กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 28-04-2025, 01:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,180 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทางด้านกรุงสุโขทัยจึงแต่งทูตมาเชิญพระเถระ ขึ้นไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่โน่น เราจะเห็นในศิลาจารึก ซึ่งเขียนเอาไว้ว่า "ปู่ครูทุกตนลุกมาแต่เมืองศรีธรรมราช"

"ปู่ครู" ในที่นี้ก็คือ "พระสังฆราช" ก็แปลว่าสังฆราชของพระพุทธศาสนาของเราที่สุโขทัยทุกรูป ได้รับการอัญเชิญจากพระมหากษัตริย์ขึ้นไปจากนครศรีธรรมราชทั้งนั้น ไปรับตำแหน่ง ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่นั่น พอเผยแผ่แล้วก็กระจายกว้างออกมา บรรดาอาณาจักรใกล้เคียง ด้านบนเป็นล้านช้าง ล้านนา ด้านล่างก็ละโว้ อยุธยา จึงรับเอาวัฒนธรรมมาส่งต่อกันด้วยวิธีผจญภัยนี่เอง..!

ถึงเวลาก็ข้ามไปข้ามมาค้าขายกัน อย่างเช่นถึงเวลานายฮ้อยต้อนควายมา มาทำลาบทำก้อยกิน คนเห็น เฮ้ย..อร่อยนี่หว่า..! ก็ทำตาม นี่แค่วัฒนธรรมอาหารอย่างเดียว อย่างอื่นก็แบบนี้เหมือนกัน

พอถึงเวลาก็มีการไหว้ผี มีการไหว้พระ มีการสวดมนต์ คนเห็นสนใจเข้าไปสอบถาม พอเขาบอกเขากล่าวก็ศึกษาเล่าเรียนเอาไว้ ถ่ายทอดต่อ ๆ กันมา ปรับให้เข้ากับบริบท ก็คือความเป็นอยู่ของตน ไม่ได้เอามาทั้งหมด อะไรว่าดีกูเอาด้วย แต่ถ้าหากว่ายากกูไม่เอา เพราะฉะนั้น..วัฒนธรรมแต่ละอย่างก็เลยมีขาดมีเกิน แต่จะเห็นเค้าอย่างชัดเจนว่ามาจากไหน

ทางประเทศอินเดียเขาถือว่าในช่วงนี้เป็นช่วงของความเจริญ ความรุ่งเรือง เขาก็เลยมีเทศกาลสงกรานต์ แต่เป็นการสงกรานต์ด้วยสี เรียกเทศกาลโฮลี ถึงเวลาเอาสีไปไล่สาดกัน น้ำก็ไม่ค่อยจะมีแล้วยังจะไปสาดสีใส่กันอีก คราวนี้จะไปล้างไปเช็ดกันอีท่าไหน ?

ใครอยากเห็นสีที่เป็นสีจริง ๆ ให้ไปดูที่อินเดีย เนปาล แดงคือแดงแปร๊ดแสบตาเลย เหลืองก็เหลืองแจ๊ดไปเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำได้อย่างไร ? แต่บ้านเราทำไม่ได้ ลอง ๆ ไปดู เดิน ๆ ไปในตลาดน่ะ เขามีขาย อาตมาชอบเดินดูตลาด เป็นคนตื่นเช้า ถึงเวลาก็ท่อม ๆ ไปเรื่อย อาศัยความจำดี ถึงเวลาจำได้ว่าต้องกลับทางนี้ ต้องกลับทางโน้น จึงเดินดูไปเรื่อย

บางทีคนอื่นที่เดินทางไปด้วยก็ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรบ้าง แต่ของเราเดินดูไปครึ่งบ้านครึ่งเมืองแล้ว หลงทางก็ถามชาวบ้านเขา ชาวบ้านบอกไม่ได้ก็ถามผี ถามไปถามมา โดนพวกประท้วงว่า "ผมไม่ใช่ผีครับ" เออ..เข้าท่า ทำไมมาหน้าตาธรรมดา ๆ ? มาแบบนี้เราก็นึกว่าผี..ใช่ไหม ? จะเป็นเทพบุตรเทวธิดาก็มาให้หล่อ ๆ สวย ๆ หน่อย หรือกลัวคนขโมยสตางค์ก็ไม่รู้สินะ ?! มาถึงแต่งตัวมาเสียโทรมเชียว คงกลัวว่าจะแปลกแยกจากชาวบ้านเขา

