กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 17-10-2023, 22:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันนวมินทรมหาราช วันที่ ๑๓ - ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๖

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันศุกร์ที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๖



งานนี้เป็นการปฏิบัติธรรมเนื่องในวันนวมินทรมหาราช หรือวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งทางด้านสำนักพระราชวังได้จัด "แอพพลิเคชันเสบียงบุญ" เอาไว้ให้พวกเราได้สะสมบุญในการปฏิบัติสมาธิภาวนากัน ถ้าใครลงแอพฯ ไปแล้วก็กดเวลาได้เลย มีตั้งแต่ ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๒๐ นาที ๓๐ นาที ๑ ชั่วโมง ไปจนเต็มที่ ๒ ชั่วโมง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ ๙

ส่วนใหญ่แล้วในช่วงหยุดยาว ทางวัดท่าขนุนเราจะจัดให้มีการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม เพื่อสั่งสมบุญกุศลอย่างหนึ่ง เพื่อให้บรรดาท่านทั้งหลายที่เปรียบเหมือนบัวพ้นน้ำ เผื่อว่ากระทบแสงอาทิตย์จะได้เบ่งบานอีกอย่างหนึ่ง

ต้องบอกว่าเหมือนกับตั้งความหวังไว้สูงเกินไป แต่ถ้าหากเราไม่ตั้งเป้าไว้สูง การใช้ความพยายามจะมีน้อย โดยเฉพาะสมัยนี้สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเราไปจะมีมาก โดยเฉพาะสื่อโซเชียลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ค จะเป็นไลน์ จะเป็นอินสตาแกรมก็ดี หรือแม้กระทั่งแอพพลิเคชันซื้อของออนไลน์ ทำให้เราไปเสียเวล่ำเวลาจำนวนมากอยู่ในนั้น แทนที่จะมาภาวนาก่อให้เกิดบุญกุศลเพื่อความมั่นคงของคติ คือ ที่ไปในชาติหน้า หรือว่าเพื่อความพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน เราก็ไม่มีเวลาที่จะไปทำ เนื่องเพราะว่ามัวแต่ไปหลงติดกับโลก ๆ แบบนั้นอยู่

เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถที่จะเคี่ยวเข็ญให้เราเลิกสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ จนกว่าเราจะได้คิดแล้วก็เห็นโทษ เนื่องเพราะว่าตราบใดที่เราไม่ได้คิดด้วยตนเอง ต่อให้คนอื่นพูดจนปากฉีกถึงหูก็จะไม่ใส่ใจ เพราะถือว่าบอกในสิ่งที่ไม่ตรงกับกิเลสตัวเอง ใจของเราชอบแบบนั้น มาให้ทำอย่างอื่นก็มักจะรับไม่ได้กัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2023 เมื่อ 01:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 17-10-2023, 22:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นการทวนกระแสโลก คำว่า "โลก" อย่างหนึ่งหรือว่า "โลกสันนิวาส" ก็คือการที่เราปะปนอยู่กับกระแสกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ทำอย่างไรที่เราอยู่กับกระแสกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง แล้วจะสามารถทำใจได้เหมือนกับน้ำที่กลิ้งบนใบบัวใบบอน ก็คือ อยู่กับโลกแต่ไม่ติดในโลก

เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะว่าเราต้องใช้กำลังใจในการทวนกระแส ขณะที่ทั้งหมดเขาไหลลงต่ำ แล้วเราพยายามขึ้นที่สูงอยู่คนเดียว สถานเบาเขาก็ว่าเราบ้า ซึ่งเรื่องพวกนี้กระผม/อาตมภาพโดนมาตั้งแต่เด็กแล้ว "อายุแค่นี้เองจะปฏิบัติสมาธิไปไหน มันบ้าหรือเปล่า ?" บังเอิญอาตมภาพเป็นคนที่เห็นประโยชน์ในการทำสมาธิภาวนา รู้ว่าตัวเองทำอะไรแล้วจะได้อะไร จึงไม่ได้สนใจเสียงนกเสียงกา ประมาณว่า "มึงอยากลงนรก มึงก็ไปเถอะ กูไม่ไปกับมึงหรอก..!"

แต่คราวนี้กำลังใจของพวกเราจะเด็ดขาดแบบนั้นหรือเปล่า ? เพราะส่วนใหญ่แล้วเราไปเกรงใจคนอื่น เขาลงนรกแล้วพยายามชวนเราให้ลงด้วย เราก็เกรงใจ "เอ้า..ไปก็ไป" น่ารักมาก..! ไม่รู้สึกว่าไปบ่อยเกินไปแล้วหรือ ?

ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมเป็นกำลังใจของคนที่ต้องเข้าถึงปรมัตถบารมี ปรม (ยิ่งกว่า) + อัตถ (ประโยชน์) = ปรมัตถ์ (เพื่อประโยชน์อันยิ่งคือพระนิพพาน) ต้องถือพระนิพพานเป็นเป้าหมายสูงสุด เรื่องอื่นที่เขาชวนเราแม้ว่าจะเย้ายวนใจขนาดไหนก็ตาม เราจะต้องไม่ลืมจุดมุ่งหมายของเราว่าทำอะไร ? เพื่ออะไร ?

ดังนั้น..หลักธรรมสำคัญอย่างหนึ่งในพรหมวิหาร ๔ คือ วิมังสา เราต้องไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ ทุกวันว่า เราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ยังตรงต่อเป้าหมายหรือไม่ ? ห่างจากจุดหมายใกล้ไกลเท่าไร ? ต้องใช้ความเพียรพยายามอีกเท่าไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2023 เมื่อ 02:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 17-10-2023, 22:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นี่คือหลักการสรุปและประเมินผลที่ฝรั่งเขาฮือฮากันนัก ว่าเป็นทฤษฎีที่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อองค์กรหรือตัวผู้ปฏิบัติงาน แต่พระพุทธเจ้าทรงบอกเราเอาไว้ ๒,๖๐๐ กว่าปีแล้ว เพียงแต่ว่าเราไม่ได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เองเท่านั้น

อันดับแรกก็คือ ไม่รู้ว่าเอามาใช้อย่างไร อันดับที่สอง ไม่รู้เลยว่าวิธีการเป็นอย่างไร..ยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่..!

เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าเราตักเตือนกัน แล้วท่านทั้งหลายยังไม่เห็นโทษทางโลก ก็จะไม่เร่งรัดการปฏิบัติธรรมของตัวเอง จึงเป็นเรื่องที่บอกว่าพูดให้ปากฉีกถึงหู ถ้าหากยังไม่เห็นโทษของโลก ยังไม่เห็นประโยชน์ของธรรม เราก็ยัง "ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง" ปล่อยเวลาให้หมดไปวัน ๆ นั่งเขี่ยไลน์บ้าง เม้าท์กับเพื่อนบ้าง ไปช้อปปิ้งบ้าง สั่งซื้อของออนไลน์บ้าง..ฟังแล้วเศร้าใจหนักมาก..!

ดังนั้น..ในเรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าพวกเรารู้จักเข็ดแล้ว เราก็จะตั้งหน้าตั้งตาหนีไปให้พ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วยังไม่เข็ด เบื่อ ๆ อยาก ๆ ตอนป่วยพะงาบ ๆ ก็ "ไม่เอาแล้ว ตั้งแต่นี้ไปเราจะเร่งภาวนา ขอไปนิพพานแล้ว" อาการดีขึ้นมาหน่อยก็ "ขออยู่ต่ออีกหน่อยนะ" ตอแหลชัด ๆ..! ทำไมความตั้งใจอยู่ได้ไม่เคยครบสามวันเลย..? เราต้องเห็นว่าความกลับกลอกของจิตมีมาก ช่วงที่กุศลส่งให้ เราจึงต้องกอบโกยความดีใส่ตัวให้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะไม่มีกำลังในการสู้กิเลสเลย..!

เราจึงต้องใช้ความเพียรพยายามในสามวันนี้ให้มากไว้ เพราะเวลาเราน้อยมาก เดี๋ยวเราปฏิบัติธรรมตอนบ่าย ตอนค่ำมีการสวดมนต์ถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ พรุ่งนี้ตอนเช้าเป็นงานวันพระ ถ้าหากปฏิบัติเป็นก็ได้อยู่บ้าง แต่ถ้าหากปฏิบัติไม่เป็นก็ไหลไปกับพิธีกรรมต่าง ๆ รวมกระทั่งใส่บาตร แล้วก็ลืมการภาวนาของเราไป พอตอนบ่ายได้คืนมาหน่อยหนึ่ง วันที่ ๑๕ ก็เป็นวันกลับแล้ว ภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบเสร็จ ก็บ้านใครบ้านมัน

สรุปแล้วสามวันได้มาแค่หน่อยหนึ่ง แล้วจะพอกินไหม..? จึงเป็นเรื่องที่เราต้องทุ่มเทให้เต็มที่ มีโอกาสแล้วทุกเวลาให้อยู่กับลมหายใจเข้าออก หรืออยู่กับการปฏิบัติธรรมของเรา จึงจะพอเอาตัวรอดได้ ไม่อย่างนั้นแล้วทุกเวลาอยู่กับหน้าจอมือถือ..ตาย..! อาตมภาพมี ๓๕ ตำแหน่ง เลยจำเป็นต้องอยู่กับหน้าจอ เพราะไม่รู้ว่าเขาจะส่งงานเข้ามาตอนไหน แต่ของโยมถ้าไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น ก็ควรห่าง ๆ หน้าจอมือถือกันบ้าง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2023 เมื่อ 02:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 18-10-2023, 21:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทอดผ้าป่าสมทบกองทุนเล่าเรียนหลวง บ่ายวันศุกร์ที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๖




วันนี้เป็นวันเดียวในรอบปีที่รบกวนพวกเรา โดยปกติแล้วเรื่องบอกบุญเรี่ยไรนี่อาตมภาพไม่เอาเลย จะนั่งเฉย ๆ ให้เขาเอามาให้เอง..! เขาไม่ให้ก็เรื่องของเขา แต่คราวนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องของในหลวง และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เป็นความสามัคคีในชุมชนของเรา ก็เลยรบกวนพวกเราช่วยกันทำ ส่วนใหญ่ได้มากได้น้อยท้ายสุดตอนมอบให้เขา อาตมภาพก็เติมเป็นตัวเลขกลม ๆ ไปอยู่แล้ว หรือถ้าหากว่าใครจะเติมให้แต่แรกก็จะดีมาก ...(หัวเราะ)...

ตั้งแต่วันที่ ๒๘ กันยายนเป็นต้นมา วันที่ ๑๓ ตุลาคมจะเป็นวันนวมินทรมหาราช อ่านว่า นะ-วะ-มิน เลยนะ ตรง ๆ เลย เนื่องเพราะว่าหลักการสมาส-สนธิของภาษา ถ้าหากว่าคำที่มีตัวการันต์แล้วมีคำต่อ เขาจะตัดตัวการันต์ออก แต่ให้อ่านเหมือนกับมีการันต์ อย่างเช่น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ถ้าหากว่าเราอ่านตามตัวหนังสือก็คือ สมเด็จพระเทพ-พะ-รัด-ตะ-นะ-ราชสุดา แต่เขาอ่านแค่ พระเทพ-พะ-รัด-ราชสุดา ก็เลยเป็นอะไรที่เข้าใจกันยากนิดหนึ่งสำหรับคนที่ไม่เคยชิน

เพราะฉะนั้น..วันนี้ก็เลยเป็นวัน นะ-วะ-มิน-มหาราช ยืนยันได้เลยว่าเราอ่านถูกต้อง แบบเดียวกับพระปรมาภิไธยในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณ อ่านว่า ศรี-สิน-มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว บางทีก็เราก็สงสัยว่าทำไมถึงอ่านด้วน ๆ แบบนั้น แต่คราวนี้ถ้าหากว่ารู้ที่มาที่ไปก็จะเข้าใจเอง

ต้องเจริญพรขอบคุณทางชุมชน โดยเฉพาะเทศบาลตำบลทองผาภูมิและเทศบาลตำบลท่าขนุน ของเรามีอยู่สองเทศบาล แต่ก็เหมือนกับเทศบาลเดียว คือร่วมมือร่วมใจกันทำงานเสมอ เป็นเรื่องที่หาได้ยาก เพราะว่าบางแห่งเทศบาลเดียวกันยังตั้งแง่ใส่กันเลย เพราะว่าตอนที่เลือกตั้งมาจากคนละทีม พอเข้าไปเป็นเทศบาลเดียวกันแล้ว ยังไม่ลืมว่ามาจากต่างทีมกัน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2023 เมื่อ 02:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 18-10-2023, 21:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องพวกนี้เราต้องเข้าใจว่าการแข่งขันคือการแข่งขัน หลังการแข่งขันแล้วพวกเราก็ยังคงอยู่ชุมชนเดียวกัน อยู่สถานที่เดียวกัน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันตามปกติ ไม่ใช่ว่าแข่งแล้วก็แข่งกันไปตลอดปีตลอดชาติ..!

เหมือนกับการแข่งกีฬา ตอนแข่งก็ประเภทแข่งกันจะเป็นจะตาย พอเลิกแข่งก็เห็นกอดกันกลม นั่นคือเรื่องของสปิริต บางทีถ้าแปลเป็นภาษาไทยต้องใช้คำว่า จิตสำนึกความมีน้ำใจเป็นนักกีฬา ของเรานี่ถือว่าดี เพราะว่าเราร่วมมือทำงานอยู่ด้วยกันมาตลอด เป็นเรื่องที่ชุมชนอื่นเขาอาจจะอิจฉา แต่ก็ต้องปล่อยให้เขาอิจฉาไป

คราวนี้วันนี้ที่เราทอดผ้าป่าทุนการศึกษา วัดทั่วประเทศเขาทำกันหมด แล้วที่เหลือเชื่อก็คือ อาตมภาพเป็นคนประท้วงไปเองว่า ที่ตอนแรกเขาใช้คำว่า "ทอดผ้าป่าทุนเล่าเรียนหลวง" แต่ให้ทุกวัดร่วมกันจัดงานนี้

อาตมภาพทักท้วงไปกับผู้แทนพระองค์ว่า คำว่า "ทุนเล่าเรียนหลวง" ในความรู้สึกของคนทั่วไปมีสองอย่าง อย่างแรกก็คือเป็นทุนที่มาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างที่สองก็คือส่วนราชการตัดงบประมาณมาให้ อย่างนั้นเรียกว่าทุนเล่าเรียนหลวงได้

แต่ถ้าหากว่า "ทอดผ้าป่าทุนเล่าเรียนหลวง" อันนี้ไม่ใช่แน่ ยกเว้นอย่างเดียวว่าจะไปเอามาเฉพาะจากวัดหลวง ไม่ใช่วัดทั่ว ๆ ไป คราวนี้พอทักท้วงไปในที่ประชุม ก็ไม่นึกว่าเรื่องจะไปถึงพระเนตรพระกรรณ ก็เลยมีการเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น "สมทบกองทุนเล่าเรียนหลวง" คราวนี้ก็ชัดเจน ไม่ใช่ "ทอดผ้าป่าทุนเล่าเรียนหลวง" แต่เป็นการทอดผ้าป่าเพื่อสมทบกองทุนเล่าเรียนหลวง

เรื่องที่ไม่ถูกต้อง หรือว่าไม่ดีไม่งามในสังคมของเรา ถ้าเกิดขึ้นต้องมีคนกล้าพูด กล้าทักท้วง ถ้าเรามัวแต่รักตัวเองแล้วไม่กล้าพูด กลัวคนไม่ชอบหน้าเรา กลัวเจ้านายเหม็นขี้หน้าแล้วจะ "แป้ก" หาความเจริญไม่ได้ ถ้าลักษณะอย่างนี้แปลว่าเรารักตัวเองมากกว่า

เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเรารักความถูกต้อง รักความดีงามมากกว่า เราต้องกล้าพูด เพียงแต่ว่าเวลาพูดไปแล้ว ถ้ามีอะไรกระทบกระทั่งกัน ก็ต้องมีการขอโทษ ขออภัย แล้วในเมื่อคนเขาขอโทษ ถ้าหากว่าเราเป็นฝ่ายรับ ก็ควรให้อภัยแก่เขา มีผู้รู้เขากล่าวว่า "การขอโทษเป็นการขอที่ไม่น่าละอาย ส่วนการให้อภัยก็เป็นการให้ที่ไม่สิ้นเปลือง" จึงเป็นเรื่องที่ควรจะมีในสังคมของเราให้มากเข้าไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2023 เมื่อ 02:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 18-10-2023, 21:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะช่วงนี้ต่างประเทศมีศึกมีสงครามรอบไปหมด ถ้าหากว่าบ้านเรารักใคร่สามัคคีสงบเรียบร้อยได้ จะเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มาก เนื่องเพราะว่าแม้แต่แข่งกีฬาเรายังเชียร์คนละทีม เรื่องระหว่างประเทศก็เหมือนกัน

เรื่องระหว่างประเทศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องปล่อยให้พวกเซียนในด้านการทูตเขาไปจัดการกัน พวกนั้นเขาเก่ง เขาพูดชัดแต่เตะไม่ถึง..! สามารถที่จะแก้ตัวได้ทุกรูปแบบ ซึ่งไม่ใช่นิสัยของพวกเรา เรามีอะไรก็ว่ากันตรงไปตรงมา ดังนั้น..เรื่องอะไรที่จะกระทบกระเทือนเป็นวงกว้าง เราพูดน้อยลงหน่อยก็ได้

ในเรื่องของการทอดผ้าป่า อันดับแรกเลยคือผ้า ผ้าก็คือผ้าไตรจีวร ความจริงคำว่า จีวร ในภาษาพระคือ ผ้าที่กว้างคืบยาวคืบขึ้นไป เรียกได้เลยว่าจีวร แม้กระทั่งจีวรผืนใหญ่ ๆ ที่เห็น โยมก็จะเห็นว่าเย็บต่อขึ้นมาจากผ้าผืนเล็ก ก็จะมีที่เขาเรียกมณฑลก็คือช่วงยาวหน่อย อัฑฒมณฑลก็สั้นลงมาครึ่งหนึ่ง กุสิเป็นแนวคั่นที่ยาว อัฑฒกุสิแนวคั่นที่สั้น แล้วก็มีอนุวาตก็คือขอบผ้า เรื่องพวกนี้ฟังไว้เฉย ๆ ไม่ต้องจำ..เดี๋ยวปวดหัว..!

เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าพระของเราเมื่อสละครอบครัวออกบวช ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรทางบ้านแล้ว พระพุทธเจ้าไม่อยากให้ไปรบกวนญาติพี่น้องของตนเอง ก็เลยให้เสาะหาบริขารเอง แม้กระทั่งผ้าผ่อนท่อนสไบที่คนเขาทิ้งแล้ว เอามาซัก เอามาตัด เอามาเย็บ เอามาย้อม เอามาทำเป็นจีวรใช้งาน ซึ่งสมัยก่อนก็ประเภทกระดำกระด่างไปทั้งตัว เพราะว่าบางทีสีก็ไม่เท่ากัน ผ้าก็ไม่เหมือนกัน ถึงเวลาย้อมก็ติดเข้มบ้างอ่อนบ้าง แต่ว่าเป็นการสอนให้พระของท่านสมถะ รู้จักเพียงพอในสิ่งที่ตนเองหาได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2023 เมื่อ 02:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 18-10-2023, 21:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้รับผ้าคหปติจีวร ก็คือจีวรที่ญาติโยมมีศรัทธาถวาย เริ่มตั้งแต่นางวิสาขามหาอุบาสิกา เห็นพระท่านไม่มีผ้าจะเปลี่ยน อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็สนับสนุนด้วย ก็จึงถวายคหปติจีวร พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้รับได้ แต่รับได้ชุดเดียว เกินกว่านั้นถ้ารับมาต้องสละเป็นของกลาง หรือไม่ก็ทำวิกัปเป็นสองเจ้าของร่วมกับคนอื่น กันพระสะสมเอาไว้แล้วจะรู้สึกว่าตัวเองร่ำรวย เพราะว่าสมัยก่อนเรื่องข้าว เรื่องผ้า เขาถือเป็นทรัพย์สมบัติอย่างหนึ่ง

ใครที่เรียนตำราประวัติศาสตร์เก่า ๆ จะได้ยินคำว่าเบี้ยหวัดผ้าปี ก็คือพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ จะมีเงิน แล้วก็ผ้าที่ปีหนึ่งให้ ๑ ชุด ๒ ชุด หรือผ้าพับ ๑ พับ ๒ พับ ก็แล้วแต่ และถ้าหากว่าใครทำความดีก็มีการให้รางวัลเป็นผ้า เป็นต้น

อานิสงส์ของผู้ถวายผ้า ถ้าหากว่าเราไปเป็นเทวดา นางฟ้า จะมีเครื่องประดับเป็นทิพย์ทันทีเลย ถ้าหากว่าเป็นอาหารก็จะอิ่มทิพย์ไม่ต้องกิน

ถ้าหากว่าเป็นพระพุทธรูปก็จะมีรัศมีกายสว่างมาก เรื่องของพระ เรื่องของพรหม เรื่องของเทวดา เขาวัดกันตรงรัศมี ใครสว่างกว่าก็แปลว่ามีบุญมากกว่า


ในส่วนของปัจจัยก็คือเงินที่จะมาเข้ากองผ้าป่าของเรา อันดับแรกเลย เราถือว่าเงินเป็นแก้วสารพัดนึก อยากได้อะไรสามารถเปลี่ยนได้ด้วยเงิน อานิสงส์ตรงนี้ทำให้เรามีความคล่องตัวในทุกเรื่อง

ประการที่สอง เราเอาเข้ากองทุนการศึกษา เรื่องของการศึกษาคือธรรมทาน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ" การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง ก็คือเป็นทานสูงสุดในพระพุทธศาสนาของเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2023 เมื่อ 02:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 18-10-2023, 21:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..วันนี้พวกเราได้ทำทานที่ใหญ่มาก ๆ มีทั้งในส่วนของผ้าที่ถือว่าเป็นเครื่องประดับ เกิดไปกี่ชาติอย่างไรก็ต้องมีเครื่องประดับ คือผ้าผ่อนท่อนสไบที่สมบูรณ์ ในเรื่องของเงินที่ถือว่าเป็นแก้วสารพัดนึก สร้างความคล่องตัวให้กับทุกคน และในเรื่องของธรรมทาน เกิดไปกี่ชาติก็จะฉลาดมาก มีปัญหาทางโลกก็แก้ไขให้ลุล่วงไปได้โดยง่าย มีปัญหาทางธรรมติดขัดตรงไหน ก็สามารถพิจารณาได้รู้แจ้งแทงตลอดได้

จึงเป็นเรื่องที่พวกเราควรที่จะทำให้สม่ำเสมอ ก็แปลว่าปีหน้าจะทำอย่างนี้อีก เพียงแต่บางทีอาตมภาพนึกได้ก็แจ้งเร็วหน่อย นึกไม่ได้ก็แจ้งช้าหน่อย แต่ว่าจะทำอย่างนี้ทุกปี ถือว่าเป็นงานประจำปีอย่างหนึ่งของวัดเรา

ทางคณะรวมใจภักดิ์ของท่านอาจารย์วิชชุ อารมณ์ดี มาช่วยงานวัดท่าขนุนเป็นประจำ ไปเปิดร้านกาแฟอารมณ์ดีที่ตลาดริมแควเมืองท่าขนุน ร่วมสมทบกองผ้าป่า ๒๐,๐๐๐ บาท

อาตมภาพเป็นนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงรุ่นแรกเลยนะ ได้ ๒ ทุนด้วย ทุนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ก็คือทุนเรียนดีเพราะว่าได้เกรด ๔ ทุกวิชา แล้วก็ทุนทางไกล เพราะว่าเดินทางจากที่นี่ไปถึงวัดไร่ขิงประมาณ ๓๐๐ กิโลเมตร ปรากฏว่า ๒ ทุนที่ได้มา เขาให้เซ็นรับเฉย ๆ แล้วก็หายไปเลย มาได้ยินทีหลังเขาบอกว่า "พระอาจารย์เล็กรวยแล้ว ไม่ต้องเอาหรอก" แต่ว่ามีชื่ออยู่ในพระเนตรพระกรรณว่า เราเป็นนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงรุ่นแรก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2023 เมื่อ 02:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 21-10-2023, 00:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันศุกร์ที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๖



ญาติโยมทั้งหลายน่าจะทราบแล้วว่าในเรื่องของการสร้างบุญกุศลก็มีทาน มีศีล มีภาวนา เป็นหลัก คราวนี้ในเรื่องของทานนั้นเป็นบารมีต้น เรื่องของศีลเป็นบารมีกลาง เรื่องของภาวนาเป็นบารมีสูงสุดหรือบารมีตอนปลาย เรื่องพวกนี้ข้ามขั้นไม่ได้ แต่ถ้าสูงกว่าทำของต่ำกว่าได้เป็นปกติ

เพราะฉะนั้น..คนที่ให้ทานได้ไม่ได้หมายความว่าจะรักษาศีลได้ แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงภาวนา ตะกายไม่ถึงแน่นอน ส่วนคนที่รักษาศีลได้ก็ยังภาวนาไม่ได้

ดังนั้น..การที่พวกเรามานั่งอยู่ตรงนี้ได้ แปลว่าเราเป็นบารมีขั้นปลาย หรือที่เรียกว่าปรมัตถบารมี ปรม (ยิ่งกว่า) + อัตถ (การก่อให้เกิดประโยชน์) ก็คือก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อตัวเรา ประโยชน์ที่นี้เขาหมายเอาประโยชน์ใน ๓ สถาน ได้แก่

ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ เห็นผลในชาติปัจจุบัน ก็คือถ้าใจเราสงบเยือกเย็นเราก็จะมีสติ รู้จักยั้งคิด พิจารณาแล้วว่าอะไรไม่ดีเราก็ไม่ทำ ที่เคยทำก็สลัดทิ้งไป พิจารณาว่าอะไรดีถ้าเรายังไม่มีเราก็ทำให้มีขึ้นมา ถ้าหากว่ามีแล้วก็ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ตรงส่วนนี้เรียกว่าทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ประโยชน์ที่เห็นทันตาในปัจจุบัน

ประโยชน์สถานที่สองเรียกว่า สัมปรายิกัตถประโยชน์ ประโยชน์สำหรับชาติต่อ ๆ ไป นี่แปลว่าสิ่งที่เราทำก็คือสมาธิภาวนา..ต้องทรงตัว ถ้ารักษาศีลก็ต้องรักษาได้แน่นอน อย่างชนิดที่ตัวตายไม่ยอมให้ศีลขาด ถ้าอย่างนี้คำว่าสัมปรายิกัตถประโยชน์ ก็คือก่อให้เกิดประโยชน์ในชาติถัด ๆ ไป ก็คือเราจะมีคติ คือที่ไปแน่นอน ว่าจะไปเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ต่อให้อย่างแย่ ๆ ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดเป็นมนุษย์ชั้นดี

คำว่า มนุษย์ชั้นดี ในที่นี้ก็คือสมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ มีจิตใจเป็นกุศลพร้อมที่จะสละออก เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิไม่เห็นผิดเป็นชอบ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2023 เมื่อ 01:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 21-10-2023, 00:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ประโยชน์สุดท้ายท่านเรียกว่า ปรมัตถประโยชน์ ประโยชน์สูงสุด ก็คือการล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

คราวนี้ในส่วนทั้งหลายเหล่านี้ สำคัญตรงที่ว่าแม้ว่าเราทั้งหลายจะอยู่ในระดับปรมัตถบารมี คือ กำลังใจสูงสุด แต่ว่ายังมีโอกาสพลาดได้ง่าย เราจึงต้องปฏิบัติธรรมบ่อย ๆ จนเคยชินเป็นอัตโนมัติ ถึงเวลาไม่ทำไม่ได้ รู้สึกไม่สบายใจ ต้องทำให้ได้ ถ้าในลักษณะอย่างนั้น ท่านทั้งหลายก็จะมีคติที่ไปค่อนข้างแน่นอน

ยกเว้นอย่างเดียวว่าจะมีในส่วนของกรรมที่มาตัดรอน เขาเรียกว่าอุปฆาตกรรม ถ้าเคยทำหนัก ๆ เอาไว้ บางทีก่อนเราตายกรรมตัวนี้โผล่ขึ้นมาตอนนั้น ทำให้ใจของเราผิดจากเป้าหมายไป แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วถ้าเราทำดีไว้จริง ๆ อย่างแย่ที่สุดเราก็ลงไปที่ตำหนักพระยายม แล้วท่านสอบสวนอย่างไรเราก็นึกถึงความดีได้อยู่แล้ว ท่านก็ให้เราไปเสวยบุญ ของพวกนี้ก็แค่แกล้งให้เราเสียเวลาช้าไปนิดหนึ่งเท่านั้น

แต่ถ้าหากว่าคติไม่แน่นอน เพราะว่าเราไม่ได้ทำจริงจังสม่ำเสมอ คราวนี้ก็เสี่ยงมาก โอกาสพลาดมีเยอะ จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายจะต้องคิดอยู่เสมอว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำกาย วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้ เป็นการประกันอนาคตตัวเอง ใครที่ชอบซื้อประกันให้รีบซื้อ กรมธรรม์นี้ รับประกันว่าก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งชาตินี้ ชาติหน้า และชาติต่อ ๆ ไป และเกิดประโยชน์สูงสุดก็คือ ถ้าทำได้ก็เข้าสู่พระนิพพานไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2023 เมื่อ 01:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 23-10-2023, 01:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนสวดมนต์ถวายหลวงปู่สายและในหลวงรัชกาลที่ ๙ ช่วงทำวัตรเย็น วันศุกร์ที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๖



พิธีหลวงก็ต้องมีการให้ศีล การให้ศีลในพิธีหลวงเราไม่ต้องรับ เพราะว่าเขาให้ศีลพระเจ้าอยู่หัว ผู้ที่จะรับศีลเพื่อทรงศีลคือพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น บางทีเราก็จะเห็นว่า ทำไมในพิธีหลวงพระให้ศีลไปเรื่อยเปื่อย ก็เพราะว่าให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อให้พระองค์ท่านไม่อยู่ในพิธี ก็ถือว่าถวายศีลแก่พระองค์ท่าน

ขอเวลาสักครู่..ขอส่งไฟล์เสียงธรรมจากวัดท่าขนุนก่อน เดี๋ยวพวกที่รอในยูทูปจะลงแดง คำว่า ลงแดง ในที่นี้คืออาเจียนเป็นเลือด เนื่องเพราะว่าทนความอยากยาเสพติดไม่ไหว คนก็เลยเรียกกันว่าลงแดง

พวกภาษิต หรือรากศัพท์ หรือว่าคำพังเพยอะไรพวกนี้ นาน ๆ ไปแล้วคนจะไม่รู้ที่มา พอไม่รู้ที่มาก็แปลมั่ว ๆ ก็กลายเป็นใจความเพี้ยนไป อย่างเช่นว่า "อย่าเอามือไปซุกหีบ" ก็คืออย่าหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวโดยใช่เหตุ

สมัยนี้คำว่าอย่าเอามือไปซุกหีบ เขาคิดว่า มือซุกหีบ แปลว่าไม่ทำอะไรเลย จริง ๆ แล้วหีบที่ว่านี้ก็คือเครื่องคั้นน้ำอ้อย เขาเรียกว่าหีบ ลองเอามือแหย่เข้าไปดูสิว่ารสชาติเป็นอย่างไร ? มือก็จะโดนบดกระจายเท่านั้นเอง..! ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครจะหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเขาก็บอกว่า "ไอ้นี่เอามือไปซุกหีบ" สมัยนี้เราคิดว่าเป็นหีบห่อใส่ของ ความหมายก็เลยเพี้ยนไปหมด

คงจะต้องหาทางให้พวกเราเรียนภาษาไทยกันใหม่ แต่ขอโทษ..คนไทยเรียนภาษาไทยแล้วสอบตก ช่างน่าอายมากเลย ตกได้อย่างไรวะ..?! อาตมาถามเด็กรุ่นใหม่ถึง เอกรรถประโยค อเนกรรถประโยค สังกรประโยค เด็กไม่รู้จักสักอย่าง..! บรรดาอาขยานต่าง ๆ ก็ไม่รู้สักอย่างเหมือนกัน บอกว่า่ไม่ได้เรียน..น่าเสียดายมาก..!
[/SIZE]
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2023 เมื่อ 01:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 23-10-2023, 01:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เนื่องเพราะว่าพวกภาษาไทยของเรา ถ้าได้เรียนก็จะเห็นความงดงามในวรรณศิลป์ เห็นอัจฉริยภาพของบรรพบุรุษของเรา ที่สามารถสร้างสรรค์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ที่ไพเราะ ทรงคุณค่าความหมายอย่างยิ่ง

แต่ว่าสมัยนี้ที่ทำไม่ค่อยได้เพราะว่าเป็นคนที่จนด้วยถ้อยคำ คำว่า จนด้วยถ้อยคำ ก็คือรู้ศัพท์ไม่พอ

ว่าอย่างไรมหาจอม (พระมหาภูมินทร์ ฐิตญาโณ ป.ธ. ๗) ? ฉันท์บาลีนี่ถ้ารู้ศัพท์ไม่พอก็ฉันไม่ลงเหมือนกันนะ ไม่ว่าจะฉันเช้าหรือฉันเพลก็ไม่ผ่าน เพราะจนด้วยถ้อยคำ อย่างเช่นพอถึงเวลาเขาสวด

มหาวชิราลงฺกรโณ ทยฺยานํ ปิยขตฺติโย
มหาเตชานุภาโว จ พหุสตฺถวิจกฺขโณ

แปลไม่ออก..! (หัวเราะ) เขาแปลว่า พระเจ้าอยู่หัวมีนามว่ามหาวชิราลงกรณ

ทยฺยานํ..คนไทยทั้งหลาย ปิยขตฺติโย..เป็นพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รัก บาลีเขาแปลหลังมาหน้า เป็นพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของคนไทยทั้งหลาย

เพราะฉะนั้น..พอจนด้วยถ้อยคำแล้วไปไม่เป็น พวกฉันท์ พวกกลบท พวกอะไรต่าง ๆ ของไทยเรามีเป็นร้อย ๆ เลยนะ อาตมภาพเองก็เครียด เด็กสมัยนี้พอถึงเวลาครูให้แต่งฉันท์เมื่อไรก็ "หลวงพ่อช่วยที" พอแต่งไปให้เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ต้องบอกว่า "ท่องให้ขึ้นใจเลยนะลูก ชนิดนอนละเมอออกมาเลย ไม่อย่างนั้นพอครูถามแล้วเอ็งจะตอบไม่ได้"

ถ้าใครอยากจะรู้ว่าเรื่องของโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ของเรามีคุณค่าอย่างไร ให้ไปดูในสามัคคีเภทคำฉันท์ ของชิต บุรทัต เพราะว่านั่นแทบจะใช้โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน แทบทุกประเภทในการบรรยายเนื้อหาตั้งแต่ต้นจนจบ

แล้วบางทีโบราณก็หลอกเรา แต่งร้อยแก้วเป็นร้อยกรอง พวกเราส่วนหนึ่งนี่ร้อยแก้วกับร้อยกรองต่างกันตรงไหนยังไม่รู้เลย..?!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2023 เมื่อ 01:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 23-10-2023, 01:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ร้อยแก้วคือเนื้อหาปกติ ร้อยกรองคือพวกโคลง พวกฉันท์ พวกกาพย์ พวกกลอน

พอไปอ่าน เออ..ท่านจะอ่านในวิธีไหนก็ตามที อันท่านเจ้าคุณตรีปิฎกเถระ ผู้งามด้วยสีลาจารวัตร..ฯ ก็คิดว่าเป็นร้อยแก้วธรรมดานี่ พออ่านไปอ่านมา ๗-๘ บรรทัด อิ๊บอ๋าย..ไอ้นี่หลอกกู..!

เออท่านจะอ่านใน วิธีไหนก็ตามที
อันท่านเจ้าคุณตรี ปิฎกเถระผู้งาม

กลายเป็นฉันท์ไปตอนไหน..? หลอกต้มเราหน้าตาเฉยเลยนะ เรื่องพวกนี้ค่อย ๆ ไปดู เสียดายเด็กรุ่นใหม่ไม่ได้อ่าน บางทียังไปนึกว่า "เออ..เขาแต่งเพลง.."

เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง นกบินเฉียงไปทั้งหมู่
ตัวเดียวมาพลัดคู่ เหมือนพี่อยู่ผู้เดียวดาย

มาจากกาพย์เห่เรือ บทชมนก พระนิพนธ์ของเจ้าฟ้ากุ้ง คนรุ่นใหม่เอามาใส่ทำนองเป็นเพลง

พวกเราพอเป็นคนไทยแล้วไม่รู้เรื่องไทย ๆ ก็เลยกลายเป็นอะไรที่น่าสงสารมาก เพราะว่าฝรั่งหลายคน สมัยก่อนก็มีไมเคิล ไรท์ (Michael Wright) รู้เรื่องไทยดีกว่าคนไทยอีก..! เสียดายที่รีบตายไปแล้ว เพราะว่าเขาเห็นความดีความงามของเรา เขาพยายามที่จะศึกษา เขาเสียดายอยู่อย่างเดียวว่าชาติกำเนิดของเขาไม่ใช่คนไทย ถึงขนาดปรารภว่า เขาน่าจะเป็นคนไทยที่ไปหลงไปเกิดในต่างประเทศ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2023 เมื่อ 01:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 23-10-2023, 01:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนคนไทยเราไม่รู้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เลย ศัพท์แสงสารพัดสารพันปัจจุบันนี้ก็ไม่ได้เจอแล้ว ลองไปอ่านในพระอภัยมณีดู

"..ฯลฯ..ข้างปู่เจ้าหาวเรอเผยอหน้า นั่งหลับตาเซื่องซึมดื่มอาหนี
แล้วว่ากูปู่เจ้าเขาคีรี ทะเลนี้มิใช่แคว้นแดนมนุษย์..ฯลฯ"

อาหนีนี่คืออะไร ? ไม่รู้จักแล้ว สุนทรภู่เอาคำฝรั่งใส่ลงไป มาจาก อานิส (Anise) ซึ่งก็คือเหล้าผลไม้ หลายต่อหลายคำที่เป็นคำต่างประเทศ แทรกอยู่ในภาษาไทยมากต่อมากด้วยกัน ถ้าไปอ่านอิเหนานี่จะเจอเยอะเลย เจอจนปวดกะโหลก มันแปลว่าอะไรหว่า ? ต้องไปดูคำแปลต่างหาก ไม่ได้เรียนถือว่าเป็นความสูญเสียของชีวิต..!

อาตมภาพอ่านหนังสือวันละ ๑ เล่ม ก่อนหน้านี้อ่านวันละ ๔ - ๕ เล่ม เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีเวลา แต่วันนี้เผลอปาไป ๒ เล่มกว่าแล้ว เพราะว่าเวลานั่งสมาธิก็อ่านหนังสือไปด้วย จะสะสม "เสบียงบุญ" ให้ได้ ๙ ชั่วโมงก็เลยล่อหนังสือไป ๒ เล่มกว่า..!

ได้เวลาหกโมงครึ่งแล้ว พวกเราจะได้เริ่มสวดมนต์กัน พิธีกรรมต่าง ๆ แสดงออกซึ่งความดีความงามของวัฒนธรรมในชนชาตินั้น ๆ ไม่ใช่ว่ารำคาญ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2023 เมื่อ 01:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 24-10-2023, 08:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทำบุญวันพระช่วงเช้า วันเสาร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๖




วันนี้ตรงกับวันเสาร์แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ เป็นวันสารทไทย ไม่มีใครรู้หรอก เพราะว่าสมัยนี้กินกระยาสารทกันทั้งปี คือสมัยก่อนไม่ว่าจะข้าวปลาอาหารหรือว่าผักผลไม้ จะเป็นไปตามสภาพของฤดูกาลนั้น ๆ กระยาสารทก็จะทำในช่วงเดือน ๑๐ ถ้าหากว่าเป็นข้าวเหนียวแดงหรือกาละแมก็ช่วงสงกรานต์ สมัยนี้ผักผลไม้ก็โดนบังคับให้ออกนอกฤดูกาล..ก็เลยมั่วไปหมด ในเมื่อพวกเรามีกระยาสารทกินทั้งปี ก็เลยไม่รู้ว่ากระยาสารทเขาทำกันตอนหน้าไหนแล้ว

ระวังด้วยนะ..เมื่อเช้ามีคนนั่งเก้าอี้หักไปตัวหนึ่ง ถ้าเห็นว่าไม่ไหวก็รองเพิ่มไปอีกหนึ่งตัว น้ำหนักมากความจริงแก้ไม่ยาก เอาพลาสเตอร์ปิดปากก็หายแล้ว..! แต่ไม่ตัดใจปิดปากตัวเองเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่ก็ตั้งใจว่า "จะลดน้ำหนักอย่างจริงจังสักที เย็นนี้จะไม่กินแล้ว" ยังไม่ทันจะเย็นเลย ล่อไปหลายมื้อแล้ว..!

อาตมภาพก่อนบวช ๒ ปี ได้อดข้าวเย็นเป็นการเตรียมพร้อม อดข้าวเย็นเดือนแรกน้ำหนักหายไป ๙ กิโลครึ่ง..! จนป่านนี้ยังได้คืนไม่ครบเลย ตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ ก็ ๓๙ ปีแล้ว ขึ้นปีที่ ๔๐ ยังไม่ได้ ๙ กิโลครึ่งคืนมาเลย ใด้มาบ้างบางทีก็หายไปมากกว่าเดิมอีก..!

คราวนี้การที่เราจะลดน้ำหนัก สูตรง่าย ๆ เลยก็คือกินอาหารตามสูตร ๓-๒-๑ ก็คืออย่างเช่นว่า ถ้าตอนเช้ากิน ๑ จานใหญ่ ตอนกลางวันก็เหลือครึ่งจาน ตอนเย็นก็เหลือ ๑ ใน ๔ หรือถ้าโหดหน่อยตอนเย็นจะไม่กินเลยก็ได้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2023 เมื่อ 17:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 24-10-2023, 08:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพียงแต่พวกเรารู้แล้วก็มักจะทำผิด ก็คือเช้ากิน ๑ ใน ๔ กลางวันกินเท่าตัว ตอนเย็นกิน ๓ เท่า..! ตอนเย็นกินแล้วก็นอน ไม่ได้ใช้อะไรก็สะสมอย่างเดียว ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องลดกันหรอก แค่ไม่เพิ่มก็ถือว่าเก่งมากแล้ว..!

การกินอาหารมื้อเย็นมีโทษมากกว่าประโยชน์ แม้กระทั่งญี่ปุ่นหรือฝรั่งเขาก็ทำวิจัยแล้ว ใครก็ตามที่ไม่กินอาหารจนล้นเกิน ปล่อยให้อดบ้างปล่อยให้หิวบ้าง สุขภาพจะดีกว่า ร่างกายจะตื่นตัวมากกว่า ทำอะไรกระฉับกระเฉงกว่า ส่วนคนที่กินเต็มที่ ถึงเวลาสารอาหารในเลือดมีมากก็จะง่วงซึม ท้ายที่สุดก็นอนดีกว่า แต่ปรากฏว่านอนก็ไม่ดี ยิ่งนอนยิ่งอ้วน..! ทำไมวันนี้หลวงพ่อพูดจาหยาบคายมากเลย..?!

คนที่จะลดน้ำหนักได้สำเร็จ สมาธิต้องดี ถ้ากำลังสมาธิไม่ดีพอ เราก็จะสู้กระแสกิเลสไม่ได้ โดยเฉพาะกิเลสชวนให้กิน เราจะเห็นว่าในเรื่องของการปฏิบัติธรรมหรือเรื่องทางโลก สมาธิแทบจะเป็นคำตอบของทุกสิ่งทุกอย่างเลย แม้กระทั่งในช่วงท้าย ๆ ของการปฏิบัติธรรม สมาธิก็ยังเป็นเครื่องอาศัยให้สติปัญญาของเราแหลมคมว่องไว เพราะว่าสมาธิทำให้จิตนิ่ง เมื่อจิตนิ่งความผ่องใสมีมาก กิเลสจะมาไม้ไหนเราก็รู้เท่าทันไปหมด

แต่ส่วนใหญ่พวกเราเหมือนกับกลัวกิเลสจะเศร้าหมอง คบหากันมานาน ไม่อยากทำอะไรรุนแรงให้กิเลสช้ำใจ ก็เลยต้องทนให้กิเลสจูงจมูกไปเรื่อย ๆ ถึงได้บอกว่า ถ้าเรายังไม่เห็นทุกข์เห็นโทษด้วยตนเอง ก็ไม่คิดที่จะเลิกอะไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2023 เมื่อ 17:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 24-10-2023, 08:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ช่วงเดือน ๙ เดือน ๑๐ ตามปฏิทินจันทรคติที่เรียกกันง่าย ๆ ว่าเดือนไทย น่าจะเป็นช่วงที่พวกผีไม่มีญาติพอที่จะหาอะไรกินได้มากหน่อย เนื่องเพราะว่ามีการทำบุญไปให้ มีการทิ้งอาหารเอาไว้ให้ ที่ทำบุญไปให้ก็อย่างบุญสารทเดือนสิบของชาวใต้ ที่เขาจะจัดสำรับคับค้อนไปถวายพระ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับไป จะมีขนมกง ขนมพอง ขนมลา อะไรพวกนั้น ซึ่งเป็นไปตามความเชื่อของเขาว่า ญาติที่เกิดเป็นเปรตปากจะเล็กเท่ารูเข็ม ให้ของใหญ่ไปก็กินไม่ได้ ก็เลยต้องทำขนมเป็นเส้นเล็ก ๆ เหมือนเส้นด้าย อย่างน้อย ๆ เปรตก็จะได้อาศัยดูดกินได้..!

ส่วนทางภาคอีสานก็มีงานบุญข้าวสากและก็งานบุญข้าวประดับดิน งานบุญข้าวประดับดินนี่ตรงไปตรงมาเลย ก็คือเอาข้าวนิดหนึ่ง กับนิดหนึ่ง ขนมนิดหนึ่ง ใส่ใบไม้หรือใบตอง เอาไปวางไว้กับพื้น แล้วก็จุดธูป ๑ ดอกเชิญให้ผีไม่มีญาติมากินกัน

ส่วนบุญข้าวสากนั้นยุ่งยากหน่อย ก็คือเพิ่มสากหรือว่าสลากของบ้านเรานั่นแหละขึ้นมา ก็คือใครที่จะทำบุญหาญาติพี่น้อง ก็จะเตรียมข้าวปลาอาหาร หรือข้าวของเครื่องใช้ แล้วก็เขียนชื่อไว้สองใบ ใบหนึ่งเอาไปให้มัคคนายกหรือพระที่จัดการ อีกใบหนึ่งติดไว้ที่กองสลากของตนเอง คราวนี้พระรูปไหนจับสลากได้ของใคร ก็เอาไปใช้ไปฉันแล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตายนั้น ๆ ที่เรียกบุญข้าวสากจริง ๆ ก็คือสลากนั่นเอง ก็คือทานสลากภัต เพียงแต่ว่าเป็นสลากภัตที่เจาะจงให้กับผู้ตายคนนั้น ๆ

บางอย่างเราจะรู้สึกว่าชื่อไพเราะมากเลย อย่างบุญข้าวประดับดิน เป็นอย่างไร..? เขาก็เอาใส่ใบไม้ใส่ใบตอง ไปวางไว้กับพื้นดินนั่นแหละ พอเราไม่รู้ที่มา โดยเฉพาะเด็กอีสานรุ่นใหม่ ๆ บางทีเอ่ยถึงฮีต ๑๒ คอง ๑๔ ก็ไม่รู้จักกันแล้ว ว่าสิ่งที่เขายึดถือ ๑๔ อย่างประกอบด้วยอะไรบ้าง ? ทั้ง ๑๒ เดือนนั้น แต่ละเดือนต้องทำบุญอะไรบ้าง ?

ลองฟังดูนะ (พระอาจารย์เปิดเพลงข้าวประดับดินให้ฟัง) เป็นประเพณีอีสาน ก็จะมีเสียงพิณเสียงแคน

เดือนอ้ายข้าวหอม ดอกพะยอมบานแล้วละเหนอ
คิดฮอดเด้อ เมื่อเจอผู้สาวบ้านใต้
ลมระเรื่อย เอื่อยรินธารน้ำไป
เลี้ยงนาไร่แนวป่า ฟากฟ้าอีสาน
เห่เอยเห่ช้า นางสาวบุญราศี
คนที่สวย เหมือนดังดาวที่ผ่องพรรณ
บายศรีเอก เสกเป่าสาวพรหมจรรย์
ขวัญเอยขวัญจงอยู่ คู่รักคู่ใจ
เดือนสาม งานบุญข้าวจี่
เดือนสี่ มีงานพระเวสฯ จำได้
เดือนห้า งานบุญสงกรานต์
เดือนหก อีสานมีงานบั้งไฟ ฯ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2023 เมื่อ 17:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 24-10-2023, 08:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ได้ไปกี่งานแล้ว ? จำไม่ได้สักงาน..! พวกบรรดาฮีต ๑๒ ส่วนใหญ่แล้วเป็นแบบอย่างในการทำบุญทำทาน ที่อาศัยพระพุทธศาสนาเป็นหลัก เราจะเห็นว่าเดือนสามมีงานบุญข้าวจี่ ก็คือเป็นช่วงที่ข้าวใหม่ออก แล้วก็อยู่หน้าหนาว ก็มีการเอาข้าวเหนียวมาปิ้งไฟกินกัน ตอนที่ล้อมวงผิงไฟแก้หนาว

เดือนสี่ มีบุญผะเหวด (บุญพระเวส) ก็คืองานเทศน์มหาชาติ ผะเหวดก็คือพระเวสสันดร ส่วนใหญ่จะไปเน้นชาติสุดท้ายคือพระเวสสันดร เดือนห้า งานบุญสงกรานต์ เดือนหก อีสานมีงานบั้งไฟ..ต้องขอฝน..ใช่ไหม ?

พวกเราส่วนใหญ่ฟังเพลงแล้วหาสาระไม่ได้ เอาแต่ความไพเราะอย่างเดียว อาตมาได้ยินแล้วเครียด..! ความจริงถ้าเราฟังเป็น ก็ไม่ใช่ไม่ดีนะ มีความรู้มากมายมหาศาลอยู่ในนั้น บ้านใครอยู่อีสาน ลองฟังเพลงนี้ดู (เพลงอีสานบ้านเฮา)

หอมดอกผักกะแยง ยามฟ้าแดงค่ำลงมา
แอ้บแอ้บเขียดจะนา ร้องยามฟ้าฮ้องฮ่วนฮ่วน
เขียดโม้เขียดขาคำ เหมือนหมอลำพากันม่วน
เมฆดำลอยปั่นป่วน ฝนตกมาสู่อีสาน
หมู่หญ้าตีนกับแก้ ถูกฝนแลเขียวตระการ
ควายทุยเสร็จจากงาน เล็มหญ้าอ่อนตามคันนา
รุ่งแจ้งพอพุ่มพู ตื่นเช้าตรู่รีบออกมา ฯ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2023 เมื่อ 17:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 24-10-2023, 10:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

(โยมผาติกรรมข้าวสวยใส่บาตรกัน) การทำบุญใส่บาตร คนแรกที่ได้คือตัวเราเอง ได้สละออก ลดความโลภ ความตระหนี่ถี่เหนียวในใจเรา ต้องบอกว่าเป็นการทำตัวให้เบา การจะเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ต้องตัวเบา ถ้าเบาไม่พอ จะลอยขึ้นวิมานไม่ได้..!

เพราะฉะนั้น..ต้องพยายามตัด รัก โลภ โกรธ หลง ออกไปให้ได้มากที่สุด ใครตัดได้มากก็สำเร็จวิชาตัวเบาได้มาก ได้อยู่ชั้นสูงกว่าเขา ตัดได้น้อยก็สำเร็จวิชาตัวเบาน้อย ต้องอยู่ชั้นต่ำกว่าเขา พวกตัดไม่ได้เลย ถ้าไม่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ลำบากลำบนอีก ก็อาจจะลงข้างล่างไปเลยก็ได้..!

หลังจากที่พวกเราใส่บาตร คราวนี้ผู้รับก็คือพระภิกษุ สามเณร อาศัยข้าวปลาอาหารในการดำรงชีวิต มีเรี่ยวมีแรง ก็ศึกษาพระธรรมวินัย แล้วท้ายที่สุดเมื่อแตกฉาน ก็นำมาบอกกล่าวสั่งสอนแก่ญาติโยมที่ไม่มีเวลาศึกษาเหมือนกับพระเณร ถือว่าเป็นการ "ต่างตอบแทน"

ชาวบ้านสงเคราะห์พระภิกษุสามเณรด้วยข้าวปลาอาหาร เป็นอาหารทางกาย พระภิกษุสามเณรสงเคราะห์ชาวบ้านญาติโยมด้วยหลักธรรม เป็นอาหารทางใจ ก็เลยทำให้เกิดลักษณะของ "น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า" ต่างฝ่ายต่างพึ่งพาอาศัยกันและกัน สมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย อย่างที่ทฤษฎีฝรั่งเขาบอกว่า win-win ต่างคนต่างได้รับประโยชน์ในส่วนของตนเองไป

ญาติโยมได้ตัดความโลภ ได้สั่งสมบุญกุศลเผื่อชาติหน้า ได้รับหลักธรรมจากพระภิกษุสามเณร ที่ท่านศึกษาเข้าใจแตกฉานแล้ว นำมาสั่งสอนเราต่อ

พระภิกษุสามเณรได้ข้าวปลาอาหาร สามารถที่จะดำรงอยู่ได้ มีกำลังในการศึกษาเล่าเรียน ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม ทำให้ศาสนาตั้งมั่น เจริญรุ่งเรืองอยู่ได้

ดังนั้น..ถ้าหากเราเห็นแค่ว่าเป็นการใส่บาตร อย่างนั้นก็สายตาแคบสั้นไปหน่อย ใส่บาตรเป็นวิธีฝึกวินัยของเราที่ดีที่สุด เพราะส่วนใหญ่พระบิณฑบาตเช้ามาก พอ "ได้อรุณ" ก็ออกเลย อย่างถ้าเป็นช่วงนี้ ได้อรุณก็ประมาณ ๐๕.๕๐ น. คำว่า ได้อรุณ ในที่นี้ก็คือ แสงทองแสงเงินจับขอบฟ้าแล้ว ขอยืนยันว่าพูดไม่ผิด เพราะว่าแสงแรกที่ขึ้นมาจะเป็นแสงทองก่อน พอพระอาทิตย์ปรากฏมากขึ้น แสงเงินถึงจะตามมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2023 เมื่อ 17:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 24-10-2023, 10:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พอพระออกบิณฑบาตเช้า ก็อยู่ที่เราว่าจะ "นอนต่ออีกหน่อยน่า..!" ถ้าแบบนี้พระอด..! แต่ถ้า "เอ้า..เราต้องลุกไปใส่บาตร นอนไม่ได้แล้ว" กุลีกุจอลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา บางคนก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเรียบร้อย หุงข้าวทำกับข้าว เตรียมตัวใส่บาตรหน้าบ้าน ก็เป็นการฝึกตัวของเราเอง ให้เคยชินเป็นจริตนิสัย หรือเป็นสุขนิสัยในการตื่นเช้า

ก็จะพลอยให้การงานต่าง ๆ ได้เริ่มเร็วกว่าคนอื่นเขา ถ้าสมัยก่อนส่วนใหญ่เขาอยู่บ้าน ทำไร่ ทำนา ทำสวน ถ้าเป็นสมัยนี้ก็อาจจะได้รีบไปก่อนรถติด โดยเฉพาะคนอยู่กรุงเทพฯ นี่อยากจะร้องไห้..! ถ้าวิ่งมาทางด้านพุทธมณฑล ตลิ่งชัน กว่าที่จะข้ามสะพานพระปิ่นเกล้าฯ ได้ ถ้ามาผิดเวลา บางทีชั่วโมงกว่ายังอยู่ที่ตีนสะพานเลย..!

เมื่อเป็นการสร้างสุขนิสัยที่ดีของเราแล้ว ยังเกิดความรักความสามัคคีกันด้วย เพราะว่าสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ ถึงเวลาเขาไม่ได้ต้มแกงถวายพระเท่านั้น แต่ยังเผื่อแผ่เพื่อนบ้านด้วย ถึงเวลาก็ใส่ถ้วยไปส่งข้ามรั้วกัน ของเธอมีต้ม ของฉันมีแกง บ้านโน้นมีผัด บางทีทำกับข้าวอย่างเดียว แต่ในบ้านมีกับข้าวถึง ๔ - ๕ อย่าง เพราะว่ารอบบ้านแบ่งปันมาให้ เกิดความรักใคร่สามัคคีเหนียวแน่น เขาถึงได้บอกว่า "เป็นรั้วที่มีชีวิต" ก็คือสร้างรั้วที่ไม่มีชีวิตบางทีก็ป้องกันโจรขโมยไม่ได้ แต่พอสร้างรั้วที่มีชีวิต รอบบ้านช่วยเป็นหูเป็นตาให้ สามารถป้องกันขโมยได้

เมื่อเกิดความสามัคคีในหมู่คณะ ถึงเวลาทำอะไรก็ชักชวนกันไป "เราเป็นลูกศิษย์วัดท่าขนุน" ถึงเวลาชวนพรรคพวกที่ทำบุญวัดท่าขนุน ก็มากันพร้อมเพรียง ทางด้านโน้นเป็นลูกศิษย์วัดทองผาภูมิ ถึงเวลาก็ไปช่วยวัดทองผาภูมิโดยพร้อมเพรียงกัน ความสามัคคีเหนียวแน่นที่เกิดขึ้น ก็ทำให้สังคมของเราเป็นปึกแผ่นยั่งยืน

เพราะฉะนั้น..พวกหมู่บ้านยั่งยืนก็ดี หมู่บ้านศีลธรรมก็ดี หมู่บ้านช่อสะอาดก็ดี หรือว่าหมู่บ้านสีขาวก็ตาม ถ้าเริ่มจากใส่บาตรนี่..ทุกอย่างเกือบจะจบหมดแล้ว ไม่ว่าจะโครงการบ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง บ้านนี้มีผลผู้คนรักกัน ใส่บาตรก่อน แล้วอย่างอื่นจะตามมาเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2023 เมื่อ 17:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:00



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว