#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ งานสำคัญของทางคณะสงฆ์ คือการสอบนักธรรมชั้นตรีสนามหลวงก็เพิ่งจะเสร็จสิ้นลงไป บุคคลที่จะต้องเหนื่อยต่อก็คือทางกองงานเลขานุการของแต่ละอำเภอ ที่ต้องจัดเรียงข้อสอบให้เรียบร้อย ถูกต้อง ส่งต่อกองงานเลขานุการจังหวัด ทางกองงานเลขานุการจังหวัดดำเนินการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ส่งต่อกองงานเลขานุการภาค เมื่อกองงานเลขานุการภาคตรวจสอบแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็จะกำหนดวันตรวจข้อสอบขึ้นมา ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็คงต้องรับภาระอีกตามเคย
การเป็นคณะกรรมการตรวจข้อสอบสนามหลวง ไม่ทราบว่ารุ่นปัจจุบันนี้ยังมีอยู่อีกหรือเปล่า ? แต่รุ่นของกระผม/อาตมภาพ จะต้องมีตราตั้ง ที่ลงพระนามโดยสมเด็จพระสังฆราชด้วย ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่โก้มาก แต่ก็เป็นภาระที่หนักมาก พูดง่าย ๆ ว่าได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ไม่สามารถที่จะ "เบี้ยว" ได้เลย แต่ว่านั่นเป็นเรื่องของอนาคต ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป กระผม/อาตมภาพต้องเข้ากรรมฐาน ๓ วัน หลายท่านถ้าหากว่าสังเกตรายการ "เสบียงบุญ" ที่ส่งเข้ากลุ่มไลน์ จะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพค่อย ๆ เพิ่มเวลา จาก ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมงครึ่ง เหล่านี้เป็นต้น เนื่องเพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว ช่วงเข้ากรรมฐาน กระผม/อาตมภาพจะใช้เวลาเข้ากรรมฐานรอบละประมาณ ๖ ชั่วโมง จึงต้องซักซ้อมเอาไว้ก่อน ซึ่งถ้าหากว่าท่านทั้งหลายยังไม่ชำนาญถึงขนาดตั้งเวลาได้ ใครนั่งได้ถึง ๖ ชั่วโมงนี่สุดยอดมาก..! เพราะว่าถ้าเราไม่สามารถที่จะทรงอัปปนาสมาธิ จนระงับกายสังขารได้ ก็ไม่มีอะไรทรมานกว่านั้นอีกแล้ว..! สมัยที่กระผม/อาตมภาพลองฝึกทำอยู่ใหม่ ๆ พอชั่วโมงที่ ๒ ที่ ๓ นี่เหงื่อไหลท่วมตัว ความรู้สึกเหมือนกับมีงูตัวเล็ก ๆ เลื้อยตามหลังไปเลย แล้วก้นของเราก็เหมือนกับบางลง..บางลงทุกที เหมือนกระดูกจะทะลุออกมาจากร่างกาย นั่นเป็นเพราะว่าจิตกับประสาทของเราไม่ได้แยกจากกัน เนื่องจากสมาธิต่ำเกินไป แต่ว่ามีกรรมฐานบางสาย เขาให้พินิจพิจารณาตรงนั้น โดยกำหนดว่า "ทุกข์หนอ..ทุกข์หนอ" ถ้าหากว่าสามารถกำหนดได้ก็เป็นเรื่องดี แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเครียดจนเกือบจะบ้าแทบทุกราย..! เนื่องเพราะว่าถ้าเราไม่สามารถทรงกำลังใจเป็นอัปปนาสมาธิได้ จิตกับประสาทยังแนบแน่นกันอยู่ ความรู้สึกทุกขั้นตอนจะสมบูรณ์แบบมาก เจ็บก็เจ็บมากเป็นพิเศษ พูดง่าย ๆ ว่ารู้สึกเหมือนกับตัวจะหลุดเป็นชิ้น ๆ..! แต่ถ้าหากว่าทรงอัปปนาสมาธิได้จนคล่องแล้ว กำหนดใจวูบเดียวก็ผ่านไปเลย บางทีนั่งไป ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง พอคลายกำลังใจออกมา สามารถที่จะลุกเดินได้เลย แต่ว่าคนปกติส่วนใหญ่แล้วไม่สามารถที่จะทำได้ เพราะว่ามักจะเป็นเหน็บจนขยับไม่ออก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2023 เมื่อ 01:47 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ก่อนหน้านี้สมัยที่เรียนปริญญาตรี ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งมีหลักสูตรบังคับว่า นิสิตทุกรูป/ทุกคน จะต้องเข้ากรรมฐานปีละ ๑๐ วัน โดยมีครูฝึกคอยกำกับอยู่ กระผม/อาตมภาพไป "ส่งอารมณ์" ตามวิธีการที่เขากำหนดเอาไว้ โดยที่ครูฝึกก็จะพยายามถามว่า "มีเวทนาหรือไม่ ?" แล้วกระผม/อาตมภาพยืนยันว่า "ไม่มี" ซึ่งเป็นเรื่องที่ครูฝึกรับไม่ได้..!
เพราะว่าการสอบอารมณ์นั้น เขามีสูตรตายตัวว่าต้องเป็นไปตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ก็พยายามที่จะไล่ตั้งแต่พองยุบเป็นอย่างไร ? เวทนาเป็นอย่างไร ? สภาพจิตของเรารับอารมณ์ในลักษณะอย่างไหน ? มีรัก มีโลภ มีโกรธ มีหลงอย่างไร ? เป็นต้น พอกระผม/อาตมภาพยืนยันวาระที่ ๒ บอกว่าไม่มีเวทนา ครูฝึก..ขอออกชื่อก็ได้ ชื่อพระอาจารย์ประเสริฐ อย่าเพิ่งรู้เลยว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน เพราะกลายเป็นเพื่อนกันไปแล้ว ท่านบอกว่า "คุณนั่งให้ผมดูเดี๋ยวนี้เลย" กระผม/อาตมภาพก็นั่งภาวนาอยู่ตรงนั้น ท่านก็ "สอบอารมณ์" คนอื่นต่อไป ผ่านไปประมาณ ๔๕ นาที ท่านก็บอกว่า "คลายสมาธิได้" พอคลายสมาธิออกมา ท่านสั่ง "ลุกเดินเดี๋ยวนี้" กระผม/อาตมภาพก็เดินให้ท่านดู แล้วท่านก็ยอมรับว่า "เออ..คนที่ไม่มีเวทนามีจริง ๆ ด้วย..!" เนื่องเพราะว่าถ้าเราสามารถเข้าอัปปนาสมาธิได้ จะมีลมหายใจละเอียด ที่โบราณท่านใช้คำว่า "ปราณ" ก็คือลักษณะของพลังชีวิต หรือที่คนจีนเรียกว่า "ชี่" สามารถที่จะแล่นไปได้ทั่วตัว เลือดลมเหมือนอย่างกับปกติ เพียงแต่ว่าบางทีละเอียดเกินไป จนกระทั่งคนทั่วไปจับไม่ได้ ก็เลยทำให้คนไปเข้าใจว่า ถ้าหากว่านั่งกรรมฐานนาน ๆ แล้ว จะต้องมีเวทนามาก จะต้องไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ แต่กระผม/อาตมภาพเชื่อว่าหลายท่านที่ฟังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนอยู่ ก็ทำได้แบบที่กระผม/อาตมภาพทำ ก็คือนั่งนานแค่ไหน ลุกขึ้นก็สามารถเดินได้เลย เนื่องเพราะว่าเราไม่รู้สึกเลยว่าร่างกายนั่งนาน เวลาเหมือนอย่างกับผ่านไปครู่เดียวเท่านั้น เรื่องพวกนี้ถือว่าเป็น "ปัจจัตตัง" ก็คือผู้ปฏิบัติถึงจะรู้เห็นด้วยตนเอง คราวนี้ถ้าคนที่ยังทำไม่ถึง บอกไปเขาก็ไม่เชื่อ จึงกลายเป็นเรื่องระหว่างเต่ากับปลา ที่จะไปคุยกันเรื่องบนบกกับเรื่องในน้ำ แล้วก็ไม่เข้าใจกัน เต่านั้นสามารถเข้าใจเรื่องของปลาได้ เพราะว่าตนเองลงน้ำได้ แต่ปลาไม่สามารถเข้าใจเรื่องของเต่าได้ เพราะว่าขึ้นบกไม่ได้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2023 เมื่อ 01:51 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ดังนั้น..ในการปฏิบัติธรรมต่าง ๆ ถ้าเรายังทำไม่ถึง อย่าเพิ่งไปตำหนิว่าคนอื่นทำผิด เพราะอาจจะเป็นการเข้าใจผิดของเราเองก็ได้ จึงเป็นเหตุให้ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมกรรมฐานสายต่าง ๆ นั้น มีข้อขัดแย้งกันอยู่บ่อยมาก ซึ่งความจริงถ้าเลิกคุยกัน แล้วมาตั้งหน้าตั้งตาทำ ท้ายสุดก็เหมือน ๆ กัน เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่แล้วทำยังไม่ถึงที่สุดก็เอาไปคุยอวดกัน แล้วก็มีการทะเลาะเบาะแว้งกันในระหว่างหมู่ลูกศิษย์
คล้าย ๆ กับสมัยก่อน ลูกศิษย์หลวงพ่อจันทร์ วัดนาคู กับหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ ไป "เกทับ" กัน ลูกศิษย์หลวงพ่อภักตร์ก็คุยว่า "หลวงพ่อกูแน่กว่า" ลูกศิษย์หลวงพ่อจันทร์ก็บอกว่า "หลวงพ่อของกูถึงจะแน่" เพราะว่ามา "สายเหนียว" ทั้งคู่ คุยกันไป คุยกันมา ไอ้ลูกศิษย์ไม่รู้อ้างคำพูดอาจารย์หรือเปล่า ? บอกว่า "หลวงพ่อกูบอกมาอย่างนี้..!" ในเมื่อลูกศิษย์ฝ่ายหลวงพ่อจันทร์พูดมาอย่างนี้ ลูกศิษย์หลวงพ่อภักตร์ก็ไปรายงานหลวงพ่อของตนเอง สรุปก็คือครูบาอาจารย์แทบจะวางมวยกัน มีการท้าประลองยุทธกัน ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ถ้าคนที่เรียนไม่จบ ส่วนใหญ่แล้วถ้าคุยเรื่องกรรมฐานไม่สำเร็จหรอก ทะเลาะกันทุกครั้ง เพราะว่าเอากิเลสตัวเองมาพูด ไม่ได้เอาความเป็นจริงในการปฏิบัติธรรมมาพูด กระผม/อาตมภาพเองเข้ากรรมฐานก็ไม่เหมือนกับชาวบ้านชาวเมืองเขา เนื่องเพราะว่าครูบาอาจารย์สอนมา ไม่ได้ให้นั่งนิ่ง ๆ ท่านให้ทำงานทำการทุกอย่าง พร้อมกับทรงอารมณ์ภาวนาไปด้วย เพียงแต่ว่าจะกำหนดเวลาเอาไว้ว่า รอบหนึ่งประมาณ ๖ ชั่วโมง พอผ่านไป ๓ รอบก็พักผ่อน แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มรอบใหม่ เพียงแต่ว่าการเข้ากรรมฐานลักษณะแบบนี้ ถ้าหากว่าเริ่มวันที่สองเป็นต้นไป ใครที่ความรู้สึกดี ๆ จะรู้สึกเลยว่าร่างกายของเราดึงเอาธาตุอาหารไปใช้งาน เพราะว่าไม่ได้ฉันอะไรนอกจากน้ำ กระผม/อาตมภาพรู้สึกเลยว่าร่างกายโดนดึงเอาธาตุอาหารไปใช้งานเยอะมาก แล้วเป็นเรื่องแปลกที่ว่าไขมันก็มี..แต่ไม่เอา เขาไปดึงจากกล้ามเนื้อก่อน เพราะว่าง่ายดี จนกระทั่งไม่มีจะให้ดึงแล้ว ถึงไปเอาจากไขมัน แต่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติในระบบร่างกายของเรา ว่าเขาจะบริหารจัดการอย่างไร ไม่ได้เกี่ยวกับสมาธิ แต่ว่าในช่วง ๓ วันนี้ ต้องฝากภาระเอาไว้กับทุกท่าน ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ท่านใดที่ได้รับภาระหน้าที่ใหม่ ๆ ขึ้นมา ก็จัดการให้เรียบร้อย ติดขัดตรงไหน มีใครที่สามารถสอบถามและแก้ไขให้ได้ก็ทำไปเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2023 เมื่อ 01:55 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
โดยเฉพาะในเรื่องของการเข้ากรรมฐาน ๓ วัน ก็อย่างที่บอกว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก เพราะว่าวาระจำกัด แต่สามารถว่างที่จะเข้าได้ทุกครั้ง เพียงแต่ว่าอายุกาลที่มากขึ้นทุกปี ๆ ออกจากกรรมฐานมาแล้ว ความจริงมีงานวันที่ ๓๑ ก็คือนั่งปรกคุมธาตุในการหล่อพระประธานของวัดบางหลวงหัวป่า แล้ววันที่ ๑ เป็นการปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดธรรมิกาวาส (วัดค้างคาว) แต่ทั้งสองงานนี้น่าจะต้องขอยกเลิก เพราะว่าออกจากกรรมฐานใหม่ ๆ คลานยังไม่ค่อยจะไหวเลย..!
ที่ท่านทั้งหลายเห็นว่า กรผม/อาตมภาพสามารถเดินขึ้นเขาไปรับบาตรเทโวได้ คนรู้นี่เขาพยายามเดินระวังอยู่ข้างหลัง ว่าจะหงายท้องลงไปเมื่อไรก็ไม่รู้ ?! ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา คนแก่ด้วย แถมยังอดข้าวมา ก็ต้องมีอาการบ้าง แต่ท่านอาจจะสังเกตไม่ออกเท่านั้น เห็นว่ายังสามารถเดินขึ้นเขาได้รวดเดียวโดยไม่ต้องพัก ก็คิดว่ากระผม/อาตมภาพแข็งแรงมาก ซึ่งความจริงเป็นการใช้กำลังใจบังคับให้ร่างกายไป โดยนิสัยของกระผม/อาตมภาพ ก็คือถ้ายังไม่พังลงไปกองกับพื้น ก็จงไปก่อน..! ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายทำมาถึงระดับนี้เมื่อไร ก็จะเห็นว่าจริง ๆ แล้วร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา แต่คราวนี้กระผม/อาตมภาพ เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้น..เราต้องสั่งร่างกาย ไม่ใช่ให้ร่างกายสั่งเรา ก็เลยสามารถทำอย่างที่ท่านทั้งหลายเห็นได้ แต่ถ้าปล่อยให้ร่างกายสั่งเรา เขาบอกว่าไม่ไหว เราก็ต้องพัก แต่เรื่องพวกนี้อย่าได้ฝืนจนเกินไป เพราะว่ามีญาติโยมบางคนที่คุ้นเคยกันมาแต่ดั้งเดิม พอถึงเวลาพยายามฝืน แล้วก็ล้มทั้งยืน ให้เขาหามไปโรงพยาบาล อับอายขายหน้าชาวบ้านเขา กระผม/อาตมภาพตำหนิไป เขาก็ตอบกลับมาว่า "ทีท่านยังทำได้เลย..!" ก็เข้าท่าดีนะ..ได้แต่อวยพรให้เขาทำให้ได้สักวัน ไม่อย่างนั้นก็คงจะตายตาไม่หลับ เพราะว่าอยากจะทำได้เหมือนกัน สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2023 เมื่อ 01:58 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|