คราวนี้วัฒนธรรมพวกนี้พอมาถึงบ้านเรา บ้านเราน้ำเยอะ แต่สีหายาก ก็เลยมาสาดน้ำแทน โอ้โห..เข้ากับบริบทมากเลย กำลังร้อนอยู่พอดี เรื่องพวกนี้ก็เลยส่งผ่านกันไป ส่งผ่านกันมาแบบนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-04-2025 เมื่อ 02:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 28-04-2025, 23:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,180 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แบบเดียวกับที่ญาติโยมหลายท่านตามอาตมภาพไป ไม่ว่าจะขึ้นไปทิเบต ขึ้นไปเนปาล ออกไปทางด้านสิกขิม แคชเมียร์ เลห์ ลาดัก ถึงเวลาเขาจะมีผ้ามาคล้องคอต้อนรับให้ ถ้าเป็นบ้านเราก็คือพวงมาลัยนั่นเอง

แต่ที่บ้านเขาหนาวมาก ปีหนึ่งหนาวถึง ๘ - ๙ เดือน ดอกไม้หายากสุด ๆ เขาก็เลยปรับเอาผ้าที่เป็นของหายาก เพราะว่าทอมากับมือกว่าที่จะได้แต่ละผืน เอามามอบให้กับแขกหรือว่ามาต้อนรับแขก ในลักษณะที่ว่าให้ของดีให้ของแพงแสดงน้ำใจของเจ้าของที่ นี่คือการปรับวัฒนธรรม หาดอกไม้ไม่ได้แล้วจะไปเอาจากไหน ? จึงเปลี่ยนเป็นผ้าแทน บ้านเราหาสียาก สีแพงก็ใช้น้ำแทน

สมัยก่อนเขาไม่เรียกว่าสี เขาเรียกว่า "รงค์" เคยได้ยินไหม ? บางอย่างที่เอามาทำสีได้เขาเรียก "รงควัตถุ" วัตถุสำหรับทำสี เอาง่าย ๆ เลยก็ สีน้ำเงินจากดอกอัญชัน สีส้มจากดอกฝ้ายคำ สีครามจากต้นคราม เป็นต้น

สมัยอาตมภาพเด็ก ๆ ไม่มีคำว่าสีน้ำเงินนะ มีแต่ "สีขาบ" กับ "สีคราม" สีขาบก็คือสีฟ้าเข้มที่สมัยนี้เรียกว่าสีน้ำเงิน สีครามก็คือสีฟ้าอ่อน ส่วนประเภทสีฟ้าน้ำทะเล โอเชียนบลู (ocean blue) หรือสีเทอร์คอยส์ (turquoise) ไม่มี สีพวกนี้ตามฝรั่งมาทีหลัง สมัยนั้นมีแต่สีขาบกับสีคราม สมัยนี้ถ้าเรียกว่าสีขาบเราก็ไม่รู้จัก..ใช่ไหม ?

อย่าง "สีกากี" นี่รู้จักกัน แต่ไม่รู้ว่าสีกากีมาจากไหน..ใช่ไหม ? "กากี" เป็นภาษาเปอร์เซียแปลว่า "สีน้ำตาล" คนไทยพอได้ยินว่าเขาเรียกกากี ก็เรียกกากีตามเขาไปด้วย บ้านเราเรียกสีน้ำตาล

