#1
|
||||
|
||||
![]() วันพุธที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
|
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ จากที่ได้นัดเอาไว้ว่าจะเดินทางตอนตี ๓ ครึ่ง ปรากฏว่ากระผม/อาตมภาพนอนหมดสภาพ จนกระทั่งน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) มาเรียกถึงจะตื่น เพราะว่าฉันยาลงไปหลังจากมาลาเรียลงกระเพาะแล้วก็หมดสภาพ..!
รีบลุกขึ้นมาทำการตรวจแก้ไขบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ซึ่งเผือกน้อย (นายเฉลิมเดช รุจิราวรรณ) เป็นผู้ถอดเสียงมาเป็นอักษร และแม่ชีกุ๋ย (อุบาสิกาอุษณี วงศ์ไตรรัตน์) เป็นผู้นำลงในเว็บไซต์วัดท่าขนุน ซึ่งต้องมีคำผิดให้แก้เป็นประจำ บางวันรีบ ๆ ก็เลยข้ามไป จนกระทั่งมีผู้มาชี้จุดผิดให้ ดังนั้น..งานประจำที่ต้องทำก็ต้องทำให้เสร็จเสียก่อน หลังจากนั้นจึงได้เก็บข้าวของขึ้นรถ ไปล้างหน้าแต่งตัว ให้น้องเล็กพาวิ่งฝ่าความมืดและรถติด ไปถึงวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ตอน ๖ โมงครึ่งโดยประมาณ ร่วมทำวัตรเช้ากับผู้ที่เข้ารับการอบรมบาลีก่อนสอบ ซึ่งมีหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม - พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) นำทำวัตรเช้าอยู่ เมื่อเสร็จจากทำวัตรแล้ว ท่านให้โอวาทว่า ถ้าท่านอยู่วัด ก็จะมานำทำวัตรทุกวัน วันไหนที่อยู่วัดแล้วไม่ได้มานำทำวัตร ก็ให้ทุกคนรู้ว่าท่านป่วย..! กระผม/อาตมภาพจึงมาคิดถึงตนเองว่า ผู้บังคับบัญชาท่านทำงานด้วยชีวิต เราเองก็ทำงานด้วยชีวิต แม้กระทั่งพลขับก็คือน้องเล็ก ก็ทำงานด้วยชีวิต เมื่อน้องเล็กเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา กระผม/อาตมภาพจึงได้บอกว่า "พวกเราเป็นประเภทม้าอาชาไนย มีแต่ตายคาสนามรบ จึงจะเป็นเกียรติเป็นศรีของตนเอง โอกาสที่จะได้ตายสบาย ๆ อยู่บนเตียงน่าจะไม่มีสำหรับพวกเรา..!" ญาติโยมทั้งหลายที่เห็นว่าช่วง ๒ วันนี้ กระผม/อาตมภาพป่วยหนัก อุตส่าห์วิตกทุกข์ร้อนแทน ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า "จะวิตกทุกข์ร้อนไปทำอะไร ?" ก็ในเมื่อเจ้าตัวยังไม่รู้สึกว่าตัวเองลำบาก เพราะว่าทำงานแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น ถ้าหากว่ามีมากกว่าวันนี้ ก็ต้องทนทำต่อไป แต่ว่าไม่ไปคิดถึง เพียงแต่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเท่านั้น เมื่อจบจากโอวาท กระผม/อาตมภาพก็ได้ถวายปัจจัยสนับสนุนงาน แด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณแย้มจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท เนื่องเพราะว่าการอบรมบาลีก่อนสอบนั้น ทั้งผู้เข้ารับการอบรมและพระวิทยากร ตลอดจนกระทั่งผู้บังคับบัญชาที่มาเยี่ยมเยียน แต่ละวันบางทีก็ทะลุไปถึง ๕๐๐ รูป/คน..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ค่าภัตตาหารในแต่ละวัน ก็คือภัตตาหารเช้า ภัตตาหารเพล ตลอดจนกระทั่งน้ำปานะ วันหนึ่งก็เป็นแสนบาท กระผม/อาตมภาพถวายไป ๒๐๐,๐๐๐ บาทก็อยู่ได้แค่ ๒ วันเท่านั้น ที่เหลืออีก ๑๓ วันต้องอาศัยคณะสงฆ์ช่วยเหลือกัน หลวงพ่อเจ้าคุณแย้มท่านปรารภว่า "เมื่อคืนมีคนให้มา ๕๐,๐๐๐ บาท ลืมไปแล้วว่าเป็นใคร ให้ไปถามกับเจ้าคุณอ๋อก็แล้วกัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2025 เมื่อ 02:17 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
พระวชิรปัญญาภรณ์, ดร. หรือว่าท่านเจ้าคุณอ๋อ เลขานุการเจ้าคณะภาค ๑๔ นั้น ต้องบอกว่ากระผม/อาตมภาพแทบจะปั้นมาด้วยมือตนเอง ก็คือท่านเป็นลูกศิษย์เรียนปริญญาตรี ปริญญาโทมากับกระผม/อาตมภาพ ซึ่งตอนนั้นเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่าวิทยาลัยสงฆ์วัดไร่ขิงนั่นเอง
เมื่อกระผม/อาตมภาพลาออกจากวิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี เพื่อไปเป็นประธานโครงการจัดหาทุนสร้างวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ ท่านก็ไปเรียนต่อจนจบปริญญาเอก แล้วก็ต้องมารับภาระงานอันหนักหนาสาหัส ทำท่าจะเครียดตั้งแต่อายุกาลพรรษายังไม่ถึง ๔๐ ดี กระผม/อาตมภาพจึงไม่ไปรบกวน หากแต่ว่าไปฉันเช้าร่วมกับพรรคพวกเพื่อนฝูงท่านอื่น ๆ หลังจากนั้นก็มาฟังผู้บังคับบัญชาในคณะปกครองบรรยายถวายความรู้และให้กำลังใจแก่บุคคลที่เข้าร่วมอบรมในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณชัยวัฒน์ - พระธรรมวชิรเจติยาจารย์ (ชัยวัฒน์ ปญฺญาสิริ ป.ธ. ๙) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ พระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ. ๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี พระเดชพระคุณพระราชวชิรสุตาภรณ์ (พนม รตนาโภ - หลวงพ่อเจ้าคุณแก้ว) เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม พระเดชพระคุณพระราชวัชรสาครคณี (ดิเรก ปิติทานนฺโท - หลวงพ่อเจ้าคุณดิเรก) เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร และท้ายสุดก็คือเพื่อนซี้กัน ท่านเจ้าคุณประไพ - พระสุพรรณวชิราภรณ์, ดร. (ประไพ ปุญฺญกาโม ป.ธ. ๓) เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2025 เมื่อ 02:19 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
กระผม/อาตมภาพจดจำสิ่งที่ท่านทั้งหลายพยายามตอกย้ำว่า ให้ทุกคนมีวิชชาจะระณะสัมปันโน ก็คือต้องมีความรู้คู่คุณธรรม หรือว่า ความรู้ดี - ความประพฤติดี โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณชัยวัฒน์นั้น ท่านยืนบรรยายอยู่เกือบชั่วโมง ทั้ง ๆ ที่อายุ ๘๐ กว่าปีแล้ว จนกระทั่งกระผม/อาตมภาพต้องไปประคองท่านกลับที่นั่ง เนื่องเพราะว่าผู้ชราเมื่อยืนนาน ๆ แล้วขาจะแข็ง ถ้าไม่มีคนรู้ใจไปให้เกาะ อาจจะล้มตอนหมุนตัวก็ได้..!
หลวงพ่อเจ้าคุณชัยวัฒน์ท่านบรรยายหลายเรื่อง แต่บอกว่านักศึกษาบาลีของเรานั้น การเรียนรู้จะประสบความสำเร็จ ก็ต้องประกอบไปด้วย ๔ สิ่ง ถ้าขาด ๔ อย่างนี้เมื่อไร ท่านทั้งหลายต่อให้เรียนจนจบประโยค ๙ ก็ไม่แน่ว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต ก็คือประการที่ ๑ บุคลิกดี ซึ่งคำว่าบุคลิกดีนี้ ในสมัยหนึ่งมีวัดดังบางวัด ถึงขนาดกำหนดว่า ถ้าพระภิกษุสามเณรหน้าตาไม่ดี จะไม่รับเข้าสังกัด ซึ่งในยุคนั้นสมัยนั้นทุกคนก็ร่ำลือกันว่า วัดใหญ่ในกรุงเทพฯ วัดนั้น มีแต่พระภิกษุสามเณรหล่อ ๆ ทั้งสิ้น แล้วก็มีตัวอย่างของท่านเจ้าคุณพระอุดมปิฎก (สอน พุทฺธสโร) หรือหลวงพ่อเจ้าคุณสอนที่ไม่ได้สอบบาลี เนื่องเพราะว่าในสายตาผู้อื่นก็คือท่านหน้าตาขี้เหร่ แต่เมื่อถึงเวลามีผู้รับรองให้เข้าสอบ ซึ่งในยุคนั้นเป็นการสอบปากเปล่า ท่านเจ้าคุณสอนสามารถสอบรวดเดียวได้ทั้ง ๙ ประโยคเลย ดังนั้น..ถ้าหากว่าอันดับแรก มีบุคลิกดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ประการที่ ๒ มีคุณ คำว่ามีคุณในที่นี้ก็คือมีคุณธรรมความดีงามประจำตัว ประมาณว่ารู้ละอายชั่วกลัวบาป ต่อหน้าและลับหลังไม่กล้าทำบาปเหมือนกัน หรือว่าเรามีคุณธรรมความดีอื่น ๆ เป็นเครื่องประกอบไปด้วย ก็จะเสริมให้ชีวิตของเรามีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น ประการที่ ๓ มีความรู้ เมื่อเรียนแล้วต้องรู้จริง และนำไปบอกกล่าวให้ผู้อื่นรู้ตามได้ด้วย ไม่ใช่มีความรู้แต่ไม่สามารถที่จะแสดงออกให้คนอื่นเห็นได้ ว่าเราเป็นผู้มีความรู้ ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าท่านเรียนรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีโอกาสที่จะได้แสดงออกให้คนอื่นเห็นว่า ความรู้ความสามารถของเราเป็นอย่างไร ก็จะไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชา ประการสุดท้าย ต้องมีความอดทน ซึ่งพอกระผม/อาตมภาพได้ยินข้อนี้ก็ไปนึกถึงหลวงปู่ทอง - พระพรหมมงคล วิ. (ทอง สิริมงฺคโล) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ ครูบาอาจารย์ใหญ่ของสายปฏิบัติธรรมภาคเหนือ หลวงปู่ทองท่านบอกว่า อดได้ ทนได้ เย็นได้ คอยได้ ดีได้ ก็แปลว่าเราต้องมีความอดทนตั้งแต่การศึกษาเล่าเรียน มีความอดทนต่อหน้าที่การงานที่ผู้บังคับบัญชารับผิดชอบได้ มีความอดทนต่อสิ่งดีและไม่ดีที่เกิดขึ้นในชีวิต สิ่งที่ดีเกิดขึ้น ก็อย่าตื่นเต้น เฟื่องฟู และประมาทหลงระเริง สิ่งที่ชั่วชั่วเกิดขึ้น ก็ต้องไม่เสียอาการ รู้จักนิ่ง ระงับยับยั้ง เก็บเอาไว้ภายใน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2025 เมื่อ 02:24 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
ถ้าหากว่าใครมีคุณสมบัติครบทั้ง ๔ ข้อ คือ บุคลิกดี มีคุณ มีความรู้ มีความอดทน ก็จะทำให้การศึกษาบาลีของท่านก็ดี การศึกษาอย่างอื่น ๆ ก็ตาม ประสบความสำเร็จตามที่ได้มุ่งมาดปรารถนาเอาไว้
ท่านอื่น ๆ ที่ออกมาให้โอวาทก็อยู่ในแนวเดียวกันว่า ให้ทุกท่านพากเพียรพยายาม เนื่องเพราะว่าการเรียนบาลีในปัจจุบันนี้ อยู่ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งสนับสนุนการเรียนบาลีอย่างเต็มที่ เราท่านทั้งหลายต้องไม่ทำให้พระองค์ท่านผิดหวัง ถ้าทุ่มเทกับการเรียนบาลี เราจะไม่มีเวลาที่ไปคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วเลย เนื่องเพราะว่าบาลีนั้น ถ้าขาดความสนใจแม้แต่นาทีเดียว ครูบาอาจารย์อาจจะก้าวเลยจุดนั้นไป แล้วเราต่อไม่ติดก็ได้ จากนั้นก็ได้อำนวยอวยพรให้กับทุกคนประสบความสำเร็จ พอดีกับพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เดินทางมาถึง ท่านจึงได้จุดธูปเทียนนำบูชาพระรัตนตรัย ให้โอวาทและอำนวยอวยพรแก่ผู้เข้าสอบทุกคนเช่นกัน เมื่อนายปรีชา ดิลกพรเมธี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม และนายบุญเชิด กิตติธรางกูร รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าถวายเครื่องไทยธรรม กระผม/อาตมภาพก็ลากลับ เพราะว่าต้องไปให้หมอช่วยดูเสียหน่อยว่า ตนเองที่เจ็บไข้ได้ป่วยนั้น จะต้องรับยาอะไรบางอย่างเพิ่มขึ้นหรือไม่ ? แล้วก็ต้องมาวุ่นวายกับการทำหนังสือต่าง ๆ เพื่อขอความอนุเคราะห์สารพัดหน่วยงาน มาช่วยจัดนิทรรศการหรือว่าออกบูธแสดงสินค้าของตน ในงานทำบุญประจำปีปิดทองรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุน และทำบุญอุทิศอดีต ๗ เจ้าเมืองหน้าด่าน ซึ่งใกล้จะมาถึงในไม่กี่วันนี้แล้ว สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2025 เมื่อ 02:29 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|