#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เมื่อวานนี้เป็นอะไรที่ชีวิตวุ่นวายเป็นพิเศษ ขนาดเวลา ๑๘.๑๐ น. ของประเทศอินเดียเขาเรียกขึ้นเครื่องแล้ว แม้ว่าเวลาออกคือ ๑๘.๐๐ น. พวกเราก็ยังพอให้อภัย เนื่องเพราะถือว่าล่าช้าเพียงเล็กน้อย
แต่พอขึ้นไปบนเครื่องแล้วกลับไม่ขยับขยายไปไหนเลย จนถึงเวลาทุ่มกว่าซึ่งควรจะเป็นเวลาที่ไปถึงเมืองอมฤตสาร์แล้ว เริ่มมีผู้โดยสารโวยวายประท้วง และตะโกนด่า..! ทำให้กัปตันน่าจะทนความวุ่นวายไม่ไหว จึงออกเครื่องเพื่อบินไปยังอมฤตสาร์ ทันทีที่เครื่องเริ่มวิ่งบนรันเวย์ คนด่าก็ตบมือกันเกรียว รู้สึกว่าพลิกอารมณ์ได้เร็วจนกระผม/อาตมภาพตามไม่ทัน เพิ่งจะตะโกนด่าอยู่ดี ๆ เปลี่ยนไปตบมือชมเชยกันเสียแล้ว..! พวกเรามาถึงเมืองอมฤตสาร์เวลา ๒ ทุ่มเศษ กว่าที่จะรับกระเป๋าได้ครบถ้วน มาขึ้นรถที่รออยู่ก็เป็นเวลา ๓ ทุ่มเศษแล้ว ซึ่งผู้ที่รออยู่ก็น่าจะรอจนเบื่อหน่ายเหมือนกัน เป็นรถบัสคันใหญ่ ดูจากเปลือกนอกแล้วก็สวยงามตาทีเดียว แต่พอขึ้นไปทุกคนก็ผงะ เพราะว่าอากาศภายในรถร้อนพอ ๆ กับเตาอบไมโครเวฟ..! ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศกันอยู่พักใหญ่ กว่าที่พอจะทนกันได้ แล้ววิ่งสั่นงั่ก ๆ เหมือนชายชราอายุ ๘๐ ปี ไปยังโรงแรมที่พัก..! คุณเอ (นายฉัตตริน เพียรธรรม) กรรมการผู้จัดการบริษัทเอ็นซีทัวร์ ทั้งที่ป่วยมาจากประเทศศรีลังกา เพราะว่านำลูกทัวร์ไปกราบสักการะพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว แล้วเจอกับอากาศเปลี่ยนแปลงหนัก ซ้ำยังโดนฝนอีกด้วย เป็นหวัดเสียจนไม่มีเสียงแล้ว ก็ยังพยายามที่จะอธิบายให้พวกเราได้ทราบว่า เมืองอมฤตสาร์นี้ ชื่อจริง ๆ ถ้าเป็นภาษาไทยก็คืออมฤตสาคร ก็คือน้ำอมฤตนั่นเอง เนื่องจากว่าคนอินเดียออกเสียงสั้นไปหน่อย พวกเราฟังไม่ทัน แม้กระทั่งฝรั่งก็เขียนเป็นอมฤตสาร์ เนื่องเพราะว่ามีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ตั้งของสุวรรณวิหาร ซึ่งเป็นโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพสักการะมากที่สุดของพี่น้องชาวซิกข์อยู่ด้วย เมืองอมฤตสาร์นี้ตั้งอยู่ในรัฐปัญจาบ คำว่า ปัญจาบ ในที่นี้ก็คือปัญจะอาโป ก็คือน้ำ ๕ แห่ง หมายถึงแม่น้ำ ๕ สายที่ไหลจากเทือกเขาหิมาลัย ผ่านรัฐนี้ลงไปหล่อเลี้ยงประเทศอินเดีย เมื่อพูดตามภาษาของเขากลายเป็นรัฐปัญจาบ ซึ่งความจริงต้องเป็นปัญจะอาโป ทำให้เข้าใจเลยว่า เรื่องของภาษานั้น ถ้าไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่ เราจะไม่มีวันออกเสียงได้ถูกต้อง เนื่องเพราะว่าเวลาเขาออกเสียงควบ เราก็ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 04:09 |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
พวกเรามาถึงโรงแรมที่พักก็คือ Fairfield by MARRIOTT เมืองอมฤตสาร์ กว่าที่จะได้รับกุญแจห้องก็ทำท่าไร้แรงบินไปตาม ๆ กัน เพราะว่าถ้าเป็นบ้านเราก็ตก ๕ ทุ่มกว่าไปแล้ว กระผม/อาตมภาพเข้าถึงห้องพักได้ จัดการล้างหน้าเช็ดตัว แล้วมุดเข้าใต้ผ้าห่ม กำลังเคลิ้ม ๆ ใกล้หลับ มีเสียงทุบประตูเรียก ปรากฏว่าทางเอ็นซีทัวร์บริการดีจนเกินไป สั่งเขาเอาน้ำปานะมาถวายพระถึงห้องด้วย..!
เมื่อเข้าไปแจ้งในกลุ่มว่า สำหรับหลวงพ่อแล้วไม่ต้องส่งอะไรมาเลย ก็เห็นการนัดว่าพรุ่งนี้ปลุก ๖ โมงเช้า / ๗ โมงเช้าวางกระเป๋าหน้าห้อง แล้วลงไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหารชั้น ๒ / เวลา ๘ โมงเดินทางได้ ใครที่จะเข้าชมสุวรรณวิหาร ถ้าไม่ต้องการใช้ผ้าโพกหัวของเขา ก็ให้ติดผ้าของตนเองไปด้วย เพราะเป็นข้อบังคับของชาวซิกข์เขาว่า การเข้าสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นต้องคลุมผมทั้งผู้หญิงและผู้ชาย กระผม/อาตมภาพนอนภาวนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลถวายแก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ซึ่งประสูติในวันที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘ ไม่น่าเชื่อว่าจากพระราชกุมารองค์น้อย ปัจจุบันนี้ทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว..! เมื่อภาวนาจนครบถ้วน อุทิศส่วนกุศลถวายให้แก่พระองค์ท่านแล้ว ก็ต่อว่าเจ้าแม่นภิสราเทวี ว่าทำไมไม่บอกให้ชัด ๆ ถึงเรื่องเละเทะในวันนี้ที่พวกเราจะรับ นอกจากบอกว่างานเที่ยวนี้มีปัญหาเล็กน้อย ? แม่เจ้าประคุณตอบว่า "พยายามที่จะฝืนกฎแห่งกรรมจนสุดตัวแล้ว สามารถบอกใบ้ได้แค่นั้นเอง แต่พวกเราทุกคนก็ทำกำลังใจได้ดีมาก" พร้อมกับปลอบใจด้วยพระคาถาเงินล้านสูตรพิเศษอีก ๑ ประโยค บอกว่า "ท่านย่าฝากมาให้" กระผม/อาตมภาพก็เลยเลิกต่อว่า ภาวนาจนกระทั่งหลับไป Morning Call ของโรงแรมเป็นอะไรที่น่ารำคาญมาก เนื่องเพราะว่ากลัวเราจะไม่ตื่นหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ? มีการโทรศัพท์ ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง แถมยังให้คนมาเคาะประตูอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพก็เลยหิ้วกระเป๋าลงไปยังห้องอาหารชั้น ๒ ไปนั่งกดดันให้เขาเร่งทำให้เร็ว ๆ เมื่อเห็นว่ามีสิ่งที่ตนเองพอจะฉันได้แล้ว ก็ตักมานั่งฉันเลย ส่วนที่ชอบใจที่สุดก็คืออาหารอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นข้าวโพดผัดกับเม็ดถั่วลันเตา ทำออกมารสชาติอร่อยใช้ได้ทีเดียว จนกระทั่งอิ่มแล้ว พวกเราถึงได้ทยอยกันลงมา สรุปว่าวันนี้ ถ้าใครตรงเวลาก็กลายเป็นคนมาช้าไปโดยปริยาย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 04:14 |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
รถบัสมารับพวกเราตรงเวลามาก เมื่อตรวจสอบกระเป๋าและนำขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ก็วิ่งตรงไปยังสุวรรณวิหาร ใช้เวลาแค่ไม่นานก็ต้องมาจอดให้ทุกคนลง แล้วก็มีรถริกชอร์ หรือว่าสามล้ออินเดีย ซึ่งให้นั่งได้คันละ ๔ คน มารับพวกเราตรงไปยังสุวรรณวิหาร ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นถนนแคบ ๆ รถราแน่นขนัดไปหมด แต่ละคันบีบแตรกันแบบไม่ยั้ง สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเขาฟังรู้เรื่องได้อย่างไร ?!
เมื่อไปถึงจอดลงเท่านั้น ก็มีคนวิ่งมาเร่ขายผ้าคลุมหัวทันที เนื่องเพราะว่าในสุวรรณวิหารนั้นมีกฎระเบียบก็คือ ทุกคนที่เข้าไปต้องโพกหัวให้เรียบร้อย ถ้าทุกท่านสังเกตจะเห็นว่าแขกซิกข์นั้นจะโพกผ้ากันทุกคน จนเราเรียกง่าย ๆ ว่า "อาบังโพกหัว"บ้าง "อาบังขายผ้า" บ้าง เหล่านี้เป็นต้น เพียงแต่ว่าสุวรรณวิหารนั้นเปิด ๙ โมงตรง ทางด้านมัคคุเทศก์ท้องถิ่นจึงแนะนำคุณเอให้พาพวกเราเข้าไปชมสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นสถานที่สังหารหมู่ชาวซิกข์ของพวกคนอังกฤษ เนื่องเพราะว่าตอนนั้นรัฐบาลอังกฤษปกครองอินเดียอยู่ แล้วมีเทศกาลที่ชาวซิกข์มาชุมนุมกันหลายพันคน ทำให้ทางรัฐบาลระแวงว่าเป็นการเดินขบวนเพื่อไล่รัฐบาลอังกฤษ จึงส่งทหารมา "ปิดประตูตีแมว"..! เนื่องเพราะว่าบริเวณสถานที่จัดงานนั้น มีกำแพงล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน เมื่อทหารบุกเข้ามา ทั้งยิงและขว้างระเบิด จึงทำให้บรรดาชาวซิกข์ไม่มีที่จะหลบภัย เฉพาะบ่อน้ำแห่งเดียว มีซากศพชาวซิกข์ทับถมกันอยู่ถึง ๑๒๐ กว่าศพ..! แล้วตามกำแพงก็ยังมีรูกระสุนปืนที่เขาอนุรักษ์เอาไว้ เพื่อบอกถึงความโหดร้ายของผู้ปกครองด้วย เมื่อพวกเราชมสถานที่ ปลงสังเวชและอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ก็ต้องเดินออกมาอีกด้านหนึ่ง คราวนี้ได้เวลาเข้าไปยังสุวรรณวิหารเสียที อันดับแรกเลย เมื่อเห็นตัวอาคารมีโดมสีทอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาคาร ๔ ทิศ พวกเราก็ถ่ายรูปหมู่เอาไว้ก่อน หลังจากนั้นก็ไปทำการฝากรองเท้าซึ่งเป็นการฝากฟรี ไม่เสียเงิน เจ้าหน้าที่ดูแลให้เราดีมาก มัคคุเทศก์แอบกระซิบว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ในนี้ ส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่ร่ำรวยมาก แต่ว่าเสียสละตนเองมาทำงานเพื่อสังคม เมื่อฝากรองเท้าแล้วพวกเราก็ต้องไปล้างมือ แล้วก็เดินผ่านน้ำศักดิ์สิทธิ์เข้าไปทางด้านใน ซึ่งจะมีทหารแขกซิกข์ตัวใหญ่โตมโหฬาร ถือหอกเดินเฝ้าอยู่เป็นระยะ ๆ ถ้าใครนึกไม่ออก ลองนึกถึงสมัยหนึ่งซึ่งเรามี "อาบังแขกยาม" ดูก็ได้ กระผม/อาตมภาพที่สูง ๑๗๒ เซนติเมตร เมื่อเดินเข้าไปเปรียบเทียบกับทหารเหล่านี้แล้ว กลายเป็นลูกชายของเขาไปเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 04:18 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
เมื่อพวกเรามาแล้ว ก็ดูว่ามีมุมให้ถ่ายรูปตรงไหนบ้างที่พากันถ่ายรูปได้ แต่ยกเว้นการถ่ายวิดีโอที่เขาห้าม แล้วถ้าหากว่าการถ่ายรูปนั้น มีใครเผลอทำผ้าคลุมผมหลุด เจ้าหน้าที่ทหารที่ถือหอก ก็จะมาชี้บอกให้ทุกคลุมผมขึ้นไปใหม่ก่อน แล้วถึงจะถ่ายรูปได้ พูดง่าย ๆ ว่านอกจากสุวรรณวิหารแล้ว สระน้ำนั้นก็เป็นสระศักดิ์สิทธิ์ ไม่สมควรที่จะทำอะไรซึ่งเป็นการไม่เคารพ
เมื่อถ่ายรูปกันจนพอใจแล้ว พวกเราแทนที่จะเข้าไปในสุวรรณวิหาร เพื่อสักการะพระคัมภีร์ประจำศาสนาซิกข์ ซึ่งได้รับการดูแลเห่กล่อมเหมือนอย่างกับเป็นองค์ศาสดาที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เห็นแถวคนเป็นพัน ๆ ซึ่งต่อแถวกันแน่นขนัดตั้งแต่เช้าก็ถอดใจ พวกเราก็เลยเดินไปดูโรงทาน ซึ่งได้ชื่อว่าโรงทานใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ว่าจะชาติใดศาสนาใดมาถึง เขาก็เชิญเลี้ยงทั้งสิ้น พวกเราเดินเข้าไปขอดูสถานที่ เขาก็ยังส่งถาดหลุม ส่งช้อนอะไรมาให้ เพียงแต่ว่าพวกเราปฏิเสธ เดินเข้าไปด้านใน เห็นอาสาสมัครชาวซิกข์เป็นจำนวนมาก คนนั้นดูแลถาด คนนี้ดูแลช้อน คนโน้นดูแลแก้วน้ำ อีกฝ่ายหนึ่งก็ไปรอรับจากบุคคลที่กินเสร็จแล้ว ส่วนหนึ่งก็ล้างจานหรือว่าถาดหลุม อีกส่วนหนึ่งก็ล้างช้อน อีกส่วนหนึ่งก็ล้างแก้วน้ำ เหล่านี้เป็นต้น พวกเราเข้าไปร่วมบุญด้วยการเอาเงินไปหยอดตู้ กระผม/อาตมภาพหยอดลงไป ๑,๐๐๐ รูปี แล้วไปเดินดูบุคคลที่กินอาหารกันอยู่ นั่งกันเป็นแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็เดินตักข้าวและตักแกงแจกให้ทุกคน ถ้าใครไม่อิ่มก็ยกมือ สามารถขอเพิ่มได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะอิ่ม เมื่ออิ่มแล้วก็เอาจาน เอาช้อน หรือว่าแก้วน้ำไปส่งให้กับทางเจ้าหน้าที่ช่วยล้าง ซึ่งเสียงล้างดังสนั่นหวั่นไหวมาก..! จนกระทั่งไปนึกถึงวัดหลวงพ่อวัดเขาตะมะยะที่พม่า ซึ่งถ้วยจานชามช้อนทุกอย่างทำด้วยสเตนเลส น่าจะเป็นประสบการณ์ว่า ถ้าต้องการล้างให้ทันกับคนเป็นหมื่นเป็นแสนกิน ก็ต้องเร่งรีบมาก ขืนใช้ภาชนะแก้วหรือกระเบื้องคงจะแตกบรรลัยหมด ทุกอย่างจึงต้องเป็นสเตนเลสเท่านั้น เมื่อออกมาข้างนอกแล้ว กระผม/อาตมภาพเดินไปยังสถานที่หนึ่ง ปรากฏว่าเป็นสถานพยาบาลฟรีของทางศาสนาซิกข์ ใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ มีหมอมีพยาบาลคอยดูแลให้ นับว่าเป็นการดูแลบุคคลได้ครบวงจรมาก มีทั้งที่กินและที่รักษาตัวอยู่ในสถานที่เดียวกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 04:22 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
![]()
คณะของเราเดินกลับออกมาทางด้านนอก ซึ่งเป็นจุดที่ชาวซิกข์หญิงชายไปอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์กัน น่าเสียดายว่าไม่สามารถที่จะลงไปร่วมกับเขาได้ ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจ แต่กระผม/อาตมภาพไม่ได้เตรียมผ้ามาเปลี่ยนด้วย บริเวณนั้นมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งอยู่คู่กับศาสนาซิกข์นี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว เป็นจุดที่บุคคลค้นพบสระน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นครั้งแรก
เมื่อดูเขาเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เข้าไปชมภายในพิพิธภัณฑ์ชาวซิกข์ ไม่ว่าจะเป็นภาพประวัติบุคคลสำคัญ ภาพสิ่งของเครื่องใช้ที่บรรดาสุลต่านหรือมหาราชาชาวซิกข์เคยใช้ บรรดาอาวุธต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมีด เป็นดาบ เป็นปืน ที่บรรดาวีรบุรุษผู้กล้าชาวซิกข์ใช้ต่อสู้อริราชศัตรู แล้วก็มีภาพของศาสนาอื่นที่รุกรานเข้ามา จับชาวซิกข์ทรมานด้วยการแล่เนื้อเถือหนังทีละชิ้น..! สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำให้เห็นว่า กว่าที่จะเขาจะมีสถานที่สำคัญเป็นหลักเป็นแหล่งอย่างสุวรรณวิหารนั้น ต้องทุ่มเทเลือดเนื้อและชีวิตแลกมาจริง ๆ ดังนั้น..ในสถานที่แห่งนี้ ถ้าหากว่าใครมารุกราน เชื่อว่าชาวซิกข์ทั้งหมดก็คงทุ่มเทเลือดเนื้อและชีวิตเข้าไปป้องกันอย่างแน่นอน..! เมื่อออกมาทางด้านนอกแล้ว ก็มีบรรดาร้านขายของที่ระลึกต่าง ๆ จำนวนมาก ซึ่งแต่ละคนก็มาสะกิดเรียกกระผม/อาตมภาพ ถามว่า "เป็นพระจีนใช่หรือไม่ ?"กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ยิ้ม ๆ ขืนตอบเมื่อไรจะมีนิทานเรื่องยาวเกิดขึ้น แล้วเราก็ต้องหลวมตัวซื้อของของเขาทันที แต่กระนั้นก็ตาม พวกเราจำนวนมากก็ซื้อกันไปจนได้ เรียกว่าสมยอมด้วยกันทั้งสองฝ่าย ไม่สามารถที่จะโทษใครได้ หลังจากนั้นก็ได้นั่งสามล้อกลับไปต่อรถบัส แล้วตรงไปยังร้านอาหาร ซึ่งต้องรอกันค่อนข้างนานทีเดียว ถึงจะมีอาหารต่าง ๆ ยกมาเสิร์ฟ แต่เป็นการเสิร์ฟอาหารคล้าย ๆ ภัตตาคารจีน ก็คือมาทีละอย่าง ทำให้คนฉันเร็วอย่างกระผม/อาตมภาพนั้น อิ่มเสียก่อนแล้วกว่าที่อาหารจะมาครบทั้งหมด..! เสร็จจากตรงนั้น พวกเราก็มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองธรรมศาลา รัฐหิมาจัล เนื่องเพราะว่าจะต้องขึ้นไปสักการะองค์ดาไลลามะ ซึ่งรถบัสจะต้องใช้เวลาในการเดินทางอย่างน้อย ๖ ชั่วโมง ในระหว่างที่พักเข้าห้องน้ำ กระผม/อาตมภาพจึงฉวยโอกาสบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนในวันนี้เอาไว้ก่อน สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 04:27 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
|
|