คราวนี้ปวดหัวอีกเพราะว่าน้ำตาลที่กินกันสีขาวจ๋องเลยนี่นา ? แล้วที่เรียกว่าสีน้ำตาลทำไมสีออกมาเป็นแบบนี้ ไม่เป็นสีขาว ? ก็คุณเกิดไม่ทัน สมัยก่อนน้ำตาลไม่ได้ฟอก เขากวนน้ำตาลมาจากอ้อยสีก็เลยออกมาเป็นสีแบบนั้น ดีไม่ดีไหม้หน่อยก็เป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ เป็นสีช็อกโกแลตไปเลย ถ้าหากว่าใครฝีมือดี ๆ หน่อยใจเย็น ๆ ใช้ไฟอ่อน ๆ ค่อย ๆ กวนก็ออกมาเป็นสีน้ำตาลอ่อน นั่นคือสีของน้ำตาลจริง ๆ

ปัจจุบันนี้ที่เห็นเป็นสีน้ำตาลทรายขาว ก็เพราะเขาฟอกสีแล้ว
ถ้ากินเข้าไปเยอะ ๆ พร้อมที่จะเกิดมะเร็ง บอกแล้วว่าอย่าให้ "เล่าความหลัง" คนแก่มีเรื่องให้เล่าเยอะมาก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2025 เมื่อ 01:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 28-04-2025, 23:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,180 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สงกรานต์จึงเข้ามาในบ้านเราเมืองเราโดยวัฒนธรรมอินเดีย โดยมักจะมากับพวกนักบวชที่ติดไปกับกองคาราวานทางบกทางน้ำต่าง ๆ ที่เขาเรียกกันว่าพราหมณ์ พวกนี้ส่วนใหญ่มีความรู้มาก ศึกษาจบไตรเพทมา มีฤคเวท ยชุรเวท สามเวท เหล่านั้น

พวกเวททั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ ก็คือคำโคลง คำกลอน ที่เขาไว้สรรเสริญพระเจ้าของเขา เอาไว้สำหรับอ้อนวอนขอความสำเร็จจากพระเจ้าของเขา เขาก็ถ่ายทอดกันเฉพาะในวรรณะของตัวเอง พวกพราหมณ์ก็เลยเป็นเจ้าพิธีกรรม พวกกษัตริย์ก็มีหน้าที่ป้องกันประเทศ รบรากับประเทศอื่น ๆ

พวกไวศยะหรือแพศย์ ซึ่งปัจจุบันนี้มียี่ห้อสินค้าแพศยา นั่นก็คือคำว่าแพศย์ที่แปลว่าพ่อค้า ก็มีหน้าที่ค้าขายนำเอาวัฒนธรรมต่าง ๆ เผยแผ่ไปกับกองเกวียนของตนเอง กองเกวียนสมัยก่อนไปกันแต่ละทีก็ ๒๐๐ เล่มเกวียน ๓๐๐ เล่มเกวียน ๕๐๐ เล่มเกวียน บรรดาพ่อค้าส่วนใหญ่ก็เป็นมหาเศรษฐี เรานึกถึงเกวียน ๑ เล่ม มีคนขับเกวียน ๑ คน คนคอยดูแลวัวดูแลสินค้า ๒ คน ตีว่าเอาแค่นี้ เกวียน ๑ เล่มมี ๓ คน ถ้ามีเกวียน ๕๐๐ เล่มปาไปกี่คนแล้ว ? กองทัพส่วนตัวดี ๆ นี่เอง..!

อย่างธนัญชัยเศรษฐีถึงเวลาย้ายไปอยู่เมืองสาวัตถี ปรากฏว่าขนคนไปสองแสนคน..! แทบจะไปรบราฆ่าฟัน แย่งบ้าน ปล้นเมืองเขาได้เลยนะนั่น..! ยังดีที่ไม่ได้มีนิสัยอย่างนั้น เป็นแค่พ่อค้า ก็เลยทำให้คิดว่าถ้าเข้าไปในตัวเมือง คนอื่นจะเดือดร้อนเยอะ เพราะอยู่ ๆ มีสองแสนคนมาแย่งกันกินแย่งกันใช้

ธนัญชัยเศรษฐีเห็นที่เหมาะ ๆ อยู่ก่อนที่จะเข้าเมือง เป็นที่ว่างกว้างใหญ่มาก จึงกราบทูลถามพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า "ตรงนี้เป็นที่ของใคร ?" แล้วก็ให้เหตุผลว่าถ้าเข้าไปในเมืองจะสร้างความวุ่นวายขนาดไหน ? แต่ถ้าอยู่ตรงนี้จะสะดวกกว่า

พระเจ้าปเสนทิโกศลบอกว่าเป็นที่ของตนเอง สมัยนั้นใช้คำว่า "พระเจ้าแผ่นดิน" คือแผ่นดินทุกตารางนิ้วถ้าไม่ทรงอนุญาต เป็นของพระองค์ทั้งหมด เพราะว่า รบรา ฆ่าฟัน แย่งชิง ป้องกัน มาด้วยตนเอง พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงมอบให้ธนัญชัยเศรษฐี สร้างเมืองสาเกตขึ้นมาเป็นคู่แฝดกับสาวัตถี ไปไกลแล้ว..อยู่เมืองไทยยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย ไปไกลถึงอินเดียแล้ว..!

เวลาไปไหนไม่ค่อยอยากคุยเพราะว่าเหนื่อยอยู่คนเดียว ถึงเวลาไม่มีแรงจะเดินเที่ยว คุณนวลจันทร์ เพียรธรรม ของเอ็นซีทัวร์ ก็มักจะส่งไมค์มาให้ "หลวงพ่อเจ้าคะ เอาเรื่องโน้นหน่อย เอาเรื่องนี้หน่อย" ไม่เอา..ตอนนี้เที่ยวอย่างเดียว เล่ามาก ๆ คนแก่หมดแรง เดินไม่ไหว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2025 เมื่อ 01:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า เมื่อวานนี้, 01:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,180 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกประมาณ ๔ นาทีพระท่านจะขึ้นอาสน์สงฆ์ กำหนดการคร่าว ๆ วันนี้ คือ ๙ โมงเช้าเป็นการแสดงพระธรรมเทศนา แล้วก็ต่อด้วยการเจริญพระพุทธมนต์ รับถวายภัตตาหารสังฆทาน พออปโลกน์ให้พรเสร็จ ช่วงเช้าของเราก็จบแค่นี้ ไปเริ่มอีกทีตอนเที่ยงครึ่ง เป็นการสวดพระอภิธรรมสะเดาะเคราะห์ และบังสุกุลอัฐิอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

ใครต้องการจะสะเดาะเคราะห์ให้ตนเอง ให้คนอื่น ก็เขียนชื่อเขียนนามสกุลใส่โลงใบน้อยนั้นไป
ถ้าจะให้บังสุกุลอัฐิอุทิศส่วนกุศลแก่ญาติพี่น้อง ก็เขียนชื่อเขียนนามสกุลผู้ที่ล่วงลับไปแล้วใส่โลงเข้าไป ใบเดียวกันนั่นแหละ พอบังสุกุลเสร็จก็จะเอาไปเผา ถือว่าเป็นการตัดเคราะห์ตัดโศก อาศัยแม่พระเพลิง หนึ่งในห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่ช่วยตัดเคราะห์ให้

ห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่มี แม่ธรณี สรรพชีวิตทั้งหมดเกิดบนอกแม่ โตบนอกแม่ ตายบนอกแม่
แม่คงคา ไม่มีสายน้ำช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตไม่รอดสักราย ไม่กินข้าว ๑๔ วันอยู่ใต้ตึกอยู่ได้ แต่ถ้าขาดน้ำนี่ ๗ วันตายแน่
แม่พระเพลิง ให้ความร้อนให้ความอบอุ่น ช่วยทำอาหาร แม้กระทั่งในร่างกายของเราก็ยังช่วยสันดาปย่อยอาหาร กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ขณะเดียวกันก็เผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง

พระพุทธเจ้าบอกมา ๒,๕๐๐ กว่าปี กว่าที่ฝรั่งจะเรียนทันตรงนี้ ฝรั่งเขาเพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานนี้เองว่าออกซิเจนกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นขึ้นได้ แต่ทำลายเซลล์เร็วมาก ใครที่นิยมใช้ออกซิเจนสร้างเอาไว้ในห้องตัวเอง รับประกันได้ว่าตื่นมาหน้าเหี่ยวไม่รู้ตัว เพราะเซลล์ถูกทำลายเร็วมาก ก็คือกระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโตและทำลายร่างกายให้ทรุดโทรมลง นี่คือแม่พระเพลิง

แม่โพสพ ให้อาหาร เครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต
แม่พระพาย ขาดลมหายใจก็ตาย ขาดลมช่วยก็ร้อนมาก ก็ตายอีก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 03:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า เมื่อวานนี้, 01:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,180 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราอาศัยอำนาจของแม่พระเพลิง หนึ่งในห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่ของเรา ช่วยในการตัดเคราะห์ตัดโศกให้ แต่ความจริงก็คือการสร้างความดีนั่นเอง เพราะว่าเราต้องสมาทานศีล ฟังพระเจริญบทพระอภิธรรม แล้วก็นึกถึงมรณานุสติ พุทธานุสติ หรือว่าอุปสมานุสติ ซึ่งปกติเป็นกรรมฐานที่ใหญ่มาก ทำยาก แต่ว่าช่วงนั้นทำกันง่าย เพราะคิดว่าเป็นพิธีกรรม

ไม่รู้กันว่าโดนหลอกให้กินยา หลอกให้เห็นว่าอร่อย เหมือนสมัยนี้เวลาป้อนยาแมวเขาเอาขนมแมวเลียหุ้มก่อนแล้วค่อยยัดใส่ปากแมว แมวก็กลืนอึ๊ก สมัยก่อนกว่าจะยัดยาเข้าปากได้นี่โดนแมวข่วนลายไปทั้งตัว คราวนี้ก็เลยหลอกให้กินยาด้วยการมาสะเดาะเคราะห์

หลังจากนั้นก็มีการแข่งขันก่อพระเจดีย์ทราย น่าจะไปตัดสินกัน ๔ - ๕ โมงเย็น เดี๋ยวรอดูกรรมการตัดสินนำโดยพระมหาพัฒน์ก่อน ว่าจะตัดสินกี่โมง หลวงพ่อมีหน้าที่ควักกระเป๋า มอบรางวัลให้เท่านั้น พอตอนค่ำของพวกเราก็มาทำวัตรสวดมนต์กัน หมดไปอีกหนึ่งวัน

ตอนช่วงบ่าย ๆ ทางด้านเทศบาลตำบลทองผาภูมิโดยท่านนายกปาล์ม (นายศราวุธ ศรีทันดร) ก็จะส่งคนมารับพระพุทธรูปไปเตรียมขบวนแห่ พรุ่งนี้ไม่เกินเที่ยงครึ่ง น่าจะเคลื่อนขบวนออกมาจากสำนักงานเทศบาลตำบลทองผาภูมิ เพราะฉะนั้น..พรุ่งนี้เป็นวันที่มีโอกาสเปียกแน่นอน

คราวนี้ในเรื่องของแม่คงคา หนึ่งในห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นสรรพชีวิต เขาถือว่าสร้างความชุ่มชื่น สร้างความเจริญงอกงาม ให้ความร่มเย็น บ้านเราก็เลยปรับจากการสาดสีแบบแขกมาสาดน้ำแทน ถือว่าน้ำคือความสะอาด ชำระล้างสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ดีออกไปได้

ในทุกศาสนาเราจะเห็นว่ามีน้ำศักดิ์สิทธิ์ แล้ววิทยาศาสตร์เขาก็พิสูจน์ได้แล้วว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์จริง โดยเอาน้ำมนต์ที่พระเสกแล้วกับน้ำที่ไม่ได้เสกมาจากแหล่งเดียวกัน ตักเวลาเดียวกัน ภาชนะเดียวกัน จำนวนน้ำเท่ากัน เอาส่วนที่เสกแล้วไปแช่แข็งแล้วมาส่องดูโมเลกุล จะเห็นว่าจับตัวเป็นระเบียบสวยงามมาก เหมือนดอกไม้บาน ส่วนที่ไม่ได้เสกแช่แข็งแล้วมาส่องดู เห็นโมเลกุลขาด ๆ วิ่น ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 03:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า เมื่อวานนี้, 01:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,180 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หรือไม่ก็การถ่ายภาพออร่า ซึ่งพัฒนามาจากการถ่ายภาพก่อนหน้านี้ที่เรียกว่าเกอร์เลียน ก็คือถ่ายภาพพลังชีวิตของคน ของสัตว์ ของพืช

ตอนแรก ๆ นักวิทยาศาสตร์ทดลองด้วยการตัดใบไม้เป็นสองท่อน แล้วเอาไปถ่ายรูปแบบเกอร์เลียน ปรากฏว่าภาพที่ออกมาเป็นใบไม้เต็มใบ เพราะว่าพลังจากโคนใบยังส่งไปอยู่ ภาพที่ถ่ายออกมาเป็นรูปใบไม้เต็มใบเหมือนเดิม พอนาน ๆ ไปหน่อยพลังขาดช่วงลง แผลโดนปิดแล้ว ก็เหลือภาพใบไม้แค่ครึ่งใบ เขาก็เลยปรับมาถ่ายภาพออร่าในปัจจุบัน เพื่อที่จะศึกษาว่าคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยจะมีออร่าสีอะไร ? บริเวณไหน ? ป่วยด้วยโรคอะไร ? จนป่านนี้ก็ยังมั่วกันอยู่นั่นแหละ..! ทายถูกบ้างผิดบ้าง

เนื่องเพราะว่าบุคคลที่นอกเหตุเหนือผลมีเยอะ ไม่ไปคร่ำครวญอยู่กับอาการเจ็บป่วย ตั้งหน้าตั้งตาสร้างบุญสร้างกุศลพร้อมที่จะตาย ในเมื่อไม่ไปคร่ำไปครวญ อาการเจ็บป่วยที่คนอื่นเห็นก็มีน้อย แม้กระทั่งเครื่องก็ยังโดนหลอกไปด้วย เพราะสภาพจิตเขาไม่ได้ไปกังวลกับความเจ็บป่วย ออร่าที่เปล่งออกมาสดใสกว่าคนปกติเสียอีก..!

ดังนั้น..พวกเครื่องมือวิทยาศาสตร์นี่อีกนาน ยังไม่สามารถจะไล่ทัน อาตมภาพรอดูสมัยพระศรีอริยเมตไตรย เขาบอกว่าคนเกิดมาหน้าตาสวยเหมือน ๆ กันทั้งผู้หญิงผู้ชาย ลงจากบ้านแล้วจำกันไม่ได้เพราะหน้าตาเหมือนกัน กลับขึ้นบ้านเมื่อไรถึงจะจำได้ว่าเป็นคนในครอบครัวตัวเอง

หลวงพ่อสันนิษฐานไว้สองอย่าง อย่างแรกก็คือบุญเป็นตัวกำหนด ในเมื่อสร้างบุญมาใกล้เคียงกัน ก็เลยเกิดมาหน้าตาเหมือน ๆ กัน เหมือนพวกเทวดานางฟ้า ประการที่สอง วิทยาศาสตร์เป็นตัวกำหนด โคลนนิ่งขึ้นมาหน้าตาเหมือนกันหมด แต่คนละจิตวิญญาณกัน อีกประมาณล้านปีเท่านั้น ทนรอพักเดียวก็ได้เห็นแล้ว..! ตอนนี้ขอขึ้นธรรมาสน์ก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 03:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า วันนี้, 00:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,180 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนสวดพระอภิธรรม สะเดาะเคราะห์ บังสุกุลอัฐิอุทิศส่วนกุศล วันจันทร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๘



ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ โดยปกติทุกวันที่ ๑๔ เมษายน ทางวัดจะมีการสวดพระอภิธรรม ๗ บท และบังสุกุลเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติพี่น้องของทุกท่านที่ได้ล่วงลับไปแล้ว

