กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 30-10-2024, 19:48
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,936
ได้ให้อนุโมทนา: 225,200
ได้รับอนุโมทนา 800,228 ครั้ง ใน 39,355 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 31-10-2024, 00:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเมื่อกลับถึงวัด กระผม/อาตมภาพก็นำเอาเงินกฐินและเงินตักบาตรเทโวไปฝากธนาคาร โดยเฉพาะเงินกฐินนั้น ทางระเบียบคณะสงฆ์ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว เหลือเท่าไรต้องนำฝากเข้าไปทั้งก้อน ซึ่งค่าใช้จ่ายในที่นี้อนุญาตให้แค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น อย่างเช่นว่าค่าอาหาร ค่าน้ำดื่มเลี้ยงคนที่มาร่วมงาน ค่าดอกไม้ประดับสถานที่ ค่าเครื่องเสียงเผื่อว่าต้องเช่าเขามา เงินถวายพระภิกษุสามเณร ส่วนอื่น ๆ ไม่อนุญาต ก็แปลว่าเงินกฐินนั้น เราจะหักค่าใช้จ่ายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนที่เหลือถ้าหากว่ามีหนี้ค่าก่อสร้าง ให้ฝากเงินเข้าไปก่อน แล้วทำเบิกออกมาให้เขาทีหลัง เพื่อจะได้มีหลักฐาน

พูดง่าย ๆ ว่าป้องกันการทุจริต เพราะว่ารุ่นเก่า ๆ สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเป็นพระใหม่อยู่ เขาทำบัญชีโดยการหักค่าก่อสร้างจนเงินเหลือ ๐๐.๐๐ บาท แทบทุกบัญชี ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเป็นการหักอย่างแท้จริง หรือว่าหักเพื่อไม่ให้มีเงินเหลือ เรื่องนี้ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือเจ้าอาวาสเอง ว่ามีความละอายชั่ว กลัวบาป รักศีลของตนเองเท่าไร

เรื่องนี้จะว่าไปแล้ว กระผม/อาตมภาพถือว่าโชคดีเป็นอย่างยิ่ง ที่มีหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นครูบาอาจารย์ นอกจากเน้นย้ำในเรื่อง
ความเป็นพระของเรา ที่จะขาดได้ง่ายที่สุดจากเรื่องของเงิน เพราะว่ามีราคาแค่บาทเดียวเท่านั้น..! ขณะเดียวกัน ท่านยังสอนมโนมยิทธิให้ เพื่อไปพิสูจน์ดูว่าบรรดานักบวชที่ผิดศีลนั้น มีคติคือที่ไปหลังความตายอย่างไรบ้าง ทำเอากระผม/อาตมภาพไม่กล้าบวช..!

เนื่องเพราะเห็นว่าบรรดานักบวชที่ทำผิดทำพลาด โดยเฉพาะในเรื่องของเงินสงฆ์ ลงไปอยู่ในนรกแต่ละขุมแน่นขนัด เหมือนเปิดกล่องไม้ขีดแล้วเห็นหัวไม้ขีดอย่างไรอย่างนั้น เมื่ออายุครบบวช โยมแม่ขอให้บวชก็ผลัดแล้วผลัดอีก เพราะเกรงว่าจะต้องลงไปแบบนั้น จนกระทั่งอายุ ๒๗ ปี ถึงได้รับปากบวชถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงท่าน แต่ขอบวชแค่ ๗ วันเท่านั้น แล้วก็อยู่มาจนบัดนี้..!

คราวนี้ในส่วนของเงินที่นำไปฝากนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินกฐิน หรือว่าเงินตักบาตรเทโว เมื่อเจ้าหน้าที่ธนาคารนับแล้ว ล้วนแต่มีเงินเกินจากยอดทั้งสิ้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของวัดท่าขนุนไปแล้ว..! ก่อนหน้านี้เวลาเจ้าหน้าที่ถามว่า "ใครเป็นคนนับเงิน ?" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ เพราะเป็นคนนับเองกับมือเสียส่วนใหญ่ แล้วบางทีนับไปก็เกินไปต่อหน้าต่อตานั่นแหละ..!

เงินแต่ละปึกแต่ละมัด กระผม/อาตมภาพนับอย่างน้อย ๓ - ๔ เที่ยว ถ้า ๓ หรือว่า ๔ เที่ยวนั้นไม่เท่ากัน ก็ต้องนับต่อไปจนกว่าที่จะได้เท่ากัน เพราะฉะนั้น..โอกาสที่จะพลาดให้เงินเกินนั้นเป็นไปไม่ได้ บางครั้งก็นับไปดึงออกไป นับไปดึงออกไป ทั้ง ๆ ที่ครบร้อยเตรียมที่จะมัดแล้ว พอนับซ้ำก็เกินมาอีก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2024 เมื่อ 01:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 31-10-2024, 00:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องนี้ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายที่ทำในพระคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ หรือว่าพระคาถาเงินล้านก็ตาม ถ้าทำขึ้นแล้วจะมีประสบการณ์อย่างนี้ทั้งสิ้น ครั้งที่เกินมากที่สุดก็คือเกินมา ๑ ล้านบาท เป็นการเกินชนิดที่ไม่มีใครรู้ว่าเงินก้อนนี้มาจากไหน ?! ไอ้ตัวเล็กที่เป็นคนเอาเงินมาส่งก็ยังงง ๆ เพราะว่าเงินทั้งหมดที่มาส่ง ตรวจสอบแล้วกองอยู่ตรงหน้า แล้วเงิน ๑ ล้านบาทไม่ทราบเหมือนกันว่างอกมาจากตรงไหน แต่กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้รังเกียจอะไร เกินมาเท่าไรก็ยินดีรับไว้ทั้งสิ้น..!

อีกช่วงหนึ่งก็คือตอนที่หล่อพระทองคำทั้ง ๓ องค์ ส่วนของทองคำแท่งที่นับแล้วนับอีกว่าจำนวนนี้แน่นอนแล้ว ก็ยังมีเกินมามาก ๆ ที่นำมากล่าวเพื่อที่จะยืนยันให้กับพวกเราว่า ถ้าท่านทั้งหลายทำจริง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าคำว่า "ทำจริง" นี้ต้อง "ทำให้ถูกวิธี" ด้วย ญาติโยมจำนวนมากเร่งท่องให้จบ เพื่อให้ครบจำนวนที่ตั้งใจไว้ ถ้าทำลักษณะนั้นแสดงว่าสภาพจิตไม่มีคุณภาพ เนื่องเพราะว่าเรื่องของการใช้พระคาถาทุกบท สมาธิจิตมั่นคงเท่าไรก็เกิดผลมากเท่านั้น จึงไม่ใช่การเร่งภาวนาให้จบ

แล้วปัจจุบันนี้ก็มีผู้ทำคลิปเกี่ยวกับพระคาถาเงินล้านจำนวนมาก ที่ไปพาดหัวคลิปว่า "แค่ฟังก็รวยแล้ว" ไอ้เจ้าพวกนั้นน่าจะโดน สคบ.ลงโทษเสียให้เข็ด โทษฐานโฆษณาเกินจริง..! ถ้าสมมติว่าเราไปฟัง คนอื่นบอกว่าทำมาหากินวิธีนี้แล้วจะรวยอย่างเดียว แล้วรวยได้ได้ตามนั้นก็น่าจะดี คุณไม่คิดที่จะลงทุนทำอะไรด้วยตัวเองเลยแล้วจะให้รวย เป็นไปได้อย่างไรวะ ?

เนื่องเพราะว่าในส่วนของพระคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ ที่หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ได้มาจากท่านปู่ครูผึ้งที่นครศรีธรรมราชก็ดี มาภายหลังพัฒนาขึ้นเป็นพระคาถาเงินล้าน โดยหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ตาม พื้นฐานใหญ่ที่สุดก็คือ "ต้องมีทานเป็นปกติ"

แม้แต่ตัวกระผม/อาตมภาพเองสมัยที่เป็นฆราวาส ซึ่งสมัยนั้นเงิน ๕ บาท ๑๐ บาท ยังมีราคาแพง ได้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะทำบุญครั้งละ ๑๐๐ บาท เลียนแบบท่านปู่ครูผึ้งที่ใครไปขอความช่วยเหลือจากท่าน สมัยนั้นข้าวเปลือกเกวียนละ ๑ บาท ท่านมอบเงินให้คนที่ไปขอคนละ ๑๐๐ บาท..!

ยุคของท่านกับยุคของกระผม/อาตมภาพห่างกันเนิ่นนานมาก เงิน ๑๐๐ บาทสมัยของท่าน น่าจะราคาเป็นล้านในสมัยนี้ ส่วนเงิน ๑๐๐ บาทของสมัยกระผม/อาตมภาพ ค่าเงินปัจจุบันก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ ๑๒๐ - ๑๓๐ บาทเท่านั้น แต่ก็ตั้งใจเอาไว้ว่า
จะทำแบบนั้นเพื่อสร้างทานบารมี ซึ่งตัวทานบารมีนี้จะเป็นตัวเสริมโภคสมบัติ ไม่ว่าจะเป็นชาติปัจจุบันหรือในอนาคต ถ้าเราไปเกิดใหม่ก็ตาม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2024 เมื่อ 01:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 31-10-2024, 00:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ข้อที่สองก็คือกำลังสมาธิ ดังนั้น..ในเรื่องของพระคาถาจึงเป็นเรื่องที่เราต้องภาวนา ไม่ใช่สักแต่ว่าท่องให้จบ ก็คือใช้ตัวคาถาเป็นคำภาวนาควบกับลมหายใจเข้าออก ว่าช้า ๆ แล้วตามดูลมหายใจเข้าออกไปด้วย

สมัยที่กระผม/อาตมภาพตั้งหน้าตั้งตาทำนั้น เริ่มตั้งแต่ตี ๓ ไปเลิกตอน ๑ ทุ่มทุกวัน โดยที่หยุดฉันเพลประมาณ ๑๕ นาทีเท่านั้น แล้วตอนนั้นก็ฉันมื้อเดียว ระยะเวลาขนาดนั้นได้เต็มที่ ก็คือภาวนาอย่างมีคุณภาพได้ประมาณ ๑,๒๐๐ จบ แต่ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือจากนั้นเลย มาตอนหลังจึงลดลงมาให้อยู่ในระดับที่ทำงานอื่นได้ด้วย ก็อยู่ที่ ๓๐๐ จบต่อวัน ทำอยู่ประมาณ ๓ ปีต่อเนื่องกัน นับจนลูกประคำขาดไปนับครั้งไม่ถ้วน..!

ประการต่อไปก็คือ "ความจริงจัง สม่ำเสมอ" นอกจากมีทานเป็นปกติ ทรงสมาธิเป็นปกติแล้ว คาถาทุกประเภทต้องการคนที่จริงจังและสม่ำเสมอ พูดง่าย ๆ ก็คือเคยทำเท่าไร ต้องทำอย่างน้อยเท่านั้นทุกวัน ไม่ใช่วันนี้ขี้เกียจก็ว่า ๓ จบ พรุ่งนี้ขยันก็ว่า ๙ จบ ขึ้น ๆ ลง ๆ หาความแน่นอนไม่ได้

โดยเฉพาะที่กระผม/อาตมภาพกำหนดไว้ว่าให้พวกเราภาวนาอย่างน้อยวันละ ๑๐๘ จบ อันดับแรกก็คือ ถ้าภาวนานาน โอกาสที่จิตจะทรงสมาธิสูงขึ้นมีมากกว่า ประการที่สองก็คือ เวลาในการภาวนามาก โอกาสที่เราจะไปฟุ้งซ่านเรื่องอื่นก็มีน้อย และที่แน่ ๆ ก็คือ ถ้ามีกำลังใจทำแบบนั้นทุกวัน ความจริงจังสม่ำเสมอต้องมีแน่นอนอยู่แล้ว


ดังนั้น..ในสิ่งที่กระผม/อาตมภาพทำแล้วได้รับผลดีเป็นปกติ โดยเฉพาะช่วงไหนต้องการใช้เงินมากก็มามาก ช่วงไหนต้องการใช้เงินน้อยก็มาน้อย จนกระทั่งหลายท่านที่เหนื่อยแทน หรือว่าเกร็งแทนกระผม/อาตมภาพ ที่ว่าเฉพาะของพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนนั้น ยังค้างเขาอยู่ ๔๓ ล้านบาท..! แล้วตอนนี้มีรองรังอยู่ ๓ ล้านบาท ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปกังวล เนื่องเพราะว่าเรามีหน้าที่ทำ ทำแล้วผลจะเกิดหรือไม่เป็นเรื่องของมัน นี่คือเคล็ดลับข้อสุดท้าย ก็คือ "พระคาถาทุกบทต้องมีอุเบกขา"

เรามีหน้าที่ทำ ทำแล้วก็แล้วกัน ผลดีจะเกิดหรือไม่เกิด จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่าง เราทำของเราไปเรื่อย ไม่ต้องไปตั้งความหวัง ไม่ต้องไปกังวล ถ้าหากว่าทำได้ครบทุกข้อแบบนี้ ขอยืนยันว่า "แค่ทำต่อเนื่องให้ได้ ๒ เดือน ผลจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน"

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2024 เมื่อ 01:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:17



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว