กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 30-07-2024, 19:51
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,997 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 31-07-2024, 00:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,275 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพไปงานฉลองสัญญาบัตรพัดยศของพระเดชพระคุณพระสุพรรณวัชราจารย์ (ป่วน ณฏฺฐโสภโณ) หรือที่กระผม/อาตมภาพเรียกท่านว่าหลวงปู่ป่วน รองเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าอาวาสวัดบรรหารแจ่มใส อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี

หลวงปู่ป่วนท่านบวชเณรกับหลวงปู่มุ่ย วัดดอนไร่ ท่านทั้งหลายถ้าหากว่าติดตามข่าวคราวในวงการพระเกจิอาจารย์ ก็จะทราบดีว่าหลวงปู่มุ่ย วัดดอนไร่นั้น ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เป็นที่นับถือของบุคคลทั่วไปขนาดไหน

หลวงปู่ป่วนนั้น ท่านมีวัตรปฏิบัติที่เข้มข้นตามที่ครูบาอาจารย์สอน แม้กระทั่งวันนี้ที่เป็นวันฉลองสัญญาบัตรพัดยศของท่าน ท่านก็ยังออกบิณฑบาตตามปกติ..! ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า แม้กระผม/อาตมภาพจะเข้มงวดในเรื่องของการบิณฑบาตก็ตาม แต่ถ้าหากว่ามีงานคณะสงฆ์เข้ามา กระผม/อาตมภาพก็เดินทางไปงานคณะสงฆ์โดยไม่ได้บิณฑบาต แต่หลวงปู่ท่าน ขนาดวันนี้เป็นงานฉลองสัญญาบัตรพัดยศของตนเอง ท่านยังออกบิณฑบาตตามปกติ

เราจะเห็นว่าพระเถระที่ได้รับการอบรมมาแบบเก่า ๆ ท่านจะเข้มงวดต่อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ อันดับแรกเลยก็คือปฏิบัติตามที่ครูบาอาจารย์สอน ซึ่งตรงนี้ต้องใช้คำว่า "สั่งสอน" ก็คือ เห็นคำสอนครูบาอาจารย์เป็นคำสั่งที่ต้องปฏิบัติตาม แบบเดียวกับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระธรรมวินัยขึ้นมาให้พวกเรา ก็คือมีคำสั่ง อย่างเช่นสั่งว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ แล้วก็มีคำสอน ก็คือควรปฏิบัติเช่นนั้น ควรปฏิบัติเช่นนี้

ดังที่กระผม/อาตมภาพเคยเรียนถวายหลายท่านไปแล้วว่า ตัวกระผม/อาตมภาพนั้นฟังคำสอนหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงเป็นคำสั่ง ก็คือถ้าหากว่าท่านฟังเป็นคำสอน อาจจะปล่อยเลยหูไปก็ได้ แต่ถ้าฟังเป็นคำสั่งก็คือ ครูบาอาจารย์ท่านสั่งให้เราทำ

ตั้งแต่เจอหน้าหลวงปู่ป่วนในงานปลุกเสกเมื่อหลายปีที่แล้ว ท่านไม่เคยยอมให้กระผม/อาตมภาพกราบท่านเลย ทุกครั้งจะโดนท่านตะครุบมือเอาไว้ บอกว่า "แค่ไหว้ก็พอแล้ว" ส่วนวันนี้หนักยิ่งกว่านั้นอีก เพราะว่าท่านนั่งรับพระเถรานุเถระอยู่ พอกระผม/อาตมภาพเข้าไปถึง ท่านทิ้งตัวจากเก้าอี้ลงมานั่งพื้น และไม่ยอมให้กราบตามเคย

เรื่องนี้หลวงปู่ท่านจะรู้เห็นอะไร กระผม/อาตมภาพก็ไม่ทราบ ทราบอยู่อย่างเดียวว่าถ้าท่านทำแบบนี้ออกสื่อบ่อย ๆ กระผม/อาตมภาพจะอยู่ยาก..! เพราะว่าหลวงปู่ท่านอายุ ๗๒ ปีแล้ว นับพรรษามาตั้งแต่อายุครบบวชมาก็ ๕๒ พรรษาแล้ว เราจะเห็นว่าพระเถระที่ท่านมีความรู้ความสามารถ ท่านก็มักจะมองอะไรที่เกินสายตาของเราไป แล้วมีการปฏิบัติที่บางทีคนอื่นก็ไม่เข้าใจ กระผม/อาตมภาพพอถวายสักการะท่านเสร็จก็รีบขอตัวกลับ ขืนอยู่เดี๋ยวกลายเป็นเป้าของชาวบ้าน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2024 เมื่อ 02:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 31-07-2024, 00:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,275 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนเรื่องอื่นที่วันนี้อยากจะบอกเล่าให้กับพระใหม่ทั้งหลายก็คือ ตอนนี้เรากำลังเรียนพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะที่กระผม/อาตมภาพขอให้บรรดาครูบาอาจารย์สอนพวกเรา ก็คือพระวินัยของพระสงฆ์ก่อน เราจะได้รู้ว่าศีล ๒๒๗ ข้อเป็นอย่างไร จะได้ปฏิบัติได้ถูกต้องเพื่อรักษาตนเอง

อย่างเมื่อครู่ที่พระใหม่ท่านถามว่า ท่านสามารถนำเงินที่รับบิณฑบาต หรือว่าได้รับมาในขณะที่บวช ให้กับพ่อแม่ได้หรือไม่ ? กระผม/อาตมภาพบอกว่าได้ แต่ต้องเป็นจำนวนที่สมควร คำว่าสมควรในที่นี้ก็คือเหมาะสม พอที่จะอยู่ได้

อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยขออนุญาตต่อคณะสงฆ์ว่า จะมอบเงินช่วยเหลือความเป็นอยู่ของโยมแม่ ให้คณะสงฆ์ช่วยกันพิจารณาว่าสมควรที่เท่าไร แล้วพระท่านร่วมกันพิจารณา ฟันธงลงมาว่า ๖,๐๐๐ บาทต่อเดือน ก็คือในเศรษฐกิจยุคนั้นสมัยนั้น ถ้าหากว่ามีวันละ ๒๐๐ บาทก็พอที่จะอยู่ได้โดยไม่ลำบากนัก แต่ถ้าหากว่าเป็นสมัยนี้ ๒๐๐ บาท ซื้อข้าวครบ ๓ มื้อ ก็แทบจะไม่เหลือติดตัวแล้ว..!

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุ อนุเคราะห์สงเคราะห์ต่อบิดามารดาได้ด้วยปัจจัย ๔ ตามสมควร แต่ว่าตามสมควรในที่นี้ บางท่านก็เกินไป อย่างสมัยหลวงปู่เณรคำ ปลูกบ้านให้พ่อให้แม่หลังหนึ่งหลายล้านบาท แจกบ้านให้ญาติพี่น้องอีกคนละหลังสองหลัง ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็เป็นการที่ทำเกินคำสั่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปมาก

ในส่วนทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่ส่วนที่กระผม/อาตมภาพจะกล่าวถึง แต่ที่ต้องกล่าวถึงก็คือท่านทั้งหลายถ้าศึกษาในพุทธประวัติ บางทีก็อาจจะสงสัย เนื่องเพราะว่าสมัยนี้บรรดา "นักวิชาเกิน" นั้นมีมาก อาจจะพาให้เราสงสัยว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ ? พระธรรมวินัยที่บันทึกในพระไตรปิฎกนั้นเป็นของจริง หรือว่ามีของปลอมปนแทรกเข้ามา ?

ในเรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราใช้ตรรกะง่าย ๆ อย่างเช่น ถ้าเขาถามว่าทวดหรือเทียดของเรามีจริงหรือไม่ ? ในเมื่อเรามีพ่อ พ่อมีปู่ ปู่ก็ต้องมีพ่อของปู่ ก็คือทวด ก็ไล่ขึ้นไปเรื่อย ๆ ในเมื่อมีตัวเราที่เป็นพระภิกษุอยู่ในขณะนี้ ก็มีพระอุปัชฌาย์อาจารย์ของเรา พระอุปัชฌาย์อาจารย์ของเราก็ต้องมีพระอุปัชฌาย์อาจารย์สืบขึ้นไปเป็นลำดับ ๆ ถ้าสามารถไล่ย้อนหลังไป ๒,๖๐๐ ปีโดยประมาณ ก็จะต้องมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ นี่เป็นการเทียบตรรกะแบบง่าย ๆ

แต่ส่วนที่นักวิชาการในสมัยนี้สงสัย ต้องบอกว่าบังอาจมาก..! ก็คือไปตั้งความสงสัยว่า หลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่บันทึกในพระไตรปิฎกนั้น เป็นพระพุทธวจนะอย่างแท้จริงหรือไม่ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2024 เมื่อ 02:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 31-07-2024, 00:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,275 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพขอบอกให้ท่านทั้งหลายที่ไม่ค่อยจะได้ศึกษาพระไตรปิฎกให้ชัดเลยว่า สิ่งที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกนั้น เป็นคำสอนที่แท้จริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ว่าบางคำสอนจะเป็นเถรภาษิต อย่างเช่นภัทเทกรัตตสูตร ที่พระมหากัจจายนะอธิบายขยายความให้กับพระภิกษุต่าง ๆ ได้ฟัง แต่นั่นก็ผ่านการรับรองขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วว่า ถ้าเป็นพระองค์ท่านก็จะอธิบายแบบนี้

คราวนี้ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าการสังคายนาพระธรรมวินัยของเรานั้น เริ่มต้นหลังจากพุทธปรินิพพานแค่ ๓ เดือนเท่านั้น แล้วเป็นการระดมพระอรหันต์ถึง ๕๐๐ รูปในการทำสังคายนาพระธรรมวินัย

คำว่า สังคายนา นั้นก็คือ การร้อยกรอง หรือว่า สวดสาธยาย ท่านที่สามารถสวดแจงได้ก็จะเห็นว่า ยันเตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปัสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ ฯลฯ เป็นต้น นั่นคือแสดงให้เห็นชัดถึงการร้อยกรองพระธรรมวินัยว่าทำอย่างไร มีพระมหากัสสปะเป็นประธานสอบถาม พระอานนท์เป็นผู้วิสัชนาในพระสูตรและพระอภิธรรม พระอุบาลีซึ่งได้รับการตั้งเป็นเอตทัคคะในพระธรรมวินัย เป็นผู้วิสัชนาในส่วนของพระวินัย เป็นการถามตอบกันทีละประโยค

อย่างเช่นว่า

ปะฐะมัง ปาราชิกัง กัตถะ ปัญญัตตันติ

ปฐมบัญญัติปาราชิก บัญญัติขึ้นที่ไหน ?

เวสาลิยัง ปัญญัตตันติ

บัญญัติขึ้นที่เมืองเวสาลี

กังอารัพภาติ

ด้วยปรารภในเรื่องอะไร ?

สุทินนังกะลันทะปุตตัง อารัพภาติ ฯลฯ

ปรารภในเรื่องของพระสุทินนกลันทบุตร ฯลฯ

เมื่อถามตอบกันจนกระทั่งจบเรื่องแล้ว ถ้าหากว่าพระสงฆ์ทั้งหมดที่ประชุมร่วมกันนั้นมีความเห็นว่าใช่ ก็จะสวดสาธยายขึ้นพร้อมกัน เขาถึงใช้คำว่าสังคายนา (การสวดสาธยาย) นั่นก็คือการทวนขึ้นมาพร้อม ๆ กันว่าใครจำถูกใครจำผิด ถ้า ๔๙๙ รูปจำมาถูกต้อง แต่เราจำผิด เราต้องแก้ไข อย่างเช่นว่าจักขุง อุทะปาทิ แต่ถ้าท่านไปจำเป็นจักขุง อุทะปาทะ ก็จบกัน เราไปกับเขาไม่ได้ เราก็ต้องตาม ๔๙๙ รูปนั้นว่าอุทิปาทิ เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2024 เมื่อ 02:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 31-07-2024, 00:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,275 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การสังคายนาที่สืบทอดกันมาแม้ครั้งที่ ๒ หลังจากพุทธปรินิพพานประมาณ ๑๐๐ ปี ประชุมสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์ ๗๐๐ รูป ครั้งต่อไปประมาณ ๒๐๐ กว่าปีหลังจากพุทธปรินิพพาน ประชุมสงฆ์ ๑,๐๐๐ รูป เป็นพระอรหันต์ล้วน ๆ

ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าสิ่งที่พระเถระทั้งหลายสังคายนามาอาจจะมีข้อผิดพลาด ถ้าท่านศึกษาในพระไตรปิฎก ก็สามารถที่จะเทียบกับบรรดาประเทศที่นับถือพระไตรปิฎกสายเถรวาท หรือที่เราเรียกกันว่าหีนยาน ซึ่งเป็นการเรียกของทางฝ่ายมหายาน ไม่ว่าจะเป็นศรีลังกา เป็นพม่า เป็นไทย เป็นลาว เป็นกัมพูชา

ท่านจะเห็นว่าสิ่งที่ผิดพลาดนั้นแทบจะมีไม่กี่คำ และไม่ใช่การผิดพลาดในเนื้อหาสำคัญด้วย เป็นความผิดแค่ศัพท์อย่างเช่นว่า ชโน (อันว่าชน) หรือชนัง (อันว่าชนทั้งหลาย) ต่างกันแค่นี้เอง ความหมายในหลักธรรมอื่นไม่มีอะไรผิด

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ใครที่ไปตั้งข้อสงสัยว่าตรงนั้นผิด ตรงนี้ผิด ผู้นั้นแต่งขึ้นมา ผู้นี้แต่งขึ้นมา กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้มานั้น เกินกว่าปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลสจะสามารถคาดคำนวณเอาได้ตามตรรกะทั่วไป

สิ่งที่พระองค์ท่านตรัสรู้นั้น บาลีใช้คำว่า เกวะละปะริปุณณัง ปะริสุทธัง บริสุทธิ์บริบูรณ์สมบูรณ์แล้ว ตัดออกก็ขาด เติมเข้าก็เกิน เรามีหน้าที่อย่างเดียว ก็คือรับมาแล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตาม ไม่ใช่หิวแทบจะไส้ขาด เห็นอาหารอยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ไปเที่ยวเขี่ยดูว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ? ใช่พ่อครัวคนเดียวกันทำหรือเปล่า ? แบบนั้นก็ปล่อยให้หิวตายไปเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2024 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 31-07-2024, 00:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,275 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้วบางทีก็เป็นส่วนของอจินไตย คือเรื่องที่ไม่ควรคิด ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่ามีอะไรบ้าง ก็คือ

๑) พุทธวิสัย ความสามารถของพระพุทธเจ้า ต่อให้โคตรซูเปอร์คอมพิวเตอร์อย่าง "เทียนกง" ก็ไม่สามารถที่จะไล่ตามพระองค์ท่านได้ทัน

๒) ฌานวิสัย ความสามารถของผู้ทรงฌาน ทรงอภิญญาสมาบัติ สามารถทำในสิ่งที่เกินความสามารถของบุคคล ที่เรียกว่าอุตริมนุสธรรม ถ้าเราทำไม่ถึง เดาให้ตายก็เดาไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร ?

๓) กรรมวิบาก การส่งผลของกรรม ทำไมถึงพิลึกพิลั่นขนาดนั้น แค่ในเรื่อง "แฝดสยาม" อย่างเดียว กระผม/อาตมภาพเคยสงสัยว่ามันเกิดมาได้อย่างไร ปรากฏว่าได้รับคำอธิบายว่า เกิดจากคำอธิษฐานที่ว่า "เกิดชาติหน้าจะไม่พรากจากกัน" เจริญมาก..!

และท้ายที่สุด ๔) โลกจินไตย ความเป็นไปของโลก มีใครจะนึกบ้างว่า ถ้าหากว่าเป็น ๕๐ ปีที่แล้ว เราบอกว่า "เราอยู่มุมไหนของโลกสามารถคุยกันโดยเห็นหน้าได้" สมัยนั้นใครพูดแบบนี้ เขาก็ต้องบอกว่าบ้า..!

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรุปว่า ผู้ที่คิดเรื่องทั้งหลายเหล่านี้พึงมีส่วนของความเป็นบ้า ท่านใช้คำว่าอุมมัตตกภาโค

ก็ในเมื่อคนที่เขาขยันคิดแล้วมีส่วนของความเป็นบ้า เราก็ไม่ควรที่จะไปบ้าตามเขา ตั้งหน้าตั้งตารับเอาพระธรรมมาแล้วก็ปฏิบัติตามไป เพราะว่าถ้าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่เป็นความจริง ไม่ดีจริง ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติแล้วบรรลุมรรคผล ก็มีมากมายเป็นพยานอยู่ เสียเวลาที่เราจะไปสงสัย ตั้งใจทำให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองเป็นดีที่สุด

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2024 เมื่อ 03:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:16



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว