#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๗
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ตรงกับวันพระใหญ่ แรม ๑๔ ค่ำ เดือนอ้าย ญาติโยมไปร่วมงานใส่บาตรตามโครงการ "หิ้วตะกร้า นุ่งผ้าไทย นั่งแคร่ไม้ ใส่บาตรพระทุกวันอาทิตย์" เป็นจำนวนมาก เนื่องเพราะว่าช่วงนี้เป็นวันหยุดยาว และทองผาภูมิมีอากาศเย็นเหมือนกับทางด้านภาคเหนือ และหลายต่อหลายปีที่ผ่านมา ทองผาภูมินั้นมีอากาศเย็นกว่าจังหวัดเชียงใหม่เสียอีก ในเมื่ออยู่ใกล้และมีอากาศเย็นเหมือนกับได้ไปทางเหนือ บรรดาญาติโยมที่ตั้งใจจะไปท่องเที่ยวตากอากาศ จึงได้เดินทางไปยังทองผาภูมิกันเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาว ๆ แบบนี้จะไม่มีที่พักเหลือให้เลย ถ้าหากว่าท่านไม่ได้จับจองเอาไว้ก่อน แม้กระทั่งหลวงพ่อโอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) และคณะ ซึ่งเดินทางไปยังวัดถ้ำแก้วสวรรค์บันดาล อำเภอสังขละบุรี ก็ยังให้ลูกศิษย์ติดต่อมาเพื่อขอพักภายในวัดท่าขนุน เนื่องเพราะว่าที่พักเต็มหมดไม่เหลือเลย ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านใดที่จะเดินทางไปอำเภอทองผาภูมิ หรือว่าอำเภอสังขละบุรีในช่วงวันหยุดยาว ควรที่จะมีที่พักที่ได้รับการจับจองล่วงหน้าไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็จะลำบากมาก โดยเฉพาะถ้าเป็นที่พักของอำเภอสังขละบุรีนั้น แต่ละคืนก็อยู่ที่ ๒,๐๐๐ - ๒,๕๐๐ บาท ถ้าหากว่าเป็นของอำเภอทองผาภูมิ ยังอยู่ที่ประมาณ ๗๐๐ - ๘๐๐ บาทเท่านั้น ส่วนในวัดก็มีที่เหลือเฉพาะพระเถระไม่กี่ที่เท่านั้น ส่วนอื่นก็ไม่สามารถจะหาที่พักเป็นการส่วนตัวให้ได้ นอกจากที่พักรวมกับผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งถ้าใครไม่เคยชินในการนอนห้องรวมกับผู้อื่นมาก ๆ แล้วไปเจอคนนอนกรนเข้าด้วย ก็จะมีปัญหาใหญ่ ดีไม่ดีก็ไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน..! อีกประการหนึ่ง วัดท่าขนุนนั้นมีหมาวัดเป็นจำนวนมาก รวม ๆ แล้วประมาณ ๒๐๐ ตัว เมื่อมีคนเข้าออกยามค่ำคืนก็ส่งเสียงเห่า ทำหน้าที่กันอย่างเข้มแข็ง แต่ท่านที่ไม่เคยชินกับเสียงหมาเห่า ก็เท่ากับว่าโดนรบกวนทั้งคืน จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลาย ถ้าพักอยู่ในวัดก็ต้องทำใจล่วงหน้ากันไปก่อนเลย แต่ว่ากระผม/อาตมภาพเองนั้นไม่ได้อยู่ดูแลผู้บวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติรุ่นที่ ๑/๒๕๖๘ เนื่องเพราะว่ามีภารกิจข้างนอก โดยเฉพาะในส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ ไปร่วมงานสมโภชหิรัญบัฏของพระเดชพระคุณพระพรหมวัชรธีราจารย์, ศ., ดร. (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ, ป.ธ. ๙) องค์อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งตำแหน่งหนึ่งของท่านก็คือผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านทั้งหลายที่เคยไปวัดปากน้ำก็ทราบดีอยู่แล้วว่า ตรอกซอกซอยแถวนั้นไม่ได้กว้างใหญ่อะไร ซ้ำยังที่จอดรถมีน้อยอีกต่างหาก ถ้าหากว่าไม่มีบุคคลที่รู้จักมักคุ้นอยู่ภายในวัดแล้ว บางทีท่านก็อาจจะต้องนำรถไปจอดในที่ไกล ๆ ซึ่งไม่สะดวกในการขนไทยธรรมต่าง ๆ ไปร่วมมุทิตาสักการะได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-12-2024 เมื่อ 02:44 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
กระผม/อาตมภาพไปในนามของที่ปรึกษาคณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งเมื่อท่านเจ้าคุณอาจารย์อธิการบดีได้ตามขบวนแห่สัญญาบัตรพัดยศ ตลอดจนกระทั่งหิรัญบัฏของท่าน ขึ้นไปยังชั้น ๒ ของพระมหาเจดีย์มหารัชมงคล ครั้นได้กราบพระและถ่ายรูปแล้ว ก็นั่งรับการถวายมุทิตาสักการะจากพระเถรานุเถระ ตลอดจนกระทั่งญาติโยมที่ไปร่วมมุทิตาในครั้งนี้
พอเห็นหน้ากระผม/อาตมภาพ ท่านยังบอกว่า "ท่าขนุนนี้รักกันจริง มาทุกงาน" กระผม/อาตมภาพอยากให้ท่านกล่าวถึงในนามวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์มากกว่า แต่ปรากฏว่าพอเห็นหน้ากระผม/อาตมภาพทีไร คำว่า "ท่าขนุน" ซึ่งติดปากของท่านมากกว่า ก็หลุดออกมาทุกที ครั้นได้ทำการถวายสักการะแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ขอตัวเดินทางกลับ แล้วก็ดวงดีเหลือเกิน เพราะว่าทันทีที่รถหลุดพ้นซอยมา บรรดาพระเถรานุเถระต่าง ๆ ก็ทะลักกันเข้าไปพอดี เป็นอันว่าในช่วงที่คนอื่นเข้าไปประเดประดังติดกันอีรุงตุงนังอยู่ภายในวัด กระผม/อาตมภาพหลุดออกมา กลายเป็นปลาลงทะเลไปแล้ว ก็แปลว่าความสะดวกคล่องตัวทุกประการได้เกิดขึ้นกับตนเอง ที่ยอมเดินทางไปตั้งแต่เช้า เพื่อความอยู่รอดปลอดภัย ต้องเรียกว่าสิ่งที่พรรคพวกเพื่อนฝูงบอกว่า "อาจารย์เล็กแสนรู้" นั้น ดูท่าว่าจะรู้จริง ๆ เสียด้วย..! ครั้นเมื่อกลับมาถึงที่พักแล้ว ก็ยังต้องเตรียมเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งงานในกลุ่มไลน์ ตลอดจนกระทั่งงานการคณะสงฆ์ ที่จะต้องส่งในช่วงสิ้นเดือนนี้ เนื่องเพราะว่าเป็นสิ้นเดือนและสิ้นปีเสียด้วย ดังนั้น ทางคณะสงฆ์ของเราจึงต้องมีการส่งบัญชีรับจ่ายประจำปี ๒๕๖๗ บางท่านที่ทราบว่ากระผม/อาตมภาพได้ส่งบัญชีรับจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗ ไปแล้ว ก็อาจจะสงสัยว่า "ยังต้องส่งอะไรกันอีก ?" บัญชีตามปีงบประมาณ ๒๕๖๗ นั้น เราเริ่มส่งตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๖ จนกระทั่งถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ส่วนนี้ต้องส่งรายงานต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อที่ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี จะได้รายงานผู้บังคับบัญชาไปตามลำดับชั้น แต่ในส่วนของคณะสงฆ์นั้น กระผม/อาตมภาพต้องส่งบัญชีรับจ่ายประจำปี ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ก็คือส่งตามปีปฏิทิน ให้กับสำนักงานเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งจะต้องรายงานตามลำดับชั้นขึ้นไป จนกระทั่งถึงมหาเถรสมาคม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-12-2024 เมื่อ 02:46 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า ในเรื่องของบัญชีรายรับรายจ่ายนั้น ทางด้านคณะสงฆ์มีการส่งรายงานอย่างเข้มงวดอยู่แล้วทุกปี ดังนั้น..ที่บางท่านมากล่าวว่า ทางคณะสงฆ์ของเราไม่มีการส่งบัญชีให้ตรวจสอบ ถึงมีการทุจริตกันได้ จึงขอแจ้งให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า ทางคณะสงฆ์ของเรานั้น มีการตรวจสอบที่เข้มงวดอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจะขอสัญญาบัตร หรือว่าพระอุปัชฌาย์ ก็ต้องส่งการตรวจสอบทั้งหลายเหล่านี้ไปให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ตั้งแต่เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด ไล่ขึ้นไปจนกระทั่งถึงเจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่ และถ้าเป็นเรื่องของพระอุปัชฌาย์ ก็ต้องถึงมหาคณิสสรอีกด้วย
เพียงแต่ว่าในเรื่องของระเบียบ เรื่องของกฎเกณฑ์ ตลอดจนกระทั่งกฎหมาย หรือพระธรรมวินัยก็ตาม เราจะบังคับได้เฉพาะคนดีมีศีลธรรมเท่านั้น ถ้าหากว่าคนไม่ดี ขาดศีล ขาดธรรม ไม่เห็นแก่ความเป็นพระ ไม่คำนึงถึงสมณสารูป ในเรื่องของรายรับรายจ่าย ก็จะมีการเบียดบังบิดเบี้ยวกันเป็นปกติ..! อย่างที่เป็นข่าวเป็นคราวกันว่า บางวัดหรือว่าบางท่านมีการซุกเงินซุกทองกันเป็นร้อยล้านพันล้าน ถ้าในลักษณะอย่างนั้นก็น่าสงสารท่านเป็นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าราคาความเป็นพระของเราอยู่ที่ ๙๙ สตางค์เท่านั้น เกินขึ้นมาถึง ๑ บาทเมื่อไรก็ขาดความเป็นพระไปทันที ต่อให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านเข้มงวดกวดขันในการอบรมลูกศิษย์ขนาดไหนก็ตาม ถ้าลูกศิษย์ขาด หิริโอตตัปปะ ไม่มีความละอายชั่วกลัวบาป ก็จะกลายเป็นอย่างที่เห็นได้เช่นกัน ดังนั้น..เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพมักจะกล่าวอบรมพระภิกษุสามเณรอยู่เสมอ โดยเฉพาะวัดท่าขนุนนั้น มีการตั้งเวรรับสังฆทานแทนตัวกระผม/อาตมภาพอยู่ ซึ่งเวรสังฆทานทั้งหลาย กระผม/อาตมภาพอนุญาตว่า ถ้ารับเป็นเงินมาให้เอาเข้าเป็นส่วนตัวของท่านได้ แต่ถ้าหากว่ารับเป็นสิ่งของมา จะใช้อะไรให้หยิบจับไปตามจำนวนที่เราต้องใช้ ส่วนที่เหลือนำเข้ากองกลาง เพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่จัดแยกออกมาว่าอะไรเป็นอะไร แล้วก็มีการเปิดให้บุคคลที่ไม่มีสิ่งของเหล่านั้นมารับไปได้เดือนละ ๒ ครั้ง ซึ่งทางวัดพูดกันเล่น ๆ ว่า "วันเซเว่นเปิด" แต่ว่าบรรดาพระที่เป็นเวรรับสังฆทานนั้น ท่านก็เข้าใจดีว่า ปัจจัยไทยธรรมนั้นได้มาในความเป็นพระ โดยเฉพาะญาติโยมตั้งเจตนาว่าถวายสังฆทาน ต่อให้แบ่งสันปันส่วนสิ่งอื่นไปเพื่อสงฆ์แล้ว แต่ว่าในส่วนของปัจจัยเงินทอง จะให้ท่านเอาเป็นของส่วนตัวก็ยังตะขิดตะขวงใจอยู่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-12-2024 เมื่อ 02:50 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
ดังนั้น..บรรดาเวรสังฆทานต่าง ๆ จึงมักจะโดนพระภิกษุซึ่งรับหน้าที่ด้านสาธารณูปการก็ดี ด้านสาธารณสงเคราะห์ก็ตาม ไม่ว่าจะมีการบูรณปฏิสังขรณ์ สร้างเสริมสิ่งหนึ่งประการใดก็ตาม ถ้าเห็นว่ายังอยู่ในงบประมาณที่จะ "ไถ" บรรดารุ่นพี่ได้ ก็จะไปสะกิดขอจากพระที่ท่านรับสังฆทาน โดยไม่ไปรบกวนหลวงพ่อให้เสียเวลา หรือถ้าหากว่าเป็นกิจการงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการสงเคราะห์ผู้อื่น ก็จะดูว่าในส่วนนั้นมีข้าวของในคลังเหลือพอที่จะแบ่งปันอะไรได้บ้าง ซึ่งระยะนี้สารพัดโรงเรียนก็ขอข้าวของมา เพื่อที่จะนำไปใช้ในงานวันเด็ก กระผม/อาตมภาพเองก็สั่งแจกจ่ายให้ไปตามสมควรทุกโรงเรียนที่ขอมา
ก็แปลว่าสิ่งที่ท่านทั้งหลายได้ทำบุญไปนั้น บุคคลที่ละอายชั่วกลัวบาป ท่านก็ไม่ได้ยึดเอาไว้เป็นของตน หากแต่มีจิตสำนึกอยู่เสมอว่าได้มาเพราะตนเองเป็นสงฆ์ แม้ว่าเขาระบุว่าถวายเฉพาะตัว ก็ยังรู้ว่าตนเองได้มาเฉพาะตัวเพราะว่าเป็นพระสงฆ์ จึงมีการที่จะแบ่งปันออกมาเพื่อส่วนรวมหรือว่าเพื่อสงฆ์อยู่เสมอ เรื่องพวกนี้นอกจากครูบาอาจารย์จะต้องเข้มงวดกวดขันในการอบรมแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือพระภิกษุสามเณรนั่นเอง ที่จะต้องรู้จักละอายชั่วกลัวบาป..! กระผม/อาตมภาพเองยังรู้สึกว่าตนเองโชคดีมาก เนื่องเพราะว่าบุคคลรอบตัวที่ต้องยุ่งเกี่ยวกับบัญชี การงานการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพี่มุกดา (นางสาวมุกดา เพชรชื่นสกุล) พี่สาวของกระผม/อาตมภาพเอง ป้ามอย (นางสาวมณีวรรณ สัมฤทธิ์) ซึ่งออกจากงานแล้วก็มาช่วยงานวัดอยู่ เจ๊เกียง (นางสาวมาลินี ตีรเลิศพานิช) ซึ่งลาออกจากความเป็นครูแล้วมาช่วยงานวัดเช่นกัน เจ๊นี้ (นางสาวสุมาลี ตีรเลิศพานิช) ซึ่งเป็นลูกสาวของกระผม/อาตมภาพ รับเอาไว้ตั้งแต่สมัยยังไม่ได้บวช ตลอดจนกระทั่งไอ้ตัวเล็ก (นางสาวพัชรีภรณ์ หยกอุบล) ผู้รับหน้าที่ต่าง ๆ ในเว็บไซต์วัดท่าขนุน และในเฟซบุ๊กวัดท่าขนุน และลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) ซึ่งทำหน้าที่ช่วยจัดจำหน่ายวัตถุมงคคลต่าง ๆ ให้กับทางวัดท่าขนุนนั้น ทุกคนไม่เคยมีปัญหาในเรื่องเงินเลย เพราะว่าในการได้รับการอบรมมานั้นก็คือ อะไรที่ไม่ใช่ของเราจะไม่ไปแตะต้อง โดยเฉพาะในส่วนของเงินสงฆ์ ของสงฆ์ ถ้าหากว่าแตะเข้าเมื่อไร อเวจีมหานรกจะรออยู่..! ทุกคนเสียดายคุณงามความดีของตนเองมากกว่าที่จะเห็นแก่เงิน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-12-2024 เมื่อ 02:52 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
![]()
โดยเฉพาะในส่วนของบุคคลที่ต้องดูแลบัญชี ตลอดจนกระทั่งจ่ายเงินแทนกระผม/อาตมภาพ บางทีก็อาจจะสงสัยว่าเจ๊นี้ควักกระเป๋าจ่ายทีเป็นหมื่นเป็นแสน ป้ามอยควักกระเป๋าจ่ายทีเป็นหมื่นเป็นแสน หรือว่าน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ควักกระเป๋าจ่ายทีเป็นหมื่นเป็นแสน หรือกระทั่งไอ้ตัวเล็กนำเงินมาส่งทีละเป็นล้านก็มี..!
ทำไมเขาเหล่านี้ถึงไม่คิดจะเบียดบังเอาเป็นของตนเองบ้าง ? ก็ด้วยเหตุผลที่ว่า บางคนนั้นเห็นนรกอย่างชัดเจนมาแล้ว ส่วนบางคนมีความละอายชั่วกลัวบาป ไม่กล้าที่จะไปแตะต้องสิ่งของที่ไม่ใช่ของตน ตลอดจนกระทั่งบางคนมีความหยิ่งในเกียรติ รักชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของตนมากกว่าที่จะมาเบียดบังเงินสงฆ์ กระผม/อาตมภาพจึงถือว่าเป็นบุคคลที่โชคดีในด้านนี้ เพราะว่าตนเองเป็นคนที่ไม่สนใจในเรื่องของการเงินใด ๆ ทั้งสิ้น บางทีรับมาก็โยนกอง ๆ เอาไว้ เขาไปค้นเจอ กระผม/อาตมภาพก็ฟังเสียงบ่นจนหูชาไปตามระเบียบ ในเมื่อได้คนทั้งหลายเหล่านี้มาช่วยกัน จึงทำให้กระผม/อาตมภาพที่ใช้เงินแบบไม่คิด ยังพอที่จะมีเงินทองใช้จ่ายกันไปได้โดยที่ไม่ขาดมือ แม้ว่ารายจ่ายจะมากมายขนาดไหนก็ตาม จึงเป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพเองก็ยังภูมิใจว่า ต่อให้ไม่สามารถสอนทุกคนให้ละอายชั่วกลัวบาปได้ แต่อย่างน้อยพระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งญาติโยมของวัดท่าขนุน ก็ยังเป็นบุคคลที่ละอายชั่วกลัวบาป พอจะยกเป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่นได้ไปอีกนาน สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-12-2024 เมื่อ 02:54 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|