้วน" ของเราก็เป็นบุคคลสารพัดโรคเหมือนกัน โดยเฉพาะโรคไมเกรนที่ทนเสียงดังและทนแสงสว่างมาก ๆ ไม่ได้ เมื่อมาเจอการบีบแตรแบบไม่ยั้งของพลขับอินเดียเข้า ไม่ทราบเหมือนกันว่า "ไอ้อ้วน" จะไมเกรนกำเริบหรือเปล่า ? ส่วนคนอื่น ๆ ก็คงพอที่จะประคับประคองกันไปได้ตามอัตภาพ พวกเราขึ้นเขาลงห้วย เขย่ากันจนตับทรุด กว่าที่จะมาถึงเมืองธรรมศาลา แล้วก็ต้องมาเปลี่ยนเป็นรถตู้ ๒ คัน ซึ่งเรียกกันว่า "รถเท็มโป้" คันที่ ๑ ซึ่งกระผม/อาตมภาพนั่งอยู่นั้น เขาไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศให้ ไม่ทราบเหมือนกันว่าคันที่ ๒ ได้เปิดหรือเปล่า ? เหตุที่ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศนั้น เพราะว่าต้องอาศัยกำลังในการวิ่งขึ้นเขา ไม่น่าเชื่อว่าจากจุดที่เราจอดถ่ายรถ ซึ่งรถใหญ่ทุกคันต้องมาจอดรวมกันอยู่ที่นี่ แล้วเปลี่ยนเป็นรถตู้ขึ้นไปบนยอดเขานั้น เราต้องใช้เวลาในการวิ่งขึ้นเขาเกือบชั่วโมงทีเดียว เพราะว่าหนทางคับแคบ นอกจากต้องระวังรถที่วิ่งสวนลงมาแล้ว ยังต้องระวังคนที่เดินแบบไม่หลบรถอีกด้วย..! กว่าที่จะขึ้นไปถึงโรงแรมที่พักของเรา ก็เล่นเอาหมดสภาพไปตาม ๆ กัน กระผม/อาตมภาพนั้นหน้าก็ไม่ล้าง น้ำก็ไม่อาบ บอกกับคุณเอว่าห้ามใครรบกวนเด็ดขาด วันนี้ใครมาเคาะประตูจะมีการฆาตกรรมอย่างแน่นอน..! แล้วก็มุดเข้าใต้ผ้าห่มหลับไปเลย ตื่นขึ้นมาในช่วงเช้ามืด เข้าไปตรวจแก้บันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เพื่อให้ข้อความลื่นไหลอ่านสะดวกแล้ว ก็มาเตรียมปัจจัยไทยธรรมเพื่อถวายสักการะองค์ดาไลลามะ ซึ่งประกอบไปด้วยวัตถุมงคลเป็นพระพุทธรูปเลี่ยมทองประดับเพชร ๑ องค์และเงินสด ๑๐,๐๐๐ รูปี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 05:25 |
#4
|
||||
|
||||
![]()
การที่จะได้พบกับองค์ดาไลลามะนั้น เป็นความตั้งใจหรือว่าเป้าหมายหลัก ของการเดินทางมาอินเดียในครั้งนี้ของกระผม/อาตมภาพเลย เนื่องเพราะว่าความผูกพันกันมาแต่อดีตประการหนึ่ง การที่พระองค์ท่านมีพระชนมายุมากจนปลงอายุสังขารแล้วอีกประการหนึ่ง ถ้าไม่มากราบในครั้งนี้ โอกาสที่ชีวิตนี้จะได้เจอพระองค์ท่าน "เป็น ๆ" ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ จะให้ไปรออวตารของพระองค์ท่านอีกที กระผม/อาตมภาพก็อาจจะมรณภาพเสียก่อน..! จึงได้ตั้งอกตั้งใจมามากเป็นพิเศษ แม้เขาว่าจะได้อยู่ใกล้แค่วินาที ๒ วินาทีก็ตาม..!
ดังนั้น..ในเรื่องของการเดินทางมา ท่านทั้งหลายอาจจะมีจุดมุ่งหมายต่าง ๆ กันไป แต่สำหรับกระผม/อาตมภาพแล้ว ถือว่าการที่ได้มากราบสักการะองค์ดาไลลามะ เป็นจุดสำคัญที่สุดในการเดินทางในครั้งนี้แล้ว ถึงแม้ว่าพวกเราจะนัดหมายกันที่ ๕ - ๖ - ๗ ก็คือตี ๕ ปลุก / ๖ โมงเช้ารับประทานอาหาร / ๗ โมงเช้าเดินทาง แต่ด้วยความที่พวกเราไปพร้อมกันแถวห้องอาหารตั้งแต่ตี ๕ กว่า ๆ ทำเอาเหล่าพ่อครัวเดือดร้อน เร่งรีบทำอาหารกันเป็นมือระวิง..!) พวกเราส่วนใหญ่แล้วใส่ชุดขาวเพื่อไปเฝ้าองค์ดาไลลามะกันโดยเฉพาะ เมื่ออาหารมาถึงก็จ้วงกันอย่างชนิดที่ไม่ต้องสนใจอะไรกันอีกแล้ว ข้าวต้มหมดไปก่อนเพื่อน จนทางพ่อครัวต้องรีบไปต้มมาเพิ่มอีก..! เมื่ออิ่มแล้วพวกเราก็ขึ้นรถ กระผม/อาตมภาพต้องย้ายไปขึ้นรถตู้คันที่ ๒ แทนคันที่ ๑ เนื่องเพราะว่าคันที่ ๒ นั้นมีเบาะนั่งข้างคนขับ ทำให้สามารถที่จะถ่ายรูปทิวทิศน์ต่าง ๆ ตลอดทางเดินได้ รถวิ่งไปไม่ถึง ๒๐ นาทีดี แต่พวกเราเพิ่งจะเห็นว่าถนนหนทางขึ้นเขาใหญ่กว่ารถเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พอมีรถสวนมาก็ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย ประมาณทำตัวลีบ ๆ แบ่งกันไป..! รถของเรามาจอดที่หน้าบริเวณวัด Tsuglag Khang ขององค์ดาไลลามะ ทางด้านคณะทัวร์ได้ตักเตือนพวกเราว่า ให้เก็บของมีค่าทุกอย่างเอาไว้ที่รถ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเงินหรือว่าโทรศัพท์มือถือ กระผม/อาตมภาพจึงติดไปเฉพาะพระเลี่ยมทองประดับเพชร และซองปัจจัย ๑๐,๐๐๐ รูป ที่จะถวายองค์ดาไลลามะเท่านั้น เมื่อเดินขึ้นเนินเข้าไปภายใน ก็มีห้องตรวจของผู้หญิงโดยเฉพาะ ส่วนผู้ชายของเราเมื่อเดินผ่านเครื่องไปแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่สนใจว่าเสียงจะดังหรือไม่ดัง จัดการจับลูบคลำตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่เว้นแม้แต่ "วัตถุมงคลส่วนตัว" เมื่อปล่อยผ่านเข้าไปข้างในแล้ว พวกเราก็ต้องไปยืนรอ นั่งรอกัน จนกว่าเจ้าหน้าที่จะมาขานคิวให้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 05:32 |
#5
|
||||
|
||||
![]()
ในระหว่างนั้นก็ดูบรรดาลิงต่าง ๆ กระโจนโครมครามกันบนต้นไม้บ้าง บนหลังคาบ้าง จนกระทั่งเขาเรียกคณะคนไทยว่า "ไตแลนด์กรุ๊ป" กระผม/อาตมภาพก็เดินนำเข้าไป เขาจะเช็ครายชื่อตามลำดับที่เราส่งเข้าไปให้ว่ามีจำนวนกี่คน ? เมื่อถูกต้องแล้ว ก็ทำการประทับตราที่หลังมือแต่ละคน เป็นรูปใบโพธิ์เล็ก ๆ โดยเฉพาะของกระผม/อาตมภาพมีเลข ๓๔ อยู่ด้วย ถามดูแล้วมีความหมายว่าเป็นคณะที่ ๓๔ ซึ่งขอเข้าเฝ้าในวันนี้ ซึ่งในแต่ละวันองค์ดาไลลามะจะรับแขกแค่ ๓๕๐ รูป/คนเท่านั้น..!
ครั้นได้รับการประทับตราแล้ว ยังต้องเดินวกวนผ่านประตูอีก ๒ แห่ง ๓ แห่งเข้าไป เมื่อเข้าไปภายใน คราวนี้ก็มีปัญหาตรงที่ว่าการตรวจนั้นเข้มงวดมาก ข้าวของอะไรเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ก็จะโดนให้ฝากเอาไว้ โดยที่ออกบัตรรับฝากไว้ให้ ดังนั้น..ใครที่ติดกระเป๋าสตางค์ วัตถุมงคล หรือว่าโทรศัพท์มือถือเข้าไป ตอนนี้โดนยึดเรียบ..! กระผม/อาตมภาพเอง เมื่อเจ้าหน้าที่คลำมาถึงประคดเอว ซึ่งมีกระเป๋าจิงโจ้บรรจุวัตถุมงคลและเงินอยู่ด้วย เขาถามว่าอะไร จึงตอบไปว่า "belt" แล้วเมื่อถามถึงกระเป๋าจิงโจ้ก็บอกว่า "money pocket" เขาก็พยักหน้าแล้วปล่อยให้ผ่านเข้าไป แต่ว่าพระเครื่องที่เตรียมไปนั้น เจ้าหน้าที่ขอไปเข้าเครื่องเอ็กซเรย์ดูก่อน เมื่อไม่มีอะไรผิดปกติแล้ว ค่อยให้กระผม/อาตมภาพเขียนชื่อ ฉายา เป็นภาษาอังกฤษแล้ววงเล็บว่า Thailand จัดใส่ถาดเอาไว้ เพื่อทางเจ้าหน้าที่จะได้นำไปถวายองค์ดาไลลามะเอง จากนั้นพวกเราก็ได้รับการบอกทางให้เดินขึ้นเนิน เข้าไปนั่งพักกันอยู่ในห้องแห่งหนึ่ง ซึ่งกระผม/อาตมภาพกะด้วยสายตาคร่าว ๆ แล้ว มีแถวเก้าอี้นั่งยาวเหยียดอยู่ ๑๐ กว่าแถว แถวหนึ่งนั่งได้ประมาณ ๓๐ คน กระผม/อาตมภาพนั่งลงก็หลับตานึกถึงองค์ดาไลลามะ ในฐานะ "Grandpa" ซึ่งถ้าเป็นภาษาไทยก็คือ "หลวงปู่" ที่พลัดพรากจากกันมาหลายปีเต็มที เรียนท่านไปว่าจะมาขออนุญาตกราบลา เนื่องเพราะไม่มั่นใจว่าพระองค์ท่านจะอยู่ได้อีกนานเท่าไร หลังจากที่ลืมตามาได้ไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็ให้ย้ายเข้าไปอีกห้องหนึ่ง เป็นการจัดลำดับการเข้าเฝ้า เมื่อตรวจสอบรายชื่อโดยให้นั่งเรียงแล้ว เรียกเอาทีละคน ไปจัดเป็นแถว ๆ ครั้นเมื่อถึงคิวกระผม/อาตมภาพ เขาบอกว่า "new line" ก็คือให้ขึ้นแถวใหม่ เมื่อได้คนครบตามจำนวนที่ต้องการแล้ว จึงให้เดินไล่ไปตามลำดับที่ขานชื่อ ไปจนกระทั่งขึ้นเนิน ซึ่งมีลักษณะคล้าย ๆ "ลานหินโค้ง" ของทางวัดสวนโมกข์ แต่นี่เป็นลักษณะของขั้นบันไดมากกว่า เพียงแต่ว่าเป็นม้านั่งหินยาว ๆ ลดหลั่นลงมา มีพรมปูอยู่ด้วย พวกเรานั่งรออยู่ตรงนั้น ซึ่งจะมีทหารเป็นกองรักษาการณ์อยู่ด้วย เพียงแต่ว่าดูแล้วไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เพราะว่าคนข้างนอกใช้ HK33 แบบพับฐาน คนข้างในใช้ AK47 พับฐาน ซึ่งถ้าหากว่าฉุกเฉินปะทะกันขึ้นมาจนกระสุนหมดจริง ๆ ไม่สามารถจะหยิบยืมกันได้เลย พวกเรารอกันอยู่พักใหญ่ ก็มี VIP ระดับพิเศษ น่าจะเป็นบุคคลสำคัญของทางอินเดีย ซึ่งแม้ว่าจะมาทีหลัง แต่ได้รับการจัดแถวให้อยู่หน้าสุดของพวกเรา ซึ่งเช็คจำนวนกันไปแล้วด้วย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 05:39 |
#6
|
||||
|
||||
![]()
ครั้นถึงเวลาองค์ดาไลลามะก็นั่งรถไฟฟ้าออกมา เข้าสู่ที่ประทับแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ให้สัญญาณแต่ละคนเดินผ่านเข้าไปถวาย กระผม/อาตมภาพซึ่งรับผ้าผ้าขะตะมาจากน้องการ์ตูน (นางสาวศรันย์พร บุรินทรโกษฐ์) คาดว่าจะให้องค์ดาไลลามะท่านประทานพรด้วยการคล้องคอให้ แต่ปรากฏว่ามีพระเถระรูปหนึ่งมาจับคล้องคอให้แทน ส่วนอีกรูปหนึ่งก็มารับซองปัจจัยที่จะถวายองค์ดาไลลามะไป พร้อมกับบอกว่า "Thank you"
เมื่อถึงคิวของกระผม/อาตมภาพ ซึ่งพนมมือไหว้ตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงองค์ท่าน องค์ดาไลลามะก็จับสองมือที่พนมดึงเข้าไปชิดท่าน แล้วก็ก้มเอาศีรษะมาแตะ ความรู้สึกของกระผม/อาตมภาพก็คือ "จะให้หลวงปู่อยู่อีกก็ได้ แต่เจ้าต้องอยู่เป็นเพื่อนด้วยกัน" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่คิดว่า "เวรกรรมละกูงานนี้..!" เมื่อถึงเวลาผ่านออกมาแล้ว ก็มารับรูป ตลอดจนกระทั่งยาที่ได้รับการเสกจากท่าน และสายสิญจน์อธิษฐาน เมื่อเดินมารวมกันยังสถานที่ภายนอก ทิดเฟิร์ส (นายบัณฑิต เอี่ยมตระกูล) และทิดดอย (นายภาณุพงศ์ วังประภา) ก็พาขึ้นไปยังพระตำหนักรับแขกเดิมของท่าน เพื่อไปกราบพระพุทธรูปพระประธาน และอาสนะที่ท่านเคยนั่ง กระผม/อาตมภาพควักกระเป๋าถวายใส่ตู้บริจาคไปแห่งละ ๕๐๐ รูปี แล้วลงไปทางด้านล่าง เพื่อที่จะเข้าไปทำบุญทางด้านซึ่งมีเหวัชระพิทักษ์พระพุทธศาสนา และมีบรรดาพระเถระต่าง ๆ สวดมนต์ให้พรแก่ญาติโยมทางด้านนั้น เมื่อทำบุญเรียบร้อยแล้วจะออกข้างนอก แต่ปรากฏว่าผศ., ดร.พระครูโรจน์ (พระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ผศ.ดร.) ของเรา และ "ไอ้อ้วน" (นางสาวดวงฤทัย ตั้งวรกุลกิจ) โดนยึดทรัพย์ ก็คือวัตถุมงคลส่วนตัว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ไม่ทราบว่าสื่อสารกันอย่างไร ? คิดว่าเป็นส่วนที่จะมอบให้องค์ดาไลลามะอธิษฐานจิตให้พร จึงได้เก็บเอาไว้ก่อน ไม่ได้มอบคืนมาให้ ทั้งสองคนไปสอบถามเจ้าหน้าที่แล้วรอแล้วรอเล่าว่าเมื่อไรจะเสร็จ จนกระทั่งเขาบอกว่า "ตอนเที่ยงค่อยมารับ" พวกเราจึงเดินออกมา ทางด้านมัคคุเทศก์ท้องถิ่นซึ่งมีโทรศัพท์มือถืออยู่ ขอถ่ายรูปหมู่ของพวกเรา จากนั้นก็เดินย้อนกันออกมารอรถทางด้านนอก ซึ่งจะมีบรรดาเด็กบ้าง ผู้ใหญ่บ้าง ส่วนใหญ่ก็คือผู้หญิงล้วน ๆ เดินมาสะกิดแบมือขอเงิน พวกเราไปยืนรอกันที่ลานจอดรถ ซึ่งมีร้านค้าอยู่ตรงนั้น เจ้าของร้านคงจะรำคาญที่เห็นขอทาน เพ่นพ่านมาขอเงินนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด จึงถือไม้ออกมาไล่กระเจิดกระเจิงไป แล้วก็มีแม่ชีท่านหนึ่งเดินมาด่าเจ้าของร้าน ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีส่วนได้ส่วนเสียกับบรรดาขอทานหรือเปล่า ? แต่ว่าเจ้าของร้านก็ไม่ได้ถกเถียงอะไรมาก นอกจากเก็บไม้แล้วก็ไปนั่งขายของตามเดิม..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 05:45 |
#7
|
||||
|
||||
![]()
เมื่อรถวิ่งมารับพวกเราแล้ว ก็ต้องตรงไปยังสถานที่สำคัญ ก็คือวัดไทยธรรมศาลา ซึ่งเมื่อเช้าท่านพระครูปลัดสิริวัฒน์ อดีตพระอั้ม หรือว่าพระธนพนธ์ ขนฺติวโร เลขานุการของท่านเจ้าคุณอริยชาติ (พระภาวนารัตนญาณ วิ.) เจ้าอาวาสวัดแสงแก้วโพธิญาณ ท่านได้รับบัญชาจากหลวงพ่อเจ้าคุณยงยุทธ - พระธรรมวชิรกวี (ยงยุทธ ยุตฺตธมฺโม ป.ธ.๙) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๓ เจ้าอาวาสวัดพระนอนจักรสีห์ วรวิหาร ให้มาดูแลวัดไทยธรรมศาลาแห่งนี้
ตอนช่วงเช้าที่พวกเรานั่งดูลิงกระโดดโลดเต้นอยู่ ท่านก็มารายงานตัว และบอกว่าถ้ามีปัญหาอะไรให้รีบแจ้ง ท่านจะมาช่วยเคลียร์ให้ เนื่องเพราะว่าการมาสร้างวัดไทยที่นี่ ทำให้มีพาวเวอร์ เป็นที่ยอมรับของบรรดาเจ้าหน้าที่ทางนี้อยู่เหมือนกัน แล้วก็นิมนต์ให้กระผม/อาตมภาพและคณะแวะไปสงเคราะห์ที่วัดหน่อย ซึ่งวิ่งไปไม่ถึง ๑๐ นาทีก็ต้องเดินลงเนินไปยังวัด แต่ด้วยความที่ไม่เคยมา กระผม/อาตมภาพก็เดินเลยขึ้นศาลาไปชั้นดาดฟ้าเลย กว่าจะรู้ว่าให้ขึ้นแค่ชั้นที่ ๒ แล้วเดินอ้อมไปด้านหลัง จะมีบันไดต่อไปยังอาคารหลังอื่น ๆ เมื่อเข้าไปยังศาลารับแขก กราบพระประธานแล้ว ก็รับกราบจากพระครูอั้มตลอดจนกระทั่งคณะสงฆ์วัดไทยธรรมศาลา ท่านได้มอบหมายให้คุณยายซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน ที่ถวายให้กับหลวงพ่อเจ้าคุณยงยุทธได้สร้างวัดไทยธรรมศาลานี้ มาถวายหนังสือ ซึ่งหลวงพ่อเจ้าคุณยงยุทธเซ็นให้เป็นพิเศษ ว่ามอบให้เป็นที่ระลึกแก่พระครูวิลาศกาญจนธรรม แถมยังลงวันที่วันนี้เอาไว้อย่างโก้หรูอีกด้วย เมื่อได้รับถวายและดูวีดีโองานเดินธุดงค์ไปยังเลห์ - ลาดักแล้ว กระผม/อาตมภาพก็กล่าวสัมโมทนียกถา อำนวยอวยพรแก่ทุกคน แล้วก็รับการเลี้ยงน้ำเลี้ยงขนมจากทางวัด โดยที่พวกเรารวบรวมปัจจัยจำนวนหนึ่ง ร่วมทำบุญสร้างวัดไทยธรรมศาลาแห่งนี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
#8
|
||||
|
||||
![]()
เมื่อบอกลาจากพระครูอั้มแล้ว พวกเราก็ขึ้นรถตรงไปยังร้านอาหาร ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นบาร์เบียร์มากกว่า บรรยากาศมืดสุด ๆ เนื่องเพราะว่าน่าจะขายของในตอนกลางคืน นั่งรอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ กว่าที่กับข้าวแต่ละอย่างจะมาถึง
เมื่อมาถึง พวกเราลงมือฉันกันไปเลย ญาติโยมก็กินกันไปเป็นการใหญ่ กับข้าวออกไปได้แล้ว ๔ อย่าง จึงให้น้องการ์ตูนไปถามว่ามีข้าวหรือไม่ พอกับข้าวอย่างที่ ๕ มาถึง ข้าวสวยถึงได้ตามมา ผศ.ดร.พระครูโรจน์ ชี้จานกับข้าวที่ว่างเปล่า พลางบอกว่าเขาน่าจะเหลือข้าวไว้ให้เรากินกับน้ำพริก ส่วนกับข้าวที่ตามหลังมาอีก ๓ - ๔ อย่างนั้น พวกเราไม่มีปัญญาที่จะฉันกันแล้ว จึงได้บอกกับน้องการ์ตูนว่าให้ช่วยห่อกลับไปด้วย เผื่อมีใครกินข้าวเย็น เมื่ออิ่มหนำสำราญกันชนิดล้นคอหอย พวกเราเดินออกจากร้านอาหารก็เลี้ยวขวาไปไม่ถึง ๑๐๐ เมตรดี เป็นวัดกาลจักร ซึ่งเป็นวัดของนิกายวัชรยานแบบทิเบต พวกเราเข้าไปกราบสักการะพระสถูปเจดีย์ ตลอดจนกระทั่งพระพุทธรูปพระประธาน เนื่องเพราะว่าสถานที่หายากและจำกัด แม้แต่พระสถูปเจดีย์ก็อยู่ในที่แคบจนเดินวนรอบประทักษิณไม่ได้ ครั้นถ่ายรูปหมู่กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ตกลงกันว่า ใครจะเดินช็อปปิ้งละลายทรัพย์ก็เดินอยู่ในบริเวณนี้ แล้วกลับมาที่ตรงหมู่ต้นสนสามแยก ส่วนใครที่จะนั่งรถกระเช้าดูวิว ก็ไปเดินยังสถานีรถกระเช้าแล้วกลับมาให้ทันตอนบ่าย ๒ โมงเช่นกัน ทางกระผม/อาตมภาพ หลวงพ่อนิล และท่านพันแสน ตลอดจนกระทั่งญาติโยมกลุ่มใหญ่ อาสาไปนั่งรถกระเช้าหาประสบการณ์กัน ส่วนที่เหลือก็แห่ไปช็อปปิ้งกันสนั่นลั่นตลาดไปเลย เมื่อไปถึงแล้ว มาดามชวง (นางสาวไพรินทร์ สุวิชชาญพันธุ์) ได้ถวายตั๋วขึ้นรถกระเช้าให้กระผม/อาตมภาพ หลวงพ่อนิล และท่านพันแสนด้วย ซึ่งราคา ๗๕๐ รูปี/รูป แต่ว่ากระเช้านั้นวิ่งได้ช้าสุด ๆ ไม่ทราบเหมือนกันว่าตั้งใจให้ดูวิวอย่างแท้จริงหรืออย่างไร แต่ด้วยความที่ปิดทึบ มีเพียงรูระบายอากาศเล็ก ๆ เท่านั้น เมื่อรถกระเช้าเลื่อนไปช้า ๆ จึงทำให้อากาศร้อนอบอ้าวมาก ใช้เวลาถึง ๒๐ กว่านาทีกว่าที่จะไปถึงปลายทาง พวกเราก็เลยต้องไปลงทะเบียนนั่งรถกระเช้ากลับ ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะไม่ทันการ ระหว่างที่ไปกลับก็ได้เห็นวิวทิวทัศน์สวย ๆ แล้วก็เห็นว่าลานจอดรถที่เราคิดว่าอยู่บนพื้นดิน ซึ่งพ่อค้ามาช่วยไล่ขอทานนั้น ปรากฏว่ายังมีตึกลงไปข้างล่างอีก ๗ ชั้น แสดงว่าเขาต้องใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วให้เป็นประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะว่าพื้นที่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นภูเขาทั้งสิ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
#9
|
||||
|
||||
![]()
เมื่อย้อนกลับมาถึงแล้ว พวกเราก็ได้นั่งรถเพื่อเดินทางต่อไปยังวัดภัคสุนาคของศาสนาฮินดู ซึ่งท่านภัคสุ หรือท้าวภัคสุนั้น ได้ต่อสู้กับพญานาค เพื่อแย่งชิงแหล่งน้ำให้กับราษฎรของตนเอง เพราะว่าพญานาคยึดครองแหล่งน้ำไว้ ชาวบ้านไม่มีน้ำจะใช้
แม้ว่าจะสู้แพ้ถึงกับเสียชีวิต แต่ว่าเทวดาฟ้าดินเห็นใจ จึงอำนวยอวยพรให้มาเป็นเจ้าที่เจ้าทางอยู่บริเวณนี้ แล้วก็มอบน้ำตก ตลอดจนกระทั่งสายน้ำศักดิ์สิทธิ์บริเวณที่เป็นบ่อใหญ่นั้นให้ พวกเราลงไปถึง ถ่ายรูปหมู่ เดินดูสถานที่กันหมดแล้ว ก็ลองวักน้ำล้างหน้าดู แล้วก็สะดุ้งเฮือก เพราะว่าน้ำนั้นเย็นเหมือนออกมาจากตู้เย็นเลยทีเดียว ทั้ง ๆ ที่อากาศอยู่ที่ ๒๗ องศาเซลเซียส เมื่อถ่ายรูปหมู่กันเรียบร้อย พวกเราก็ย้อนกลับมาขึ้นรถ วิ่งย้อนกลับไปทางเส้นทางกลับที่พัก เพื่อที่จะไปยังโบสถ์คริสต์เซนต์จอห์น ซึ่งเป็นโบสถ์คริสต์นิกาย Church of England ซึ่งเหลือเพียงแห่งเดียวในประเทศอินเดีย นิกายนี้เกิดขึ้นเนื่องเพราะว่ากษัตริย์อังกฤษต้องการที่จะมีพระมเหสีเพิ่มเติม แต่ทางนิกายโรมันคาทอลิกไม่อนุญาต เมื่อมีพระเถระหรือว่าบาทหลวงของทางด้านนิกายโรมันคาทอลิกมารับอาสาให้พระองค์สามารถสยุมพรได้ จึงอนุญาตให้ไปตั้งนิกายใหม่ คือ Church of England เข้ามา พวกเรากว่าจะไปถึงก็เป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกล และภายในก็ห้ามถ่ายรูปด้วย กระผม/อาตมภาพเข้าไปแล้ว ก็ตั้งจิตอธิษฐานอุทิศส่วนกุศลที่ทำมาด้วยดี ให้แก่ท่านทั้งหลายที่รักษาสถานที่นั้น พร้อมกับหยอดตู้บริจาคไป ๕๐๐ รูปี ทำบุญแบบคนรวย เนื่องเพราะว่าแบงค์ย่อยหมดแล้ว ไม่ว่าที่ไหน ๆ ไม่ ๕๐๐ ก็ต้อง ๑,๐๐๐ จากนั้นก็ฉวยโอกาสที่ผู้คนเขาเผลอ กดเอารูปภายในมา ๑ รูป กลับออกมาถ่ายรูปหมู่ทางด้านนอกแล้ว เมื่อทุกคนรู้ว่าจะได้กลับที่พัก ก็ขึ้นรถด้วยความกระดี๊กระด๊า วิ่งขึ้นเขากลับมาอย่างชนิดที่ต่างคนต่างก็เริ่มตั้งเป้าไว้ว่าจะแช่น้ำร้อนบ้าง จะกินอาหารเย็นให้อร่อยบ้าง ส่วนกระผม/อาตมภาพกลับมาถึงห้องพัก ก็มาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนอยู่นี่ สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
สุธรรม, หลุดพ้น |
|
|