#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
|
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ เป็นการสอบธรรมสนามหลวง ระดับนักธรรมชั้นโทและนักธรรมชั้นเอก ประจำปี ๒๕๖๗ วันที่สาม
การสอบนักธรรมนั้น ถ้าหากว่าตั้งแต่ดั้งเดิมมา นักธรรมชั้นตรีเป็นเครื่องคุ้มตัวของผู้ที่เข้ามาอุปสมบท ก็คือทำให้พระใหม่รู้ว่าพระวินัยคือศีลของพระทั้ง ๒๒๗ ข้อนั้นมีอะไรบ้าง จะได้ประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้อง ต่อมาในระดับนักธรรมชั้นโทนั้นเป็นการสอบของบุคคลที่อยู่ในระดับ "คู่สวด" ก็คือพร้อมที่จะเป็นอาจารย์พี่เลี้ยงให้กับพระใหม่ ซึ่งสมัยก่อนนั้นกำหนดว่าต้องพรรษาพ้น ๕ ไปแล้ว การสอบนั้นก็จะมีให้เขียนคำสวดอนุสาวนาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสวดนาค การสวดกฐิน เหล่านี้เป็นต้น ครั้นไปถึงระดับนักธรรมชั้นเอกนั้น เป็นภูมิรู้ของบุคคลที่จะต้องเป็นพระอุปัชฌาย์ เนื่องเพราะว่ามีทั้งเรื่องของสีมา ก็คือหลักการสมมติเขตเพื่อทำสังฆกรรม เรื่องของ สมบัติ วิบัติ ต่าง ๆ ที่ทำให้กุลบุตรผู้นั้นบวชได้หรือว่าไม่ได้ แล้วก็ยังมีวิชาธรรมวิจารณ์ เพื่อให้มีความแตกฉานลึกซึ้งในข้อธรรมต่าง ๆ จะได้เอาไว้ประยุกต์ใช้ในการสั่งสอนญาติโยมทั้งหลาย แม้ว่าในปัจจุบันนี้ ความสำคัญของนักธรรมดูเหมือนจะลดน้อยถอยลง สมัยที่กระผม/อาตมภาพจบนักธรรมชั้นเอกนั้น ยุคนั้นยังสามารถที่จะเดินยืดได้ทั่วประเทศด้วยความภาคภูมิใจ ต่อมาก็จำเป็นที่จะต้องมีมหาเปรียญอย่างน้อยสัก ๓ - ๔ ประโยคกำกับต่อท้ายไปถึงจะศักดิ์สิทธิ์ ในยุคปัจจุบันนี้ก็ต้องมีพุทธศาสตรบัณฑิตบ้าง พุทธศาสตรมหาบัณฑิตบ้าง พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตบ้าง ต่อท้ายเข้าไปอีก แสดงว่าในเรื่องของความรู้นั้น ไม่ว่าจะทั้งทางโลกและทางธรรม พระภิกษุสามเณรของเรามีการศึกษาก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ด้วยเหตุที่ว่าการศึกษานั้นเป็นเพียงแผนที่ ก็คือเป็นเพียงการปริยัติ ศึกษาความรู้เฉย ๆ ไม่ได้นำมาปฏิบัติเสียส่วนใหญ่ จึงไม่บังเกิดผลคือปฏิเวธ ให้ญาติโยมทั้งหลายได้ชื่นใจ จึงมีสารพัดเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นทั่วไปหมด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2024 เมื่อ 01:26 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
โดยเฉพาะการศึกษาของพระภิกษุสงฆ์ในปัจจุบันนี้ พระสงฆ์ที่จบปริญญาเอกรุ่นของกระผม/อาตมภาพนั้นราคาสูงมาก โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพเองนั้น จบปริญญาเอกเป็นรูปที่ ๓ ของจังหวัดกาญจนบุรี
รูปแรกก็คือท่านพระครูสิริกาญจนาภิรักษ์, ดร. เจ้าคณะอำเภอบ่อพลอย เจ้าอาวาสวัดทุ่งมะสัง ท่านจบเปรียญธรรม ๕ ประโยคและปริญญาเอกจากประเทศอินเดียเป็นรูปแรก รูปที่ ๒ ก็คือท่านเจ้าคุณพระเมธีปริยัติวิบูล, ดร. ตอนนั้นท่านเป็นพระมหาศิริ สิริธโร ป.ธ. ๙ จบปริญญาเอกจากประเทศอินเดียเป็นรูปที่ ๒ รูปที่ ๓ ของจังหวัดกาญจนบุรีก็คือกระผม/อาตมภาพเอง พระครูวิลาศกาญจนธรรม ที่มีคำว่า ดร. ห้อยท้ายอย่างโก้หร่านมาหลายปี แต่ว่าในปัจจุบันนี้ คณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรีอย่างเดียว มีพระสงฆ์จบปริญญาเอกเกิน ๒๐ รูปเข้าไปแล้ว แม้กระทั่งเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอต่าง ๆ ก็จบปริญญาเอกกันหลายต่อหลายรูปด้วยกัน ในเมื่อมีการจบระดับปริญญาเอกมาก จึงทำให้คุณค่าดูเหมือนจะน้อยลง เนื่องเพราะว่าเริ่ม "เฟ้อ" แล้ว แต่ว่าในเรื่องของการจบการศึกษาสูง ๆ นั้น ถ้าขาดการปฏิบัติเข้ามาประกอบด้วย โอกาสที่จะทำให้เรามีความมั่นคงในพระพุทธศาสนา รู้จักละอายชั่วกลัวบาป รักศีลของตนเอง ก็ไม่สามารถที่จะมีขึ้นได้ เพราะว่ากำลังใจของเรายังเป็นปุถุชนล้วน ๆ จึงทำให้แม้แต่ในขณะนี้ เรื่องราวต่าง ๆ ในวงการสงฆ์ก็ไม่ได้แผ่วลงเลย พูดง่าย ๆ ว่าส่วนใหญ่อยู่ในระหว่างการสอบ แต่ว่าส่วนน้อยก็ยังคงสร้างเรื่องสร้างราวให้เป็นที่เดือดร้อนของคณะสงฆ์กันทั่วไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2024 เมื่อ 08:12 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
เริ่มตั้งแต่ช่วงประมาณ ๑ เดือนที่ผ่านมา ก็มีเรื่องของ "สาวน้อยขี้อวดกับนักบวชสายเปย์" ประมาณว่าขอเงิน ๒ แสนโอนให้ ๒ ล้าน พาเอาเพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพก็คือท่านเจ้าคุณสุริยัน (พระวชิรญาณวิศิษฏ์ วิ.) เดือดร้อนไปด้วย เพราะว่าบุคคลผู้นั้นเป็นพระปลัด รองเจ้าอาวาสวัดป่าวังน้ำเย็น..!
แล้วก็ยังมาโดนซ้ำด้วยดาบสอง ก็คือบรรดาผู้สื่อข่าวไปเพ่งเล็งเกี่ยวกับวัดที่ทอดกฐินแล้วได้เงินเป็นร้อยล้าน หลายต่อหลายคนก็ออกมาโวยวายว่า "ไปทำบุญทำไมกับวัดมากมายขนาดนั้น ทำไมไม่ไปช่วยเด็กกำพร้า ? ทำไมไม่ไปสร้างโรงพยาบาล ?" กระผม/อาตมภาพอยากจะตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า "ก็เพราะเขาอยากทอดกฐิน ไม่ได้อยากสร้างโรงพยาบาล หรือไม่ได้อยากช่วยเด็กกำพร้า" เป็นต้น เรื่องนี้ไม่ควรจะเป็นเรื่อง แต่เมื่อบรรดาผู้สื่อข่าวไปขุดคุ้ยขึ้นมา แล้วทั้งสองวัดที่โดนขุดก็คือท่านเจ้าคุณสุริยันกับพระปลัดเอกลักษณ์ ปญฺญาคโม เจ้าอาวาสวัดพุทธพรหมยาน ซึ่งจะว่าไปแล้วก็รู้จักมักคุ้นกันดีทั้ง ๒ รูป ขนาดบรรดาเพื่อนพระสังฆาธิการหลายรูปก็มาสะกิดว่า "ลูกศิษย์ทอดกฐินทีหนึ่งได้เป็นร้อยล้าน รู้สึกอย่างไรบ้าง ?" กระผม/อาตมภาพก็บอกว่า "ท่านยังมีเรี่ยวแรงอยู่ เพิ่งจะอายุ ๔๐ ต้น ๆ ก็ให้ท่านทำงานของท่านไป ผมแก่แล้วก็ชะลองานของตนเองลงบ้าง เพราะว่าสภาพสังขารไม่ไหวแล้ว" คนอื่นฟังแล้วก็ยังงง ๆ ว่า "ลูกศิษย์มีเงินขนาดนั้น ทำไมลูกพี่ไม่รู้จักไปขอแบ่งมาบ้าง ?" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ขำ เนื่องเพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้คงไม่เข้าใจคำว่า "โทษย้ายเจดีย์" ก็คือการที่บุคคลตั้งเจตนาจะทำบุญทำกุศลประเภทนี้ แล้วนักบวชเอาไปทำอีกประเภทหนึ่ง ข้างล่างเขาปรับโทษเท่ากับย้ายเจดีย์ อันเป็นที่เคารพศรัทธาของบุคคลส่วนใหญ่ โทษไม่ต้องกล่าวเลยว่าหนักขนาดไหน แต่เมื่อมาพูดเรื่องแบบนี้ หลายท่านก็จะว่า "เพ้อเจ้อ" เพราะว่าไม่มีปรากฏอยู่ในตำรา โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพได้รับนิมนต์ให้ไปปลุกเสกรูปเหรียญรุ่นแรกของท่านเจ้าคุณสุริยันต์ในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ นี้ แต่ว่าติดงานของพระครูโก้ (พระครูสังฆรักษ์ฬัสวัชร์ ฐิตสีโล) เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมอนันต์บูรพารามไปแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านเจ้าคุณสุริยันก็ต้องทำหน้าเซ็งในอารมณ์ เพราะว่าครูบาอาจารย์ที่ตั้งใจนิมนต์กลับมาไม่ได้ เรื่องที่ไม่ควรจะเป็นเรื่องกลายเป็นเรื่องขึ้นมา บุคคลที่เกี่ยวข้องก็โดนโยงให้มั่วไปหมด..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2024 เมื่อ 01:32 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
เท่านั้นก็ยังไม่พอ ถัดมาก็ยังมี "หลวงพี่ฟ้องพระครูเจ้าคณะตำบล" ซึ่งเกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บ แล้วก็มอบอำนาจให้หลวงพี่ท่านไปติดต่อกับบริษัทประกัน จนกระทั่งได้เงินชดเชยมา ๑ ล้านบาทแล้วจะได้ถอนฟ้อง
แต่ปรากฏว่าหลวงพี่ท่านไม่ยอมถอนฟ้องให้ในฐานะผู้รับมอบอำนาจ เนื่องเพราะคาดว่าจะได้รับเงินส่วนแบ่งจากท่านพระครูเจ้าคณะตำบลมาจำนวนหนึ่ง แต่ว่าท่านพระครูเจ้าคณะตำบลผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ อาจจะต้องใช้เงินในการรักษาตัวเอง จึงไม่ได้แบ่งให้ ทำให้ทุกอย่างยืดเยื้อคาราคาซัง กลายเป็นคดีซ้อนคดีไป คณะสงฆ์ของเราจึงกลายเป็นที่เพ่งเล็งต่อไปตามเคย..! ต่อมาก็ยังมีเรื่องราวของ "ท่านปีนเสา" ตลอดจนกระทั่งบุคคลที่ได้ฉายาว่า "เปรตเดินดิน" ที่โดนจับสึกไปแล้วก็ยังอุตส่าห์มาเดินลากขา ห่มชุดขาว ขอบิณฑบาตต่ออีก ทำให้กระผม/อาตมภาพเข้าใจว่า คำว่าปทปรมบุคคลกับคำว่าทุมมังกุบุคคลในบาลีนั้นมีสภาพเช่นนี้เอง..! หลังจากนั้นหลวงพี่น้ำฝน (พระครูปลัดสิทธิวัฒน์) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ประธานพระวินยาธิการคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ซึ่งทำงานด้านโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ร่วมกับกระผม/อาตมภาพ ก็ได้บุกไปถล่มแหล่งมั่วสุมที่บริเวณบึงชำอ้อ จังหวัดปทุมธานี ที่มีนักบวชแหกคอกไปมั่วสุมกันอยู่ แล้วก็ออกไปบิณฑบาต ชนิดที่ยืนคาที่อยู่ที่เดียว รับแล้วรับอีก จนกลายเป็นที่ระอาใจของญาติโยม เพราะว่ามีการเอาไปแลกเปลี่ยนหมุนเวียนเป็นเงินกลับมา และได้ข่าวว่ายังมีการมั่วสุมกับยาเสพติดอีกด้วย..! หลวงพี่น้ำฝนบุกเข้าไปตรวจเจออยู่ ๑๔ รูปด้วยกัน เมื่อตรวจสอบแล้ว ผู้ที่ไม่มีหนังสือสุทธิ ไม่มีสังกัดและปัสสาวะเป็นสีม่วง ไม่ว่าจะเหตุใดเหตุหนึ่งในเหตุทั้งหลายเหล่านี้ ก็สั่งสึกเสียตรงนั้นไป ๑๑ รูปด้วยกัน วงการผ้าเหลืองของเราแทนที่จะสะอาดขึ้น ผู้คนกลับมองว่า "นักบวชปัจจุบันนี้เป็นอย่างนี้ไปหมด..!" เรื่องยังไม่ทันจะจบก็มีข่าว "เจ้าอาวาสใช้ตะพดทุบรถจนกระทั่งกระจกแตก" ทางเจ้าของรถอ้างว่า "แค่เข้ามากลับรถเท่านั้น" แต่หลวงตาเจ้าอาวาสยืนยันว่า "มาจอดแช่ ทั้ง ๆ ที่บอกแล้วว่าห้ามจอด" อีกฝ่ายหนึ่งยืนยันว่า "แค่เข้ามากลับรถ" หลวงตาบอกว่า "ถ้าแค่เข้ามากลับรถ พระแก่อย่างอาตมาก็ไม่สามารถที่จะไล่ตามไปทุบกระจกได้" เมื่อต่างฝ่ายต่างเถียงกัน ท้ายที่สุดหลวงตาเจ้าอาวาสก็ยอมเสียค่าปรับในฐานะทำลายทรัพย์สินคนอื่น แต่ว่าภาพพจน์คณะสงฆ์พังบรรลัยไปเรียบร้อยแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2024 เมื่อ 01:43 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
![]()
ต่อจากนั้นอีกเพียงวันเดียวก็กลายเป็นข่าวใหญ่ว่า "เจ้าอาวาสวัดดังในจังหวัดกาญจนบุรี ปรี๊ดแตกในเรื่องการเก็บค่าที่จอดรถ" ทำเอาพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ. ๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ต้องมานั่งกุมขมับ บ่นกับกระผม/อาตมภาพว่า "เรื่องแค่นี้ก็จัดการไม่เป็น แล้วแถมอยู่ต่อหน้านักข่าวก็เก็บอารมณ์ไม่ได้อีกต่างหาก เสียทีที่ตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสจริง ๆ" ก็แปลว่าภาพพจน์ของคณะสงฆ์พังบรรลัยไปเรียบร้อยอีกเช่นกัน..!
วันนี้ก็มีข่าว "พระทะเลาะกับแม่ชีเรื่องค่าไฟ" ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น จะเป็นตู้แช่ และไฟฟ้าต่าง ๆ ใช้อย่างครื้นเครงเต็มที่ แต่ไม่มีช่วยจ่ายเลย เรื่องนี้กระผม/อาตมภาพให้พระสงฆ์ในวัดท่าขนุนจัดการกันเอง ก็คือเก็บค่าไฟรูปละ ๑๐๐ บาท ถ้าหากว่าใครอยู่กุฏิส่วนตัว อย่างเช่นกุฏิแม่ชีในแดนสงบ ก็เก็บคนละ ๓๐๐ บาท เรื่องนี้เป็นคำสั่งเจ้าอาวาสเอง แล้วกระผม/อาตมภาพก็ถวายเบี้ยเลี้ยงให้รูปละ ๒๐๐ บาท สรุปก็คือเงินเจ้าอาวาสนั่นแหละที่ชักกลับมาครึ่งหนึ่งเพื่อเป็นค่าไฟ..! ในส่วนของแม่ชีนั้นก็ถวายปัจจัยให้รูปละ ๑,๐๐๐ บาท ใครมีกุฏิส่วนตัวที่จะอยู่อย่างสบายเป็นเอกเทศหน่อยก็จ่ายคืนมา ๓๐๐ บาท เนื่องเพราะว่าบิลล่าสุดที่ผ่านมา ค่าไฟวัดท่าขนุนอยู่ที่ ๖๙,๓๐๐ กว่าบาท ได้ยินแล้วจะเป็นลมตาย..! แม่ชีชื่น ศรีสองแคว หัวหน้าแม่ชีวัดท่าขนุนมาบอกว่า "หนูขอเบิกหลวงพ่อแค่ ๕๐,๐๐๐ บาท..!" กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้วจะเป็นลม..! "แค่ ๕๐,๐๐๐ บาท..!" แสดงว่าเงินในตู้สังฆทาน ค่าน้ำ ค่าไฟที่ญาติโยมหยอดทำบุญเอาไว้ มีแค่หมื่นกว่าบาทต่อเดือนเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงเป็นเรื่องที่แต่ละวัดต้องบริหารจัดการให้ดี ถ้าไม่มีข้อตกลงกันที่ชัดเจนไว้ตั้งแต่แรก เดี๋ยวก็จะเกิดปัญหาทะเลาะกันอย่างวัดแห่งนี้ แล้วภาพพจน์คณะสงฆ์ก็จะพังบรรลัยยิ่งขึ้น..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2024 เมื่อ 01:47 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
![]()
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีข่าว "ลัทธิประหลาดฝึกเด็กตาทิพย์อีก" ซึ่งเรื่องพวกนี้อ่อนไหวต่อกระแสสังคมอยู่แล้ว จนกลายเป็นว่าต่อให้คุณทำผิดหรือว่าทำถูกก็ตาม ก็จะกลายเป็นผิดในสายตาของสังคมข้างนอกไปหมด..!
แล้ววิธีการฝึกทิพจักขุญาณ ซึ่งกระผม/อาตมภาพศึกษามาก็คือ จะต้องฝึกจากอาโลกกสิณ ก็คือฝึกจากแสงสว่าง หรือว่าดวงแก้วลูกแก้วอย่างหนึ่ง ฝึกจากโอทาตกสิณ ก็คือกสิณสีขาวอย่างหนึ่ง หรือว่าฝึกจากเตโชกสิณ ก็คือกสิณไฟอย่างหนึ่ง แต่นี่ท่านไปปิดตาแล้วก็ให้เด็กเดาตัวอักษรหรือว่าตัวเลขบนกระดาษ แบบที่นักมายากลเขาทำกัน เรื่องพวกนี้ทำไปคนก็สงสัยเสียเปล่า ๆ เพราะว่าแหกคอกนอกตำรา ไม่มีมาทั้งในพระไตรปิฎก หรือว่าอรรถกถา ปกรณ์วิเสสใด ๆ ทั้งสิ้น..! กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ถอนใจว่า ขณะที่พระภิกษุสามเณรส่วนหนึ่งพยายามที่จะศึกษาปฏิบัติ รักษาตนอยู่ในกรอบของนักบวชที่ดีของพระพุทธศาสนา แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่อยากดังจนหน้ามืด ก็อยากหาแสง ตลอดจนกระทั่งไม่รู้ว่าการประพฤติปฏิบัติเป็นพระภิกษุสามเณรที่ดีอย่างไร จึงได้สร้างปัญหาให้กับคณะสงฆ์จนกระทั่งภาพพจน์ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่ทุกวัน กลายเป็นภาระใหญ่ที่กระผม/อาตมภาพจะต้องประคับประคองพระภิกษุสามเณรในสังกัดของตนเอง ให้ประพฤติปฏิบัติเข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อรักษาศรัทธาญาติโยมเอาไว้ ก็ต้องบอกว่าขอบคุณท่านทั้งหลายที่ทำตัวเป็น "นักบวชเน่า" ให้คนอื่นเขาเห็นอย่างชัดเจน ถ้าหากว่าญาติโยมมีสติดีพอ ก็จะเห็นว่านักบวชที่ดีนั้นยังมีอยู่ แล้วก็หันมาเคารพนับถือยึดถือบุคคลที่ดี เป็นที่พึ่งที่ระลึกของท่านในฐานะสังฆานุสติและเป็นเนื้อนาบุญต่อไป สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2024 เมื่อ 01:50 |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|