ในส่วนของพระอภิธรรม ๗ บทนั้นมีอานุภาพมาก ถึงขนาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก พิจารณาว่าเราจะตอบแทนค่าน้ำนมและคำข้าวที่มารดาเลี้ยงดูเรามาอย่างไรถึงจะสมควร ? แล้วก็เห็นว่าพระอภิธรรมทั้ง ๗ บทนั้น เป็นสิ่งที่ทรงค่าที่สุด

พระองค์ท่านถึงได้นำไปเทศน์สอนพุทธมารดาจนบรรลุพระโสดาบัน แล้วยังมีพรหมเทวดาอีก ๘๐ โกฏิบรรลุตามไปด้วย ถ้าหากว่าเราใช้มาตราปัจจุบัน ไม่ไปนับตามมาตราโบราณ ตีง่าย ๆ ว่า สิบล้านเป็นหนึ่งโกฏิ ถ้าเป็นมาตราโบราณเขาจะนับ สิบล้านเป็นหนึ่งตึ่ง สิบตึ่งเป็นหนึ่งตื้อ สิบตื้อเป็นหนึ่งอสงไขย ไม่รู้เรื่องใช่ไหม..? พูดไปเหอะฟังอย่างเดียว..!

พระอภิธรรม ๗ บทจึงเป็นธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วมีผู้บรรลุมรรคผลมากที่สุด

สมัยก่อนแม้แต่ในบ้านเราเมืองเรา ก็ใช้การสวดพระอภิธรรมในงานมงคลต่าง ๆ อย่างเช่นว่างานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ งานฉลองอายุ เหล่านี้เป็นต้น แต่ภายหลังเมื่อมีงานพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์พระบรมราชเทวีในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งพระมหาเถระทรงถวายพระอภิธรรม ๗ บทในงานพระบรมศพครั้งนั้น ทำให้ชาวบ้านเห็นเป็นค่านิยมว่าพระอภิธรรม ๗ บทควรที่จะใช้สวดในงานศพ

จากเรื่องมงคลจึงกลายเป็นอวมงคล ทำให้เราท่านทั้งหลายไปเข้าใจว่าพระอภิธรรม ๗ บทหรือพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์นั้นมีไว้ใช้สวดเฉพาะในงานศพ ของดีที่สุดก็เลยกลายเป็นของที่คนเกรงกลัวกันไป เพราะว่ามนุษย์และสัตว์มีความกลัวตายเป็นปกติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : วันนี้ เมื่อ 01:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กมลโกศลจิต​ (วันนี้), ชุณหพงศ์ (วันนี้), ตัวเล็ก (วันนี้), ปริญญา (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศุภชัยรู้แผน (วันนี้)
  #28  
เก่า วันนี้, 00:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,180 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์นั้นมีตัวอย่างก็คือ พระลูกศิษย์พระสารีบุตร แต่เดิมเป็นลูกชาวประมง ลูกศิษย์ทั้ง ๕๐๐ รูปนี้ พระสารีบุตรรับเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ แล้วไปเรียนถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแสดงพระอภิธรรมถวายพุทธมารดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก ว่าควรที่จะสงเคราะห์ด้วยพระธรรมบทใด ?

องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาแล้ว ย้อนไปในอดีตชาติเห็นว่าลูกศิษย์พระสารีบุตรในครอบครัวชาวประมงทั้ง ๕๐๐ รูปนี้ ในอดีตเคยเกิดเป็นค้างคาวฝูงเดียวกัน อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีพระไปอาศัยถ้ำแห่งนั้นเป็นที่พักด้วย แล้วพระท่านก็ซ้อมสวดสาธยายพระอภิธรรม ๗ บทเพื่อความจดจำไม่หลงลืม ค้างคาวทั้งหลายฟังด้วยความเพลิดเพลิน ลืมไปว่าตัวเองเกาะห้อยหัวอยู่ ก็เลยปล่อยเท้าหลุดจากที่เกาะตกลงมาตายหมด

ด้วยอานุภาพของการตั้งใจฟังธรรมทั้งที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง รู้อยู่อย่างเดียวว่าสวดได้ไพเราะน่าฟัง ยังดลบันดาลให้ทั้งหมดขึ้นไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ เสวยความสุขอยู่จนหมดอายุของความเป็นเทวดา แล้วก็ลงมาเกิดเป็นบุตรชาวประมง เมื่อได้บวชกับพระสารีบุตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงแนะนำว่า "สารีปุตตะ ดูก่อน..สารีบุตร เธอจงนำอภิธรรมทั้ง ๗ บทนี้ไปสาธยายให้ลูกศิษย์ของเธอฟัง"

พระสารีบุตรจึงนำพระอภิธรรม ๗ บทที่พวกเราคุ้นเคยกันดีเพราะพระจะสวดว่า กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา เป็นต้น เพียงแต่ว่าเป็นแม่บทของธรรมทั้งหลาย ก็คือกินใจความสำคัญเอาไว้มาก ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มีกรรมเนื่องกันมาแต่อดีต หรือว่าเป็นผู้ที่มีความฉลาดระดับอุคฆฏิตัญญู ที่ฟังแค่หัวข้อธรรมก็รู้ว่าหมายถึงอะไรแล้ว คนอื่นฟังก็จะไม่เข้าใจ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กมลโกศลจิต​ (วันนี้), ชุณหพงศ์ (วันนี้), ตัวเล็ก (วันนี้), ปริญญา (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศุภชัยรู้แผน (วันนี้)
  #29  
เก่า วันนี้, 01:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,180 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างเช่นว่า กุสะลา ธัมมา ธรรมที่เป็นกุศลนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง ก็ประกอบไปด้วยกายสุจริต ๓ วจีสุจริต ๔ มโนสุจริต ๓

กายสุจริต ๓ ก็คือความดีพร้อมทางกาย ๓ อย่าง ได้แก่การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
วจีสุจริต ๔ ก็คือไม่โกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดคำส่อเสียดให้คนแตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์
มโนสุจริต ๓ ก็คือความไม่โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทผู้อื่น ความไม่โลภอยากได้ของคนอื่น และความมีสัมมาทิฏฐิเห็นว่าศีลและธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นเป็นสิ่งดี ควรค่าแก่การปฏิบัติตาม เป็นต้น

อธิบายแค่ย่อ ๆ ยังยาวขนาดนี้ ถ้าอธิบายครบทั้ง ๗ คัมภีร์ เราก็เป็นลมตายกันหมดก่อน..!

พระสารีบุตรนำเอาพระอภิธรรม ๗ บทไปสอนกับลูกศิษย์ทั้ง ๕๐๐ รูป ปรากฏว่ากลายเป็นพระอรหันต์หมดทั้ง ๕๐๐ รูป เนื่องเพราะว่าในอดีต จิตของตนก็ผูกพันอยู่กับพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ มาถึงปัจจุบันวิสัยเดิมความชอบเดิม เมื่อฟังเข้าก็ชอบใจ น้อมนำเอาไปประพฤติปฏิบัติ กลายเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด

เราจะเห็นได้ว่าแม้แต่ค้างคาวซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานฟังพระอภิธรรม ๗ บทไม่เข้าใจ แต่อาศัยความเลื่อมใสว่าสวดได้ไพเราะน่าฟังอย่างเดียว สภาพจิตเกาะในธรรม คือเกาะความดี ไปเกิดเป็นเทวดาด้วยกันทั้งหมด เมื่อมาเกิดใหม่ ได้บวช ฟังพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ซ้ำ กลายเป็นพระอรหันต์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กมลโกศลจิต​ (วันนี้), ชุณหพงศ์ (วันนี้), ตัวเล็ก (วันนี้), ปริญญา (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศุภชัยรู้แผน (วันนี้), หยกเขียว (วันนี้)
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:59



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว